บทที่ 926 อ๋าวชิงผู้กังวลใจอย่างสุดแสน
เฟิ่งหลิงหยุนปรายตามองสองคนพ่อลูกที่ตัวติดกันเหนียวหนึบเป็นตังเม นางเองก็เพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่า พ่อลูกคู่นี้คล้อยตามกันได้กลมเกลียว จนเสมือนเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นอะไรที่ไม่ต้องบอกก็รู้ไส้รู้พุงกันหมด
กงชิงวี่ที่นั่งอยู่ด้านใน ค่อยๆเอนตัวเข้าไปใกล้ ๆ ส่วนกงชิงหยุนเยนก็ค่อย ๆ เอนตัวเข้ามาหา สองคนพ่อลูกจึงเอนกายอิงแอบแนบชิดกันในลักษณะนั้น ดูแล้วช่างไร้กฎเกณฑ์ไร้จารีตสิ้นดี ทำเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
“ หยุนเล่!”
เฟิ่งหลิงหยุนเพิ่งจะหันไปมองดูหยุนเล่ เขาก็กระอักเลือดออกมาจนกบปาก แล้วล้มเสียงดังโครมลงไปบนรถม้า
เฟิ่งหลิงหยุนถึงกับตกใจจนผงะ นางหันไปดูอีกสองคนที่เหลือ ช่างเข้าทำนองมีพ่ออย่างไรก็มีลูกสาวอย่างนั้นจริงๆ ทั้งสองคนไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีท่าทีใส่ใจใด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว
เฟิ่งหลิงหยุนจึงทำได้เพียงต้องไปดู ๆ อาการเขาเสียหน่อย แล้วหันไปมองสองคนนั้น: “พวกเจ้าไม่คิดจะช่วยคนหน่อยหรือ?”
กงชิงหยุนเยนชิงพูดขึ้นว่า: “เขาคิดจะฆ่าพ่อ เก็บไว้ก็เป็นภัยเปล่าๆ ไม่สู้ปล่อยให้ตายไปไวๆหน่อยจะดีกว่านะเจ้าคะ”
เฟิ่งหลิงหยุนถึงกับยอมให้เลยจริงๆ: “เจ้านี่ช่างเหมือนพ่อของเจ้าไม่มีผิด ไร้มนุษยธรรมสิ้นดี!”
กงชิงวี่พูดอย่างเฉยเมย: “ตีวัวกระทบคราดแค่นี้ ทำข้าโกรธไม่ได้หรอกนะ”
“ต่อให้ท่านอยากโกรธจริงๆ ก็เกรงว่าท่านคงไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องนั้นนักหรอก” เฟิ่งหลิงหยุนหันไปมองหยุนเล่ที่ยังสลบไม่ฟื้น เมื่อตรวจดูอาการแล้วพบว่าไม่ค่อยดีนัก จึงนำยาออกมาให้เขากินไปเม็ดหนึ่ง การหายใจของหยุนเล่ก็เริ่มดีขึ้น เฟิ่งหลิงหยุนจึงสั่งให้คนขับรถออกไป
เมื่อรถม้ากลับถึงพระราชวัง กงชิงวี่ก็ก้าวลงจากรถ แล้วอุ้มเฟิ่งหลิงหยุนกับกงชิงหยุนเยนด้วยแขนคนละข้างลงไปด้วย ในขณะที่หยุนเล่นั้น มีเฟยยิงเป็นคนช่วยอุ้มลงมาจากรถม้าให้
ในเวลานี้เฟยยิงยังคงเป็นเฟยยิง ส่วนกงชิงวี่ยังใช้ใบหน้าของเฟยยิงอยู่ ทั้งสองจึงมีเพียงชุดแต่งกายเท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน
หยุนเล่ถูกส่งไปยังตำหนักบรรทมของเฟิ่งหลิงหยุน เฟิงหลิงหยุนจึงมีคำสั่งออกไปว่า: “ไปแจ้งแก่อ๋าวเฉิงเสี้ยง บอกไปว่าข้าขอเชิญเขามาที่นี่”
จากนั้นเฟิ่งหลิงหยุนจึงไปเขียนใบสั่งยา แล้วเรียกหมอหลวงมาเพื่อเตรียมต้มยาให้พร้อม
กงชิงหยุนเยนยังเฝ้าเกาะแจอยู่ข้างตัวกงชิงวี่ไม่ห่าง ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบอย่างกระตือรือร้น
พ่อลูกไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันชั่วเวลาหนึ่ง ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ต้องแยกจากกัน เมื่อได้มาพบหน้ากันอีกครั้ง จึงมีเรื่องพูดคุยมากมายไม่รู้จบ
เมื่อเฟิ่งหลิงหยุนจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย อ๋าวชิงก็รีบร้อนมาถึงพอดี ทันทีที่เข้าประตูมา เขาก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ในห้องมีเฟยยิงอยู่ถึงสองคน
แต่อ๋าวชิงเพียงแค่มองกงชิงวี่นานหน่อย แล้วรีบไปดูอาการของหยุนเล่ทันที
อ๋าวชิงนั่งลง ยกมือขึ้นกดลงบนข้อมือของหยุนเล่ เฟิ่งหลิงหยุนอธิบายว่า: “เขาเกิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวรุนแรง จนส่งผลร้ายต่อหัวใจ หยุนเล่เพิ่งจะสิบสอง แต่ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะมีอารมณ์รักใคร่ที่รุนแรงมากขนาดนี้ มากกจนถึงขั้นกระอักเลือดได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป น่ากลัวว่าร่างกายของเขาคงอยู่ได้สักแค่สิบหรือยี่สิบปี ก็คงฝืนไปมากกว่านั้นไม่ไหวแล้ว เป็นไปได้อย่างมากว่า ร่างกายเขาเดิมทีก็มักป่วยออด ๆ แอด ๆ อยู่ก่อนแล้ว ”
“ข้าจะต้องรักษาหยุนเล่ให้หายดีให้จงได้” อ๋าวชิงคิดจะพาหยุนเล่กลับ แต่หยุนเล่กลับลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วจ้องมองอ๋าวชิงแน่วนิ่ง
“ท่านพ่อ ข้าอยากอยู่ร่วมกันกับหยุนจวิ้นจู่ แต่ทำไมนางถึงไปอยู่ร่วมกันกับเฟยยิงได้ล่ะขอรับ?” ในขณะที่พูด หยุนเล่ก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จะอย่างไรเขาก็ไม่อาจตัดใจยอมให้เป็นอย่างนั้นได้จริงๆ
อ๋าวชิงสีหน้าเย็นชา หันมองไปทางกงชิงวี่ แล้วพูดด้วยอาการโกรธเคืองว่า : “เขาใช่เฟยยิงเสียที่ไหน เขาเป็นคนอื่นที่ปลอมตัวสวมรอยมาต่างหาก”
หยุนเล่ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ อ๋าวชิงพูดต่อไปว่า: ” เขาคืออ๋องซื่อเจิ้นแห่งประเทศต้าเหลียง เป็นบิดาของหยุนจวิ้นจู่ นามว่ากงชิงวี่ ”
หยุนเล่ตะลึงค้างไปแล้ว ค่อยๆหันไปมองช้า ๆ ก็พบว่ามีเฟยยิงสองคน จึงพินิจมองไปยังคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กงชิงหยุนเยนอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากอึ้งอยู่นาน ก็พูดขึ้นในที่สุดว่า: “เป็นหยุนเล่ที่วู่วามแล้ว คารวะท่านอ๋องซื่อเจิ้น”
กงชิงวี่ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย อีกทั้งเขาก็ไม่ชอบหน้าหยุนเล่ แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าเคยได้เจอหยุนเล่จากที่ไหนมาก่อน เพียงแต่คิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนก็เท่านั้น
เฟิ่งหลิงหยุนพูดขึ้นว่า: “ท่านอ๋องคงจะเหนื่อยแล้ว เชิญตามข้ามาทางนี้เถอะ”
เฟิ่งหลิงหยุนเดินนำเข้าไป กงชิงวี่จึงดึงกงชิงหยุนเยนตามเข้าไปข้างในด้วย
หยุนเล่นอนลง รู้สึกทุกข์ใจอย่างหนัก: “ทำไมเขาถึงไม่ชอบข้าล่ะ?”
“เจ้าจะมาพาตัวลูกสาวเขาไป เขาย่อมไม่มีวันชอบเจ้าอยู่แล้วล่ะ อย่าไปสนใจนักเลย” อ๋าวชิงอุ้มหยุนเล่ขึ้นมา แล้วหมุนตัวจากไป
เฟิ่งหลิงหยุนเข้าตำหนักบรรทมแล้ว ก็หันไปมองกงชิงวี่: “ท่านอ๋องจำได้แล้วหรือไม่?”
กงชิงวี่นั่งลง แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง: “คิดว่าคงเคยเจอกันมาก่อนแน่ๆ เหมือนจะรับรู้ได้ แต่ข้าแปลกใจนัก ในหมู่มวลคนที่เคยได้เจอมาทั้งหมด ข้าแค่เห็นก็ควรจะจำได้ในทันทีสิ ทำไมครั้งนี้ถึงจำไม่ได้ล่ะ?”
“ เช่นนั้น ท่านอ๋องตั้งใจว่าจะคิดอย่างนี้ต่อไปหรือเพคะ?”
“ต้องคิดไปทำไม? เสี่ยวหยุนไม่ชอบเขา ข้าก็ไม่ชอบ ในภายหน้าแค่ไม่ต้องไปมาหาสู่กันอีก จนกว่าจะแก่ตายจากไปก็พอแล้วนี่” กงชิงวี่พูดอะไรทำนองนี้ออกมาได้ ทำเอาเฟิ่งหลิงหยุนต้องขอชื่นชมจากใจเลยจริงๆ
“ ท่านอ๋องนี่ช่างน่าทึ่งเสียจริง ในเมื่อท่านไม่ชอบ ยังไปทำให้คนเค้าโกรธจนเป็นแบบนั้นเลย?”
“เฮอะ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าเขามันใช้ไม่ได้ถึงขนาดนี้?”
“ท่านอ๋อง เขาเป็นลูกบุญธรรมของอ๋าวชิง อ๋าวชิงคงไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แน่ ท่านคิดว่าประเทศเฟิ่งนี้มีข้าอยู่คนเดียวอย่างนั้นหรือ?”
เฟิ่งหลิงหยุนจ้องกงชิงวี่ด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก: “หากไม่มีคำอธิบายที่เหมาะสมล่ะก็ อ๋าวชิงคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ประเทศเฟิ่งก็คงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆเช่นกัน”
กงชิงวี่เลิกคิ้วแล้วหันมามองแวบหนึ่ง: “ข้ามีวิธีของตัวเองน่า แต่ไม่คิดว่ามาครั้งนี้มันจะราบรื่นขนาดนี้ เรื่องที่จะยึดครองประเทศเฟิ่ง เชื่อว่าคงไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมากมาย ก็คงจะสำเร็จได้โดยง่ายแล้วล่ะ”
เฟิ่งหลิงหยุนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้า: “ท่านอ๋องอยากจะทำอะไรก็ตามใจเถอะ”
กงชิงหยุนเยนรีบถามว่า: “พ่อ ท่านวางแผนว่าจะจัดการกับหยุนเล่อย่างไรเจ้าคะ? ข้าสามารถลงมือให้ท่านได้นะ”
เฟิ่งหลิงหยุนหันไปมองขวับ: “อายุแค่นี้ไม่รู้จักเรียนรู้วิธีช่วยคน กลับเรียนรู้แต่วิธีทำร้ายคน หากเจ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป เกิดวันพรุ่งนี้ข้าฆ่าพ่อเจ้าตาย เจ้าก็จะมาฆ่าข้าด้วยใช่หรือไม่?”
กงชิงหยุนเยนจ้องมองเฟิ่งหลิงหยุนอยู่เป็นนาน มีท่าทีวิตกกังวลใจขึ้นมาแล้ว หันไปมองหากงชิงวี่ กงชิงวี่ก็ปกป้องลูกสาวเต็มที่ โอบลูกสาวเข้ามาในอ้อมแขน พูดขึ้นว่า “ออกไปข้างนอกตั้งนาน คงจะเหนื่อยแล้วสินะ นอนสักหน่อยเถอะ”
“อื้ม”
กงชิงหยุนเยนรีบโผออกจากอ้อมแขนของกงชิงวี่ทันที แล้วพูดขึ้นว่า “พ่อ ข้าไปอาบน้ำนะเจ้าคะ แล้วจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ”
“อื้ม”
กงชิงหยุนเยนแอบมองไปทางเฟิ่งหลิงหยุน จากนั้นจึงรีบเดินจ้ำอ้าวจากไปอย่างรวดเร็ว
เฟิ่งหลิงหยุนมองตามกงชิงหยุนเยนที่เดินคล้อยหลังออกไป แล้วหันมามองกงชิงวี่: “ถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว นางก็ถือว่าทำสำเร็จได้จริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่าข้าคือคนที่ชนะ ได้ท่านอ๋องมาครอบครอง แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นนางต่างหากที่ชนะ อีกทั้งข้าไม่เพียงทำให้ท่านอ๋องยอมแพ้ แม้แต่ข้าเองก็ยังแพ้ด้วยแล้ว ”
กงชิงวี่ชำเลืองมองลูกสาวที่เดินคล้อยหลังไปแล้วยิ้ม:“ ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ? สุดท้ายแล้วข้าต้องพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง เป็นเพราะข้าเองที่ติดค้างนางในเวลานั้น มาจนวันนี้กลัวก็แต่ว่าอาจต้องชดใช้เป็นสองเท่าเสียด้วยซ้ำ หากจะพูดในมุมมองของข้าแล้ว โลกใบนี้ มีเพียงหยุนหยุนและนางเท่านั้นล่ะที่ข้าจะยอมให้เช่นนี้! ”
เมื่อกงชิงหยุนเยนอาบน้ำกลับมาถึง กงชิงวี่กับเฟิ่งหลิงหยุน ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดิมทีเฟิ่งหลิงหยุนไม่คิดจะพักอยู่ด้วยกันกับกงชิงวี่ แต่เขากลับยืนกรานว่าจะพักด้วย ทั้งยังบอกว่าแค่วันสองวันก็จะต้องไปแล้ว เพราะยังมีธุระสำคัญที่ต้องไปทำอีก เฟิ่งหลิงหยุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงยอมให้เขาอยู่ด้วย
เมื่อเห็นพ่อกับแม่ กงชิงหยุนเยนก็รีบเดินตรงเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว: “พ่อ แม่”
“อืม พักผ่อนเถอะ พ่อมีเรื่องจะคุยกับแม่สักสองสามประโยค” กงชิงวี่โอ๋ลูกสาวมามากพอแล้ว แต่เขายังไม่ง่วง ยังมีเรื่องที่อยากจะคุยกับเฟิ่งหลิงหยุนอีก
กงชิงหยุนเยนจึงไปล้มตัวลงนอน ทั้งสองคนนั่งคุยกันอยู่อีกด้าน ส่วนเฟยยิงยืนเฝ้ายามอยู่ที่ประตู
เมื่อเหนื่อยแล้ว ทั้งสองจึงลุกขึ้นเตรียมตัวไปพักผ่อน เพิ่งจะเอนหลังลงนอน ก็เห็นว่าหยุนเล่มาขอเข้าพบแล้ว
กงชิงวี่ลุกขึ้นแล้วปรายตาไปมองครู่เดียว จากนั้นก็กลับไปนอนต่อ
เฟิ่งหลิงหยุนลดม่านเตียงลง รวบเก็บชายชุดนอนตัวหลวมให้เรียบร้อย แล้วเกลี่ยเส้นผมนุ่มสลวยราวผ้าไหมเนื้อดีไปไว้ด้านหลัง
เมื่อหยุนเล่เข้ามาก็เอาแต่ก้มหัวจนต่ำ มือสองข้างกำเป็นหมัด ประสานกันไว้อย่างเจียมตน
เฟิ่งหลิงหยุนถามว่า : “มีธุระอะไรหรือ?”
หยุนเล่รีบยกชายเสื้อคลุมขึ้น แล้วคุกเข่าลงทันที: “วันนี้หยุนเล่ใจร้อนวู่วาม ทำให้ท่านอ๋องซื่อเจิ้นต้องขุ่นเคืองใจแล้ว จึงตั้งใจมาขอขมาโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”
อันที่จริงเฟิ่งหลิงหยุนก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป ในที่สุดจึงพูดไปว่า: “ท่านอ๋องซื่อเจิ้นพักผ่อนแล้ว เจ้าก็กลับไปก่อนเถอะนะ จะอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ ”
“หยุนเล่บาดเจ็บไม่นับเป็นอะไรได้ ข้าเพียงอยากพบท่านอ๋องซื่อเจิ้น อยากขอเจรจากับท่านอ๋องซื่อเจิ้น ในเรื่องการสู่ขอหมั้นหมายพ่ะย่ะค่ะ” อ๋าวชิงที่รีบร้อนเดินตามหลังหยุนเล่มาอย่างรวดเร็วนั้น เป็นห่วงเป็นกังวลใจแทนลูกชายคนนี้เหลือเกินแล้วจริงๆ