บทที่ 951 หรือจะถูกตีจนโง่ไปแล้ว
อันหลิงหยุนหันไปมองจุนเมิ่ง ถามออกไปว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
“ จุนเมิ่ง.”
“ จุนเมิ่ง?”
อันหลิงหยุนเขย่ากระดองเต่า เหรียญทองแดงสองสามเหรียญร่วงตกลงมาจากด้านใน เมื่อเขี่ยออกดู ก็ถึงกับตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
อันหลิงหยุนแปลกใจขึ้นมาแล้ว ยังหันไปจ้องดูจุนเมิ่งอีกครู่ใหญ่ ๆ แล้วพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า: “เจ้าลองพูดอะไรสักคำซิ”
จุนเมิ่งหยุดคิดครู่สั้นๆ: “ชีวิต!”
อันหลิงหยุนตกตะลึง หยิบกระดองเต่าขึ้นมาคำนวณต่ออีกครู่ หันไปมองจุนเมิ่ง แล้วจึงหันไปมองราชครูจุน: “ขอแสดงความยินดีกับท่านราชครูด้วยเจ้าค่ะ”
“….. ”
ราชครูจุนตกตะลึงไปด้วยอีกคน: “มีสิ่งใดต้องแสดงความยินดีกัน?”
“ตระกูลจุนได้ให้กำเนิดวีรบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อการรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ท่านราชครูจุนทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจเพื่อบ้านเมือง เสียสละทั้งครอบครัว เพื่อแลกกับการให้อ๋องเสียนรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นจนสำเร็จ สวรรค์มีตา ไม่ลืมท่านราชครูจุนแล้วจริงๆ”
ราชครูจุนสีหน้าดำคล้ำหนักอึ้ง: “นี่เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
อันหลิงหยุนยิ้มแย้มขณะมองไปที่จุนเมิ่ง: “เด็กคนนี้คิ้วตางดงามหมดจด มีรูปลักษณ์ที่แสดงว่าได้รับความฉลาดที่ถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ แม้ว่าจะเคยผิดพลาดไปบ้าง แต่นางทั้งฉลาด จิตใจงดงาม โอบอ้อมอารี อาจเพราะชาติที่แล้วได้รับการปลูกฝังมาดี หรืออาจเพราะชาตินี้ท่านราชครูสอนสั่งได้ดี ข้ามองเห็นดวงดาวเนื้อคู่ของนางเริ่มเคลื่อนไหวฉายเด่นแล้ว อีกไม่นานต้องได้พานพบเนื้อคู่แห่งโชคชะตาเป็นแน่
สามีในอนาคตของนาง จะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรม ”
“หา?”
ราชครูจุนกับฮูหยินรอง ต่างพากันตกตะลึงไปแล้ว
จุนเมิ่งที่อยู่อีกด้านได้แต่นิ่งเงียบอยู่นาน
ราชครูจุนคิดคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วน : “ไม่ถูกแล้ว ดินแดนทั้งหมดในยามนี้มีฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว แต่องค์ชายที่สืบเชื้อสายจากฮ่องเต้ … พระชนม์มายุแค่….. ”
ราชครูจุนหันไปมองอันหลิงหยุน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยถามขึ้นว่า: “ขอบังอาจถามว่า ตอนนี้พระชายาอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“ สิบแปดแล้วเจ้าค่ะ”
ราชครูจุนคำนวณอย่างละเอียดอีกครั้ง: “หรืออาจเป็นองค์ชายรัชทายาท?”
อันหลิงหยุนพยักหน้า: “หากข้าจำไม่ผิด ปีนี้เด็กคนนี้ก็อายุได้ยี่สิบแล้วกระมัง?”
จุนเมิ่งหน้าแดงก่ำ ผู้หญิงนั้นพอเธออายุได้สิบสาม ก็ต้องหมั้นหมายแล้ว เมื่อถึงสิบห้าถือว่าอายุครบกำหนด ต่างก็ต้องแต่งงานออกไป
นางได้มาอยู่ที่นี่ถือว่าชีวิตค่อนข้างดีทีเดียว ที่จริงมีคนจำนวนไม่น้อยที่มาสู่ขอนาง แต่เพราะไม่เข้าตาท่านปู่ อีกทั้งนางเองก็ไม่ชอบ ทำให้ต้องล่าช้าออกไป จนบัดนี้นางอายุได้ยี่สิบแล้ว
เดิมทีนางคิดไว้ว่า จะอยู่ปรนนิบัติดูแลท่านปู่ตลอดไป แต่คิดไม่ถึงว่าจะพูดถึงเรื่องของเขาขึ้นมา เป็นถึงองค์รัชทายาทเลยเชียวหรือ?
จุนเมิ่งไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงก้มหน้างุดๆอยู่อย่างนั้น
ราชครูจุนอึ้งอยู่นาน ค่อยพูดขึ้นว่า: “ข้าคิดว่า ถ้ารอให้อ๋องเสียนสามีภรรยามาที่นี่ แล้วค่อยส่งมอบเด็กคนนี้ให้พวกเจ้าก็คงวางใจได้ คิดว่าบรรดาซื่อจื่อทั้งหลาย ต่างก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวด้วยกันทั้งสิ้น กลับคิดไม่ถึงว่า แม่เด็กคนนี้ยังมีชะตาชีวิตแบบนี้อยู่ด้วย แต่ผู้เฒ่าเช่นข้า ก็ไม่พิศวาสอะไรที่ต้องแก่งแย่ง ต้องชิงดีชิงเด่นในวังพวกนั้นนักหรอก! ”
“แต่เด็กคนนี้ มีชะตาที่ต้องใช้ชีวิตเป็นหงส์เคียงมังกรอยู่ในวังหลวง อีกทั้งต้องอยู่ไปจนถึงอายุเจ็ดสิบเลยด้วย ” เมื่ออันหลิงหยุนพูดออกมาเช่นนี้ ราชครูจุนก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริศไปโดยปริยาย
“ เจ้าว่าอะไรนะ? เจ็ดสิบปี? ” ราชครูจุนรีบสูดหายใจเข้าจนลึกเฮือกหนึ่ง
อันหลิงหยุนพูดว่า: “โชคชะตาเป็นฟ้าที่ลิขิต ถึงอย่างไรสุดท้ายก็ต้องได้เจออยู่ดี เพราะนี่คือลิขิตชีวิตของคนเรา ไยท่านราชครูต้องเก็บเอามาใส่ใจด้วยล่ะเจ้าคะ?”
“เช่นนั้นแล้วองค์รัชทายาทล่ะ?” ราชครูจุนไม่วางใจ
“ท่านราชครู ชะตาหงส์เป็นชะตากรรมของผู้ที่จะเป็นฮองเฮาจึงจะมีได้ หากอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดสิบก็ไม่ใช่ชะตาหงส์แล้วสิเจ้าคะ แต่ฮองเฮาเองก็มีชะตาหงส์ด้วยเช่นกัน”
ราชครูจุนรู้ว่าเขาถามอะไรไม่ออกแล้ว จึงไม่ถามอะไรอีก
หลังทอดถอนใจอย่างปลงตก: “ช่างเถอะ ปล่อยไปอย่างที่นางควรจะเป็นแล้วกัน”
ฮูหยินรองพูดขึ้นว่า : “ พระชายาเสียน วันนี้ค้างเสียที่นี่เถอะ เด็กคนนี้ทำอาหารเป็น ทั้งยังเล่านิทานช่วยคลายความเบื่อหน่ายเก่งมากอีกด้วย”
“ก็ดีเจ้าค่ะ ท่านอ๋อง พวกเราค้างเสียที่นี่เถอะ”
“อื้ม”
เด็กสองคนออกไปเล่นกันข้างนอก จุนเมิ่งก็ตามออกไปด้วย เมื่อจุนเมิ่งออกไปแล้ว อันหลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “ท่านราชครู การกลับมาเกิดชาติหน้าของท่านยังไม่แน่ว่าจะดี แต่ท่านกับฮูหยินรอง ยังมีชะตาที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันไปอีกสิบกว่าปีเลยทีเดียว”
ราชครูจุนเลิกคิ้ว: “สิบกว่าปี?”
“เจ้าค่ะ”
ฮูหยินรองก็ยังรู้สึกเหนือคาดไปมากเช่นกัน
ราชครูจุนถอนหายใจ: “ ทั้งชีวิตข้าทำชั่วมาก็ไม่น้อย คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงแก่ขนาดนี้ ทั้งยังมีอายุยืนยาวเสียด้วย”
“โบราณท่านว่าไว้ มีจันทร์ข้างขึ้น ก็ย่อมมีข้างแรม คนเรามีพานพบ ก็ย่อมมีจากลา เมื่อน้ำเต็มแก้วก็ย่อมต้องล้น ดวงจันทร์เต็มดวงย่อมต้องเริ่มเว้าแหว่ง ท่านราชครูสามารถถอนตัวออกไปทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ได้ ยอมถอยให้คนอื่น เพื่อหลงเหลือเส้นทางให้ตัวเองสายหนึ่ง หากพูดในมุมมองของคนรุ่นหลังแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากทีเดียวเจ้าค่ะ
เรียกได้ว่า หากหัวใจมีอยู่สิบส่วน เหลือไว้เจ็ดส่วน สิ่งที่เหลือไว้ก็คือเด็กคนนี้นี่เอง ”
ราชครูจุนปรายสายตาไปมองจุนเมิ่งที่ยืนอยู่ข้างนอก: “ไม่ตั้งใจปักต้นหลิว กลับได้ต้นหลิวที่ให้ร่มเงา ตั้งใจปลูกดอกไม้ กลับไม่ได้ดอกไม้ดั่งที่หวัง ตอนนั้นสิ่งที่ทั้งป้าของนาง ทั้งแม่ของนางหวังอยากได้ แต่แค่หลับฝันก็ยังไม่มีโอกาสฝันเห็นได้ด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นว่าผลสุดท้ายเป็นนางที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างไป ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจเหลือเกินแล้ว! ”
“จริงเจ้าค่ะ!” อันหลิงหยุนหยิบขวดใบหนึ่งออกมา แล้ววางลงตรงหน้าราชครูจุน: “นี่คือสิ่งที่ข้าจะมอบให้ท่านราชครู เป็นยาที่ช่วยยืดอายุขัยของท่านราชครูให้ยืนนาน ท่านจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี เพื่อช่วยดูแลประคับประคองจุนเมิ่งต่อไป”
“ เรื่องของราชสำนักพวกนั้น ข้าไม่อยากสนใจ แต่ถ้ามันเป็นชะตาชีวิตของนาง ข้าเองก็คงทำได้เพียงต้องช่วยนางเท่านั้นแล้ว”
ราชครูจุนสับสนมึนงง: “พวกเรามาอยู่ที่นี่ กระทั่งเงาคนยังแทบไม่มีมาให้เห็น แล้วองค์ชายรัชทายาทมาได้อย่างไรล่ะนี่?”
“….. ” อันหลิงหยุนปรายสายตาไปมองกงชิงวี่แวบหนึ่ง กงชิงวี่แปลกใจสิ้นดี: “แต่ไหนแต่ไรมา ข้าไม่เคยชอบเขาเลย มาถามจากข้าทำไมไม่ทราบ?”
“ไม่ใช่ถามท่านอ๋องเสียหน่อย ตอนนั้นเป็นท่านอ๋องที่ช่วยจุนเมิ่งไว้ บ่งบอกได้ว่าท่านอ๋องเป็นดาวนำโชคของจุนเมิ่ง มาตอนนี้ดาวนำโชคก็มาที่นี่แล้ว เช่นนั้นคนแห่งโชคชะตาของจุนเมิ่งคนนั้นก็ควรจะมาด้วยเช่นกัน”
ราชครูจุนหันไปมองกงชิงวี่ แล้วพยักหน้าเห็นด้วย
ในวันนั้นสองสามีภรรยาจึงรั้งอยู่ที่นั่น ฟ้าเพิ่งจะมืด ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านก็มีคนลงจากหลังม้า
กงชิงยี่เหรินหยุดอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง คนติดตามที่อยู่ข้างหลังเขาก็พูดขึ้นว่า: “องค์ชาย … ”
“เรียกข้าว่ายี่เหริน เจ้าเอาแต่เรียกข้าว่าองค์ชายๆไปทั่ว กลัวคนจะจำข้าไม่ได้หรืออย่างไร เจ้าไปไกล ๆ ข้าเลยไป๊ อย่ามาตามข้า”
กงชิงยี่เหรินปรายตามองคนข้าง ๆ อย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่ง
ผู้ติดตามก้าวถอยหลังไป : “เช่นนั้นยังไม่เข้าไปตอนนี้ ที่นี่คือหมู่บ้านกันดารห่างไกล หากองค์ชายเข้าไปคนเดียวจริง ๆ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าจะทำอย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ตอนนี้เป็นยุคที่บ้านเมืองรุ่งเรืองสงบสุข ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นจริงจะนับเป็นอะไรได้? หรือจะมีใครจับข้ากินเข้าไปอย่างนั้นหรือ? เจ้าหลีกไปทางโน้นเลยไป๊”
กงชิงยี่เหรินสาวเท้าก้าวเดินตรงไปทางหมู่บ้าน คนติดตามอารักขาที่ตามหลังมา จึงไม่เข้าไปตามคำสั่ง
กงชิงยี่เหรินได้ยินว่า กงชิงวี่หายดีแล้ว เขาจึงอยากมาดูให้เห็นกับตา หลายปีมานี้ท่าทีของทั้งสองคนเป็นเหมือนดั่งน้ำกับไฟ อย่างไรก็ไม่อาจปรองดองกันได้ หากไม่ใช่เพราะร่างกายของกงชิงวี่มีปัญหา เขาไม่มีวันยอมปล่อยเขาไปง่ายๆแน่
ตั้งแต่ยังเด็ก กงชิงยี่เหรินต้องทนทุกข์ทรมาน จากการถูกกงชิงวี่กดขี่มาโดยตลอด การที่กงชิงวี่ล้มป่วยลงในช่วงหลายปีมานี้ ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
มายามนี้ เขาอยากจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกงชิงวี่กับอันหลิงหยุน ต้องร้าวฉานแตกหักไปซะ ให้เขาได้ลิ้มรสรสชาติของการตกเป็นเป้าหมายเสียบ้าง
ที่ครั้งนี้หาที่นี่เจอจนได้ ก็เป็นเพราะหลงทางแท้ๆ
แต่สายรายงานมาว่า พบกงชิงวี่เดินทางมาที่หมู่บ้านนี้
เวลาออกไปข้างนอก กงชิงยี่เหรินจะแต่งกายด้วยชุดธรรมดามาก ๆ ตอนที่มาที่นี่ได้เจอเข้ากับพวกอันธพาลสองสามคน หลังเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อย จึงค่อยมาถึงได้ในที่สุด
เสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มบนร่าง ล้วนถูกทำจนเป็นรอยฉีกขาดไปทั่ว ทำให้สภาพเขาตอนนี้ดูเหมือนขอทานไม่มีผิด เหมือนพวกชาวยุทธตกอับ ที่ออกร่อนเร่พเนจรไปทั่วยุทธภพอย่างไรอย่างนั้น
คนติดตามแอบคิดในใจว่า พอเข้าหมู่บ้านไปแล้ว เขาคงไม่ถูกจับเพราะโดนมองว่าเป็นคนร้ายหรอกนะ? ทั้งถือกระบี่เปื้อนเลือดในมือ ทั้งเสื้อผ้าที่ใส่ก็เละเทะจนดูไม่ได้เสียขนาดนั้น
กงชิงยี่เหรินเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตู จึงวางแผนว่าจะเข้าไปถามสถานการณ์ความเป็นไปเสียหน่อย พลันเห็นคนสองสามคนเดินด้วยท่าทางลับๆล่อๆ เข้าไป หญิงสาวคนนั้นไม่ทันสังเกตเห็น สองคนนั้นก็ถือถุงบางอย่างในมือพุ่งเข้าไปหาทันที
หญิงสาวตกใจจนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว รีบร้อนหันหลังหนีอย่างรวดเร็ว
กงชิงยี่เหรินไล่ตามหลังไปติด ๆ ทั้งยังต่อสู้กับคนพวกนั้นอีกด้วย หญิงสาวคนนั้นเห็นว่ามีคนกำลังสู้กันจึงเดินกลับมา หนึ่งในนั้นคว้าเอาก้อนหินขึ้นมา คิดจะทุบกงชิงยี่เหรินให้ตาย กงชิงยี่เหรินรู้ว่ามีคนอยู่ข้างหลัง แต่คิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะมีเรี่ยวแรงมหาศาลเหมือนวัวตัวใหญ่ๆไม่มีผิด คว้าหินมาทุบเข้าที่ไหล่ของเขาเต็มๆ
ทันทีที่เกิดความเจ็บปวด กระบี่ในมือก็ร่วงตกลงพื้นไปทันที
หญิงสาวเห็นความสับสนวุ่นวายตรงหน้า จึงรีบหยิบกระบี่ขึ้นมาส่งให้อีกฝ่ายอีกครั้ง คนร้ายพากันวิ่งหนีไปทันที จุนเมิ่งมองดูชายหนุ่มที่ยืนอยู่อีกด้าน ทั้งตัวสั่นระริกด้วยความตื่นตระหนก คิดไปว่าเขาน่าจะเป็นคนในยุทธภพ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
กงชิงยี่เหรินเหลือบมองไปที่ไหล่ตัวเอง เอ่ยถามหญิงสาวออกไปว่า: “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”
จุนเมิ่งรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย: “ไม่สะดวกจะบอก ข้าจะช่วยดูอาการบาดเจ็บให้”
จุนเมิ่งเดินเข้าไปดู เมื่อเห็นว่าที่ไหล่มีเลือดออก จึงรีบพูดขึ้นว่า “ที่บ้านข้าตอนนี้ไม่สะดวกนัก วันนี้พอดีมีแขกมาเยี่ยมเยือน ไม่อาจเชิญเจ้าเข้าไปได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นชาวยุทธ พอจะเดินไหวหรือไม่?”
กงชิงยี่เหรินไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงจ้องมองจุนเมิ่งอย่างนิ่งงัน จุนเมิ่งถึงกับนึกสงสัยว่า หรือบางทีเขาอาจจะถูกตีจนกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว!