บทที่ 889 ยังมีลูกชายอีกคน
“หลิงหยุน เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ข้าอยากรู้จุดประสงค์ที่เจ้าทำ คนนั้นพวกเราต่างก็มี อีกทั้งยังมียอดฝีมือด้วย”
“เป็นยอดฝีมืออย่างไร”อันหลิงหยุนต้องการแน่ใจ วิทยายุทธจะสูงถึงจุดไหน
“หากมีสิบคน ใช้เวลาภายในหนึ่งวันก็สามารถยึดเมืองเมืองหนึ่งได้”
“พวกเขาภักดีหรือไม่”
“คนในยุทธภพ ภักดีนั้นมีไม่กี่คน พวกเขารักอิสระ ไม่ชอบการควบคุม แต่ว่าคำไหนคำนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะแน่นอนเสมอไป”
“ข้าอยากจะฝึกฝนคนกลุ่มหนึ่ง คนพวกนี้ต้องภักดีแม้ตัวตาย และยังสามารถปกป้องคนได้ด้วย”
หยุนจิ่นมองจื่อฮั่วแวบหนึ่ง คิดว่าคงเป็นเด็กคนนี้ จึงพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา จะให้จัดการตอนนี้เลยหรือไม่”
“ก่อตั้งสำนักก่อน เจ้าเข้ามาเตรียมการชั่วคราว ให้ท่านถางช่วยเจ้า หมอกุ่ย ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปท่านต้องดูแลความปลอดภัยของท่านถาง ท่านมีปัญหาหรือไม่ ”
“ไม่มีปัญหา”หมอกุ่ยตอบรับ
อันหลิงหยุนมองไปทางเฟยยิง “เฟยยิง อีกเดี๋ยวเจ้าอยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
“ขอรับ”
อันหลิงหยุนครุ่นคิดอยู่สักครู่ “เรื่องชื่อสำนัก ให้เรียกสำนักหลิงหยุน”
หยุนจิ่นตกใจเล็กน้อยอยู่ชั่วครู่ “ชื่อนี้ไม่เลว”
“หยุนจิ่น เจ้าทำหนังสือรายชื่อออกมา เขียนชื่อของทุกคนลงไป ข้าจะทำการจัดเรียงใหม่ ส่วนร้านค้าอีกสามแห่งต้องขยายออกไป เพื่อเตรียมพร้อมด้านการเงิน จะเลี้ยงคนพวกนี้ให้อยู่รอดไม่ใช่เรื่องง่าย เงินจะน้อยไม่ได้ และสำนักหลิงหยุนต้องกลายเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินทั้งสี่ทิศนี้ เปิดโดยไม่จำกัดเขตแดน
ต้องมีคนของพวกเรากระจายอยู่ทั่วไปบนแผ่นดินทั้งสี่ทิศ
ต้องเป็นสำนักที่ใหญ่ที่สุด ในยุทธภพ ”
หยุนจิ่นพูดว่า “เช่นนั้นก็ต้องใช้เงินมากจริงๆ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“เรื่องนี้อย่าให้กระทบต่อท่านอ๋องกับพ่อข้า ต้องทำการอย่างเป็นความลับ ท่านถาง ท่านอย่าบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด โดยเฉพาะอาหยู่ เขาต้องบอกพ่อข้าแน่
ท่านถางท่านกลับไปก่อน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เรื่องยาสมุนไพรของท่าน ให้อยู่ในการควบคุมดูแลของสำนักหลิงหยุน ข้าจะจัดทำแผนงานขึ้นหนึ่งชุด ท่านเพียงแต่ทำตามที่กำหนดก็พอ
หมอกุ่ย เรื่องโรงงานยาก็เช่นเดียวกัน ให้อยู่ในการควบคุมของสำนักหลิงหยุน ข้ากับท่านถางสถานะเท่าเทียมกัน สองคนควบคุมเรื่องยาทั้งหมดของสำนักหลิงหยุน
หมอจวนโจว ท่านควบคุมเรื่องโรงหมอทั้งหมด มีคนคนหนึ่งชื่อสวี่หยวน วิชาการแพทย์ของคนคนนี้ไม่เลว ท่านสามารถสังเกตอย่างลับๆ หากว่าคนคนนี้ใช้ได้ สามารถดึงเขาเข้ามา หากไม่เหมาะสม ก็ไม่ต้องสนใจอีก
หมอจวนโจว ข้าหวังว่าคนของพวกเรา สามารถอ่อนได้บ้างเล็กน้อย แต่ต้องเป็นคนภักดีจนตัวตาย หากไม่ใช่ ความสามารถจะมากแค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องใช้พวกเขา”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”หมอจวนโจวติดตามอันหลิงหยุนมาก็นานแล้ว สิ่งที่อันหลิงหยุนสอนเขาก็จำใส่ใจ และยังได้รับประโยชน์มากมายอีกด้วย
อันหลิงหยุนพยักหน้า “พวกเจ้ากลับไปก่อน หมอกุ่ยกับเฟยยิงอยู่ก่อน หยุนจิ่น เจ้ากลับไปแล้วเรียกให้ยอดฝีมือสิบคนมาให้ข้า ข้าจะให้พวกเขาคุ้มครองที่นี่ และจะได้ทดสอบฝีมือไปด้วย”
“หยุนจิ่นทราบแล้ว”
“กลับเถอะ ระหว่างทางระวังด้วย หากมีเรื่องค่อยมา”
“เพคะ”
หยุนจิ่นพาคนจากไปแล้ว อันหลิงหยุนลุกขึ้นไปยังลานบ้าน “หมอกุ่ย ข้ารู้ว่าข้าทำเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่ข้าไม่มีใครที่คิดว่าจะทำงานได้นี้ได้แล้ว”
หมดกุ่ยถาม “อาจารย์ ท่านอยากจะให้ข้าช่วยคุ้มครองที่นี่หรือ”
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง ความสามารถของเฟยยิงมีจำกัด แต่ข้าเคยได้ยินท่านอ๋องพูด เขามีความสามารถที่แฝงอยู่เป็นอย่างมาก เจ้าช่วยข้าฝึกฝนเฟยยิง ข้าต้องการให้เขาพัฒนาขึ้นอย่างเร็วที่สุด”
“เร็วที่สุด”
“ก็คือให้เจ้าสอนวิทยายุทธทุกอย่างที่เจ้าเรียนให้กับเขา เอาที่ดีที่สุดของเจ้า และเพื่อตอบแทนเจ้า ข้าจะถ่ายทอดทุกอย่างที่ข้าเรียนมาทั้งชีวิตให้กับเจ้า”
หมอกุ่ยอึ้งไปสักพัก มองอันหลิงหยุนอย่างตะลึง
เฟยยิงก็นิ่งอึ้งไป
หมอกุ่ยเอ่ยขึ้น “อาจารย์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ อาจารย์ต้องการให้ข้าทำอะไร ขอเพียงไม่กระทบต่อสำนักทิงเฟิง ข้าสามารถทำได้ทั้งสิ้น ”
อันหลิงหยุนส่ายหน้า “ไม่ใช่ ข้าไม่สามารถติดค้างเจ้าได้ เจ้าติดตามข้ามาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว เรียนรู้พื้นฐานจากหมอจวนโจวมาบางส่วน แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมอบงานทั้งหมดให้เจ้า ข้ายังมีตำราพิษอยู่สองเล่ม ข้างในบันทึกเกี่ยวกับพิษชนิดต่างๆ และวิธีการแก้พิษทั้งหลาย
ข้ายังจะเขียนตำราแพทย์เล่มหนึ่งขึ้นมา ข้างในจะมีเรื่องทั้งหมดที่ข้าเคยร่ำเรียนมา จะให้เจ้าทั้งหมด ขอเพียงเจ้าถ่ายทอดวิทยายุทธทั้งหมดของเจ้าให้กับเฟยยิง ให้ความสามารถของเขาไม่ต่างจากเจ้ามากนัก หรือก้าวหน้ากว่า ”
หมอกุ่ยมองเฟยยิงแวบหนึ่ง ที่จริงวิทยายุทธสำหรับเขาไม่ได้สำคัญมาก เขาหลงใหลในการแพทย์มากกว่า
“ข้าตกลง อาจารย์เองก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบถ่ายทอดอะไรให้ข้า”
อันหลิงหยุนไม่ได้ตอบอะไร กลับพูดขึ้นว่า “เฟยยิงเจ้าต้องเรียนรู้ดีๆ แต่อย่าใจร้อน เจ้าเรียนรู้ก็พอ”
เฟยยิงพยักหน้า มองไปยังหมอกุ่ย “ขอบคุณ”
อันหลิงหยุนพูด “พวกเจ้าเริ่มเถอะ ข้าเองก็จะดูด้วย จำไว้ให้ต่อสู้กันเป็นหลัก ต้องดุดันให้เขาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด ก็คือต่อยตีนั่นแหละ ที่สุดเจ้าสามารถตีหมอกุ่ยได้ เจ้าก็ชนะ”
“ขอรับ”
เฟยยิงเดินไปอีกฝั่ง เชิญหมดกุ่ยเริ่มก่อน
หมดกุ่ยเดินไปที่ลานบ้าน ทั้งสองต่อสู้กันขึ้น
เฟยยิงดูแล้วความสามารถไม่ด้อยเลย แต่ต่อหน้าหมอกุ่ย กลับอ่อนแอมาก
อันหลิงหยุนอุ้มจื่อฮั่ว มองไปที่ทั้งสองคน
เจ้าห้าเดินมาถึงด้านหลังของอันหลิงหยุน เงยหน้าขึ้นมองอันหลิงหยุน อันหลิงหยุนพูดว่า “ไม่ว่าภายหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องปกป้องพ่อกับน้องสาวของเจ้าให้ดี ทุกคนต้องอยู่พร้อมหน้า แม้ว่าจะต้องเป็นศัตรูกับใต้หล้าก็ตาม”
เจ้าห้าอืมหนึ่งเสียง ก็หันไปมองที่การต่อสู้ในลานบ้าน
คนของหยุ่นจิ่นมาถึงตอนพลบค่ำ มากันสิบคน ทั้งสิบคนล้วนเป็นบุรุษ อีกทั้งอายุยังไล่เลี่ยกัน
อันหลิงหยุนได้พบหลายคน พูดคุยไม่กี่คำ ก็สั่งการให้อยู่เฝ้าลานบ้าน ให้พวกเขาทำหน้าที่คุ้มกัน
ทั้งสิบคนมาแล้ว อันหลิงหยุนก็เรียกให้หมอกุ่ยพาเฟยยิงไปยังภูเขาที่ไกลออกไปสิบลี้ ให้พวกเขาไปฝึกฝนกันบนภูเขา
พอพวกเขาไปแล้วอันหลิงหยุนก็ได้รับข่าวจากอาหยู่ กงชิงวี่กำลังสะสางเรื่องของเหล่าราชนิกุล เขาจับตัวหงเย่ ต้องจัดการกับปัญหาหลังจากเกิดเรื่องแล้วให้เหมาะสมที่สุด สองวันนี้ก็อยู่แต่ในวัง
อันหลิงหยุนบอกกับอาหยู่ว่ารู้แล้ว ถามไม่กี่คำเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของอาหยู่ อาหยู่ก็จากไป
อาหยู่จากไปแล้วอันหลิงหยุนก็ไปพักผ่อน
และสามวันให้หลังก็เป็นวันลงโทษหงเย่ อันหลิงหยุนยังคงวางแผนเกี่ยวกับสำนักหลิงหยุนทุกวัน ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ได้ยินเรื่องการลงโทษอันหลิงหยุนเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้กับหยุนจิ่น หยุนจิ่นรอกงชิงวี่อยู่ที่หน้าประตูจวนอ๋องเสียน ช่วงไม่กี่วันนี้ให้เขาอยู่แต่ที่บ้าน ช่วงนี้คงไม่ได้เจอหน้ากัน ข้ออ้างคือเขาฆ่าคน กลิ่นคาวเลือดรุนแรงเกินไป
กงชิงวี่สีหน้าไม่พอใจ ไปถึงบ้านที่อยู่นอกเมืองแล้ว แต่ก็ไม่ยอมเข้าไป
ยืนอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาชั่วยาม แล้วก็หมุนตัวกลับจวนอ๋องเสียนไป
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทั้งสองก็ไม่ได้พบหน้ากัน แต่ว่าฮ่องเต้หนานอี้รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว แม้ว่าร่างกายของเขาจะดีวันดีคืน แต่กลับทนไม่ได้เรื่องที่ไม่ได้พบหน้าอันหลิงหยุน
เขาสอบถามเรื่องที่อยู่ของอันหลิงหยุน ก็เดินออกจากเมืองหลวง พอถึงหน้าประตูบ้านก็จะเดินเข้าไป
ปรากฏว่ามีคนคุ้มกันบ้านอยู่ อันหลิงหยุนก็เขียนจดหมายให้เขาหนึ่งฉบับ ไม่พบเขา ในจดหมายระบุว่าซูมุ่หรงได้ตายไปแล้ว เป็นเพราะว่าศพเน่าเปื่อยอย่างรุนแรง ไม่เหลือแล้ว อันหลิงหยุนยังกล่าวถึงองค์ชายสี่ซูมู่ไห่ หวังว่าจะพิจารณาให้เขาเป็นรัชทายาท
ได้รู้ว่าซูมู่หรงตายแล้ว ฮ่องเต้หนานอี้ก็รู้สึกเศร้าเสียใจอยู่บ้าง ยืนอยู่หน้าประตูเกือบจะสิ้นลมไปแล้ว อันหลิงหยุนเรียกให้คนส่งฮ่องเต้หนานอี้กลับจวนอ๋องเสียนและไม่สนใจอีก
ฮ่องเต้หนานอี้ตื่นขึ้นมาด้วยความเสียใจ ด่าอันหลิงหยุนไป่ชุดหนึ่ง นึกถึงองค์ชายสี่ซูมู่ไห่ เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าเขายังมีลูกชายอีกคน