บทที่ 927 จำได้แล้ว
“หยุนเล่ เจ้ายังไม่หายดี ทำไมแค่คลาดสายตาไปพักเดียว เจ้าก็ออกมาแล้วล่ะ กลับไปกับพ่อเดี๋ยวนี้” อ๋าวชิงพยายามจะเข้ามาพาตัวหยุนเล่กลับ แต่หยุนเล่ไม่ยอม
“ท่านพ่อ ข้าไม่กลับ ข้าอยากมาเจรจาสู่ขอ” หยุนเล่ไม่ยอมไป อ๋าวชิงดึงตัวเขาจะพากลับให้ได้ สองคนพ่อลูกจึงยื้อยุดดึงดันกันอยู่อย่างนั้น
อ๋าวชิงพูดขึ้นว่า “เรื่องเจรจาสู่ขอ ทำไมต้องให้เจ้าเป็นคนเจรจาด้วย? พ่อต้องเป็นคนไปเจรจาสิถึงจะถูกต้อง”
หยุนเล่หันไปมองอ๋าวชิง: “ท่านพ่อขอรับ วันนี้ข้าทำให้ท่านอ๋องซื่อเจิ้นต้องขุ่นเคืองใจ เขาไม่มีทางชอบหยุนเล่แน่ๆขอรับ”
เมื่อคนเราบาดเจ็บ หัวใจก็มักจะรุ่มร้อนกระวนกระวาย เฟิ่งหลิงหยุนลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตรงไปข้างหน้า จับข้อมือของหยุนเล่ช่วยตรวจชีพจรให้เขา พบว่าไม่เพียงแต่จะไม่ดีขึ้น แต่กลับยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก ยิ่งเห็นสีหน้าของเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่า เขาถูกอารมณ์ด้านลบจู่โจมจนร่างกายอ่อนแอลงแล้ว
“ให้ท่านป้อนยาเขากิน ไม่ได้กินหรอกหรือ?” เวลานี้เฟิ่งหลิงหยุนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาแล้ว ผินหน้าไปมองอ๋าวชิงด้วยแววตาตำหนิ
อ๋าวชิงพูดว่า: “หยุนเล่เป็นคนนิสัยเถรตรงยิ่งนัก เอาแต่คิดถึงคะนึงหาหยุนจวิ้นจู่ไม่หาย ทำอย่างไรก็ไม่ยอมกินยาพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งหลิงหยุนหันกลับไปชำเลืองมองเตียงข้าง ๆ ที่ไร้ความเคลื่อนไหวใด ๆโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าคงหลับไปแล้ว
“ต่อให้เจ้าไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม พยายามคิดหาหนทางฆ่าตัวตายไปก็ไร้ประโยชน์ พ่อลูกคู่นั้นเป็นพวกไม่มีจิตสำนึกอะไรทั้งนั้น เสี่ยวหยุนถูกปลูกฝังความคิดมาตั้งแต่ยังเด็ก ว่าจะไม่มีวันแต่งงานกับใคร และจะไม่แต่งให้ใครทั้งนั้น ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าได้รู้ไว้ว่า ต่อให้เจ้าต้องตายลงตรงนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น อย่างไรก็กลับไปเสียเถอะ ผู้ชายคนนั้นชอบผู้ชายที่เข้มแข็งแกร่งกล้าเท่านั้น หากเจ้ายังไม่เข้มแข็งพอ แล้วจะปกป้องลูกสาวของเขาได้อย่างไร? เขาจะวางใจมอบลูกสาวให้เจ้าดูแลได้อย่างไรกัน? ”
หยุนเล่มองไปยังม่านเตียงที่ยังคงปิดสนิท: “ข้าจะต้องเข้มแข็งได้แน่”
เฟิ่งหลิงหยุนนึกขันขึ้นมาเสียแล้ว: “เจ้าอาจจะเข้มแข็ง แต่ความเข้มแข็งของเจ้า อาจยังไม่สามารถทำให้เขาพอใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของเจ้ายามนี้ ก็มีสภาพเป็นอย่างนี้ไปเสียแล้ว เจ้าจะร้องบอกให้เขาเชื่อได้อย่างไรหรือ?”
“ข้าแค่ล้มป่วยนิดหน่อย มีอาการบาดเจ็บภายในก็แค่นั้นเอง ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ไม่ผิด เจ้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่เจ้าแค่ตายไม่ได้ก็เท่านั้น เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของเขาแล้ว น่ากลัวว่าเจ้าอาจจะตามไม่ทันก็เป็นได้”
เฟิ่งหลิงหยุนพูดอย่างไม่มีอะไรเกินจริงแม้แต่น้อย อีกทั้งในความเป็นจริง นางรู้สึกสงสารหยุนเล่มาก เด็กคนนี้น่าสงสารมากจริงๆ!
หยุนเล่ไม่ยอมไป: “ข้ายังเด็ก หากใช้เวลาอีกสามปีนับจากนี้ ฝึกฝนปรับสภาพร่างกายโดยไม่ขาด ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่คอยไล่ตามเขาไป สักวันหนึ่งเขาก็ต้องแก่ตัวลง ทำไมข้าถึงจะตามไม่ทันล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“แต่ในเวลานั้น เจ้าก็ต้องรับมือกับบรรดาพี่ชายของเสี่ยวหยุนนะ เสี่ยวหยุนมีพี่สาวอยู่หนึ่งคน กับพี่ชายอีกหกคน เจ้าไหวหรือไม่ล่ะ?
หยุนเล่ตกตะลึงอึ้งค้างไปเลย ถึงกับพูดไม่ออกอยู่เป็นนานสองนาน เฟิ่งหลิงหยุนรู้สึกไม่คุ้มแทนหยุนเล่ หากว่าเสี่ยวหยุนมีความรู้สึกอะไรทำนองนั้นต่อเขาบ้างสักนิด เวลานี้นางคงไม่เพิกเฉยเย็นชาต่อเขาอย่างนี้แน่
แต่เมื่อดูจากสภาพการณ์ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า นางไม่ได้สนใจความเป็นความตายของหยุนเล่เลยแม้แต่น้อย!
“ หรือว่า หยุนจวิ้นจู่จะไม่แต่งงานไปตลอดชีวิตจริงๆ? ” หยุนเล่โทสะพวยพุ่ง
เฟิ่งหลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “บางทีอาจจะได้แต่งก็เป็นได้ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่ง ในภายภาคหน้าก็จะมีคนปรากฏตัวขึ้นรอบ ๆ กายนางมากพอ ๆ กับขนวัวเลยเชียวล่ะ เจ้าตอนนี้ก็สูญสิ้นเรี่ยวแรงไปจนหมดแล้ว นางเชื่อฟังพ่อของนางถึงขนาดนั้น ถ้าพ่อนางบอกว่าคนคนนี้ดี นางก็จะบอกว่าดี แต่ถ้าพ่อนางบอกว่าไม่ดี นางก็จะบอกว่าไม่ดี นี่ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดานั่นล่ะ! ”
“พูดเช่นนี้แล้วก็หมายความว่า หากสามีในอนาคตของหยุนจวิ้นจู่เป็นคนที่นางไม่ชอบ ขอเพียงท่านอ๋องซื่อเจิ้นชอบ นางก็จะยอมแต่งให้เขา?” หยุนเล่กัดฟันกรอด ดวงตาทั้งสองข้างฉายแววกล้ำกลืนความเคียดแค้น
เฟิ่งหลิงหยุนเอ่ยกับหยุนเล่ ด้วยท่าทางที่แสดงชัดว่าไม่อาจฝืนทนได้แล้วจริง ๆ บางทีเมื่อถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆ ก็อาจต้องเป็นไปตามนั้นแล้ว
“ถ้าว่ากันตามจริง ก็คงต้องเป็นตามนั้นล่ะนะ”
“เช่นนั้นข้าไม่ยอม หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หากว่าข้าไม่อาจได้แต่งงานกับหยุนจวิ้นจู่ ในวันหน้าข้าจะละเลงเลือดให้นองทั่วพื้นยุทธภพ ให้หัวกับตัวเขาอยู่แยกกันคนละทาง”
หยุนเล่แผ่ไอสังหารออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า สีหน้าขาวซีดเผือดสีไปทั้งหน้า
กงชิงวี่เปิดม่านเตียงออก แล้วมองตรงไปที่หยุนเล่: “ทำไมถึงเป็นเจ้าไปได้?”
เฟิ่งหลิงหยุนหันไปมองกงชิงวี่ที่ลงจากเตียงมาแล้ว เห็นแววประหลาดใจในดวงตาของเขารางๆ ดูเหมือนว่าในที่สุดเขาก็จำได้แล้ว
หยุนเล่กัดฟันกรอด : “ความแค้นจากการแย่งภรรยา ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ หากเจ้ายืนกรานว่าจะทำลายสัมพันธ์ของพวกเรา ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด เจ้ามีลูกชายหกคนแล้วอย่างไร ข้าสามารถมีกองทัพชายฉกรรจ์จากทั่วหล้าใต้ผืนฟ้าแห่งนี้ ข้าจะให้เจ้าตายอย่างไร้ที่กลบฝัง ”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็จงเริ่มจากมีชีวิตอยู่ให้ได้เสียก่อนเถอะ” กงชิงวี่หันกลับไปมองอย่างดูถูก พูดขึ้นว่า: “อ๋าวชิง พาเขากลับไปซะ ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ”
อ๋าวชิงพยายามดึงตัวหยุนเล่กลับไปด้วยกันให้ได้ หยุนเล่กลับผลักอ๋าวชิงออกไป: “กงชิงวี่ …. ”
กงชิงวี่หันกลับมามองด้วยสายตาประเมินแบบผ่านๆ: “ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หากเจ้าสามารถฟื้นร่างกายกลับมาได้ภายในสามวัน ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะทำให้เสี่ยวหยุนชอบได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้า ต้องดูความสามารถของเจ้าเองแล้ว หากเจ้าอายุครบสิบหกแล้วเสี่ยวหยุนก็ยังไม่ชอบเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ เจ้าเข้าใจหรือไม่? ”
หยุนเล่ถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง กระทั่งความโกรธแค้นเมื่อครู่ก็ยังหายไปด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
อ๋าวชิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน หลุบสายตาลงไปครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นแล้วท้วงออกไปว่า: “เจ้าจะฆ่าหยุนเล่ไม่ได้ เขาเป็นลูกชายของข้า ถ้าเจ้าฆ่าเขา ข้าเองก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด ”
กงชิงวี่ไม่สนใจเขาเลยแม้เพียงกระผีกริ้น เงยหน้าขึ้นมองอ๋าวชิง: “เจ้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อยข้าไปนั้น เป็นเรื่องในอนาคตแล้ว ไม่แน่ว่าบางที เจ้าเองก็อาจต้องตายไปด้วยอีกคน”
“……”
รอจนพวกเฟิ่งหลิงหยุนไม่มีใครพูดอะไรอีก หยุนเล่ก็ปรับอารมณ์ กลับสู่สภาวะนิ่งสงบดังเดิม แล้วพูดขึ้นว่า: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กำหนดเวลาสามวันข้าขอรับไว้แล้ว อายุครบสิบหก ก็นับว่าเพียงพอมากแล้วเช่นกัน หากไม่สามารถทำให้หยุนจวิ้นจู่ชอบได้จริงๆ ถึงมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ค่าเหลือเกินแล้ว”
เฟิ่งหลิงหยุนกลับรู้สึกเหนือคาดไปมาก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนที่ดื้อรั้นถือทิฐิขนาดนี้
กงชิงวี่ยกยิ้มเย็นชา: “เช่นนั้นแล้ว เจ้ายังมัวทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ?”
“ขอให้ข้าได้เห็นหน้าหยุนจวิ้นจู่สักครั้ง แล้วข้าจะไปทันที” หยุนเล่มองกงชิงวี่แน่วนิ่ง
เฟิ่งหลิงหยุนคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ กงชิงวี่ไม่ใช่คนแบบนั้น
แต่ในชั่วอึดใจต่อมา พลังภายในอันแข็งแกร่งทรงพลังของกงชิงวี่ก็ปะทุขึ้น จนพัดม่านเตียงปลิวลอยไสว เผยให้เห็นช่องว่างขึ้นมาครู่สั้น ๆ ตรงช่องว่างนั้นปรากฏใบหน้าน้อย ๆ ดวงหนึ่ง เจ้าของใบหน้านั้นกำลังนอนหลับพริ้มอย่างเป็นสุข เพียงพริบตาที่ไร้แรงลมหนุนส่ง ใบหน้านั้นก็เลือนหายไป
กงชิงวี่หันไปมองหยุนเล่ หยุนเล่มองค้างอย่างเหม่อลอยไปชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงหันหลังเดินออกไปด้านนอก เฟิ่งหลิงหยุนปรายตามองกงชิงวี่แวบหนึ่ง แล้วเดินกลับไป
“ จำได้แล้วหรือเพคะ?”
กงชิงวี่ยกม่านเตียงแล้วนั่งลง แล้วมองไปที่กงชิงหยุนเยนที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง: “ทำไมข้าถึงลืมเขาไปได้นะ?”
เฟิ่งหลิงหยุนหันไปดู: “ทำไมหรือเพคะ?”
กงชิงวี่เบนสายตากลับมามองเฟิ่งหลิงหยุน: “จะพูดไป มันก็เป็นเรื่องที่นานมากแล้วล่ะ”
ม่านเตียงถูกลดลง เมื่อกงชิงวี่นั่งแล้วเฟิ่งหลิงหยุนจึงรินน้ำชาให้เขา แล้วไปนั่งเป็นเพื่อน
กงชิงวี่จึงเล่าว่า: “ตอนที่ข้าอายุสิบสองได้ออกไปนอกวัง จนมีโอกาสพบกับคนในจวนอ๋องห้า นามว่ากงชิงเซวียนหยุน เขากับข้าอายุพอๆกัน พวกเราไม่รู้จักกัน อีกทั้งไม่ได้รู้สถานะที่แท้จริงของกันและกันด้วย ‘ ข้าเองไม่เคยเจอเขา ตัวเขาก็ไม่เคยเจอข้า แต่เขากับข้าเจอกันครั้งแรก ก็รู้สึกเหมือนว่าเป็นเพื่อนกันมาเนิ่นนาน
เพียงแต่เขาเคยบอกข้าว่า เขาชอบคนคนหนึ่งอยู่ พอข้าถามไปว่าเป็นใคร เขาก็บอกว่าเป็นอันหลิงหยุนลูกสาวจวนแม่ทัพอัน ”
กงชิงวี่หยุดเล่าไปชั่วครู่ เฟิ่งหลิงหยุนมองเขา: “มีอะไรหรือเพคะ?”
กงชิงวี่ยกยิ้ม: “ข้าเล่าเรื่องที่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนคนนี้ให้เขาฟัง บอกไปว่าคนคนนี้ เป็นผู้หญิงที่ไม่เห็นจะมีอะไรดีสักเท่าไหร่ เขาย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา ลุกขึ้นได้ก็ไปเลย
ต่อมาพวกเราได้พบกันอีกครั้งในวัง เขาเข้าวังแล้วได้เจอข้า ถึงค่อยได้รู้สถานะของอีกฝ่ายก็ตอนนั้นนั่นล่ะ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเราก็กลับกลายเป็นศัตรูที่เหมือนน้ำกับไฟ ไม่อาจเข้ากันได้
ในเมืองหลวงก็เริ่มมีข่าวลือต่าง ๆ นา ๆ ของหยุนหยุนมาให้ได้ยินไม่ขาด แน่นอนว่าข้าไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ได้ยินว่าเขาไปที่จวนแม่ทัพอันเพื่อเจรจาสู่ขอ เวลานั้นแม่ทัพอันไม่อยู่ แต่เป็นหยุนหยุนที่บอกไปว่า หากเขาสามารถเอาชนะข้าได้ นางจะยอมแต่งให้เขา เขาจึงมาหาข้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าเขาจะไปขอหยุนหยุนแต่งงาน เขามาเพื่อสู้กับข้า ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยได้อยู่แล้ว สุดท้ายพวกเราเลยสู้กันขึ้นมาจริงๆ “