บทที่ 876 ถูกคนรายงานความผิดเข้าแล้ว
อันหลิงหยุนตื่นขึ้นมาในตอนกลางดึก กงชิงวี่ไปอยู่ที่หน้าประตูแล้ว เจ้าห้าก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เขามักจะกังวลว่า จะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นอยู่เสมอ ๆ เพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหว เจ้าห้าก็ตื่นขึ้นมาได้ทันทีแล้ว
เจ้าห้าลุกขึ้นนั่ง มองไปที่จื่อฮั่วที่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากนั้นค่อยมองไปข้างนอก อันหลิงหยุนพูดกับเขาว่า “ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก ไม่ได้มีเรื่องอะไรมากมายขนาดนั้น ลูกวางใจได้”
อันหลิงหยุนลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู มองผ่านรอยแตกของประตูออกไป กงชิงวี่ยืนอยู่ด้านนอกอย่างที่คิดจริงๆ
หลังจากอันหลิงหยุนได้ฟังคำพูดโต้ตอบกันสองสามประโยค จึงรู้ว่าเป็นเรื่องที่สืบจนพบร่องรอยของกงชิงเซวียนเหอแล้ว อีกทั้งหงเย่ก็ได้หลบหนีไปหากงชิงเซวียนเหอแล้วเช่นกัน
อันหลิงหยุนหันหลังกลับไปที่เตียง : “เป็นเรื่องอื่นน่ะ วางใจเถอะ มีแม่อยู่ด้วย ไม่มีใครทำร้ายลูกกับจื่อฮั่วได้แน่ ลูกพักผ่อนก่อนเถอะ แม่จะรอพ่อกลับมา”
เจ้าห้าจึงยอมนอนลงโดยดี ร่างกายเล็ก ๆ แนบชิดอยู่กับร่างของจื่อฮั่ว ดูเหมือนว่าจื่อฮั่วจะไม่รังเกียจเจ้าห้าอีกต่อไปแล้ว เจ้าห้ายื่นมือเล็ก ๆ ออกไป พยายามจะโอบกอดจื่อฮั่วไว้ ซึ่งจื่อฮั่วเองก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธใดๆ
อันหลิงหยุนมองดูเด็กทั้งสอง นึกย้อนกลับไปถึงท่าทีก่อนหน้านี้ของทั้งสองคน ว่าเดิมทีจื่อฮั่วเป็นคนที่มีนิสัยเย่อหยิ่งถือดีคนหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะจากไป ยังแสดงท่าทีหยิ่งผยองถึงขนาดนั้นอยู่เลยแท้ ๆ แต่มาตอนนี้กลับกลายเป็นอย่างนี้ไปเสียได้
เด็กทั้งสองหลับไปแล้ว อันหลิงหยุนจึงไปนำผ้าห่มมาห่มให้พวกเขา
กงชิงวี่กลับมาจากข้างนอก ก็ตรงมาดูนางทันที อันหลิงหยุนชิงถามขึ้นว่า “พบตัวหงเย่แล้วหรือเพคะ?”
“เรื่องหาตัวจนพบ เป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องหาจนพบอยู่แล้ว แต่เกรงว่าคิดจะหาให้พบในตอนนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายๆเสียแล้ว” กงชิงวี่นั่งลง: “ทำไมหงเย่ถึงต้องมาที่หนานอี้ แล้วทำไมกงชิงเซวียนเหอถึงมาอยู่ที่หนานอี้ได้ล่ะ?”
“ความหมายของท่านอ๋องคือ พวกเขาหลอกพวกเรา โดยมีจุดประสงค์คือจะดึงเราออกมาจากนั้นก็แค่รอจับเต่าในไหหรือเพคะ? ” (เทียบกับสุภาษิตไทยได้ว่า หมูในอวย คือเมื่อตกอยู่ในกํามือแล้ว ต้องการจะทำอะไรก็สามารลงมือได้โดยง่าย)
“อืม”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรกันดีเพคะ?”
กงชิงวี่มีท่าทีเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง: “พรุ่งนี้ค่อยคุยกันเถอะ”
หลังจากนอนหลับไปได้เพียงครู่เดียว อันหลิงหยุนก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังแว่วมาจากข้างนอก จึงทำให้นางต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้น อันหลิงหยุนก็เห็นกงชิงวี่ที่ลุกขึ้นมาสวมเสื้อคลุมแล้ว กงชิงวี่เอ่ยขึ้นว่า “ข้าออกไปดูเอง พวกเจ้านอนเถอะ ”
“ท่านอ๋อง ระวังตัวด้วยนะเพคะ!” ความสามารถของกงชิงวี่นั้น อันหลิงหยุนรู้ดี แต่ก็ยังอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้
เมื่อมองดูเงาแผ่นหลังของกงชิงวี่ที่เดินจากไป อันหลิงหยุนก็เอาแต่รู้สึกว่าเวลานั้นกำลังจะหมดลงไปทุกทีๆแล้ว ถ้ายังไม่ใส่ใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปก็คงจะไม่มีโอกาสได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว
กงชิงวี่ก็รู้สึกเหมือนกันว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติไป ในอดีตที่ผ่านมา เขาสามารถทำทุกอย่างที่ไม่ควรทำได้โดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ต่อให้ไม่ได้ถึงขั้นถลกผิวหนังอีกฝ่ายออกมา เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้ศัตรูรอดไปได้ง่าย ๆ อย่างนี้เด็ดขาด
แต่ครั้งนี้ซูมู่หรงตายไป สมัยก่อนเขายังทั้งหึงทั้งหวง พาลพาโลโมโหโกรธาอาละวาดไปไม่น้อย แต่มาตอนนี้เขากลับไม่บ่นไม่พาลแม้สักครึ่งคำ ยังสามารถทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นได้อีกด้วย
ในใจพลันรู้สึกไม่สงบขึ้นมาแล้ว!
กงชิงวี่หันไปถามว่า: “มองข้าทำไมหรือ?”
“ไม่ได้มองอะไร ระวังตัวด้วยนะเพคะ!” อันหลิงหยุนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมา แค่อยากกำชับเตือนสติไม่ให้ประมาทก็เท่านั้นเอง
กงชิงวี่หันมามองอีกครู่หนึ่ง จึงค่อยหมุนตัวเดินจากไป
ประตูปิดลง กงชิงวี่หันกลับไปมองที่ประตูห้องอีกครั้ง แล้วหันไปมองที่ลานบ้าน คนที่บุกมามีจำนวนไม่น้อย ยามนี้เข้าต่อสู้ปะทะกันจนยุ่งเหยิงชุลมุนไปหมด เฟยยิงไม่ขยับเขยื้อนใดๆ เพียงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเท่านั้น
กงชิงวี่ปรายตาไปมองเฟยยิงแวบหนึ่ง : “เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าเพิ่งมาถึง ก็เจอคนพวกนี้บุกเข้ามาแล้วขอรับ ” เฟยยิงก็เร่งเดินทางตามหลังพวกเขามาติดๆเช่นกัน
กงชิงวี่มองเข้าไปในลานบ้าน พวกคนที่บุกเข้ามา ไม่ได้มีฝีไม้ลายมือที่เก่งกาจมากมายอะไรนัก เพียงไม่นานพวกเขาก็ถูกฆ่าตายจนหมด
“ท่านอ๋อง นี่มันแปลกเหลือเกินแล้ว พวกเขาแค่มารนหาที่ตายชัดๆ!” กระทั่งเฟยยิงก็ยังมองออกแล้ว ทำไมกงชิงวี่จะมองไม่ออก
“ข้ารู้แล้ว รีบจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย เช้าวันพรุ่งนี้ออกเดินทางทันที ที่นี่คือหนานอี้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา มันยากที่จะให้คำอธิบายที่ชัดเจนได้” กงชิงวี่หันหลังเดินกลับไป อันหลิงหยุนกำลังรอเขาอยู่ เมื่อเข้าห้องมาได้ กงชิงวี่ก็รีบล้างมือ แล้วนำเสื้อคลุมไปแขวนไว้บนราวแขวน
“เกิดอะไรขึ้นเพคะ?”
“มีคนตายไปจำนวนหนึ่ง เราต้องรีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย หากช้าไปกว่านี้ อาจกระตุ้นให้เกิดสงครามระหว่างทั้งสองประเทศได้โดยง่าย อย่างไรก็มีคนตายไปตั้งมากมายขนาดนั้น”
อันหลิงหยุนลุกขึ้น รีบสวมเสื้อผ้าทันที เข้าไปอุ้มจื่อฮั่วขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน กงชิงวี่ไปอุ้มเจ้าห้าขึ้นมา
อันหลิงหยุนพูดอย่างจนใจ: “ปกติถ้าจะหนีไปกับท่านเป็นครั้งแรก น่าจะต้องให้เร็วหน่อยถึงจะดี”
กงชิงวี่เลิกคิ้ว: “ครั้งแรก?”
“หรือท่านอ๋องเคยพาข้าหลบหนีล่ะเพคะ?” อันหลิงหยุนพูดจาหยอกเย้า กลับเป็นกงชิงวี่ที่เป็นฝ่ายไม่อยากหนีเสียแล้ว
“นอนเถอะ ดึกดื่นค่อนคืนอย่างนี้ จะออกไปเพ่นพ่านวุ่นวายให้มันได้อะไรขึ้นมา” กงชิงวี่วางเจ้าห้าลงบนเตียง ไม่คิดที่จะหนีไปไหนทั้งนั้นแล้ว
อันหลิงหยุนก็ไม่ได้ฝืนจะไปเช่นกัน เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว กงชิงวี่ก็ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะหนีไปอยู่แล้ว
ถ้าเขาคิดจะหนีจริง ๆ ย่อมไม่มีทางแขวนเสื้อตัวเองเอาไว้ที่หน้าประตูอย่างนั้นแน่
นางเป็นมกุฎราชกุมารีแห่งหนานอี้ เขาอยากรู้ว่า นางเต็มใจจะทุ่มหมดหน้าตักหรือไม่
อันหลิงหยุนวางจื่อฮั่วลง แล้วกลับขึ้นเตียงนอนพักผ่อน
ในช่วงครึ่งหลังของคืนนั้น กงชงวี่วางเด็กทั้งสองไว้ด้านใน ตั้งแต่ต้นจนจบก็ใช้มือข้างหนึ่งกุมจับมืออันหลิงหยุนเอาไว้ไม่ปล่อย นางพยายามจะดึงมันออกถึงสองครั้ง แต่กงชิงวี่ก็ยังคงไม่ยอมปล่อยอยู่อย่างเดิม
อันหลิงหยุนใกล้จะหลับอยู่แล้ว กงชิงวี่ก็พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า: “ถ้าหยุนหยุนไม่อยู่แล้ว ข้าจะขุดบ่อน้ำลึกบ่อหนึ่งเอาไว้ในสวนหลังบ้าน แล้วปล่อยให้น้ำขังเต็มบ่อ รอจนเมื่อหยุนหยุนไม่กลับมา ไม่กลับมาครบหนึ่งเดือน ก็จะโยนลูกลงไปหนึ่งคน ข้ามีลูกตั้งหลายคน เริ่มจากเจ้าใหญ่เป็นคนแรก โยนลงไปเรื่อยๆรวมทั้งหมดก็แปดคน สุดท้ายค่อยโยนอามู่กับเสี่ยวเฉียวตามไป ส่วนข้าคือคนที่สิบ ”
อันหลิงหยุนที่จวนจะหลับแล้ว จึงลืมตาขึ้นมาจ้องมองกงชิงวี่อยู่ครู่ใหญ่ : “ท่านจำไว้ด้วยนะเพคะ ว่าต้องโยนพ่อข้ากับหยุนจิ่นลงไปด้วย อย่างไรก็ควรต้องมีประกันแบบวนให้ครบรอบปี
“อะไรคือประกันแบบวนให้ครบรอบปี?” กงชิงวี่ไม่รู้จักคำคำนี้
อันหลิงหยุนอธิบายอยู่เป็นนานสองนาน กงชิงวี่จึงยอมเข้านอนไปในที่สุด
ในทางกลับกัน เป็นอันหลิงหยุนที่นอนไม่หลับแล้วตอนนี้ ต่อให้จะมีลูกกันอีกมากมายเท่าไหร่ ก็ไม่อาจชดเชยความรู้สึกระหว่างสามีและภรรยาได้อยู่ดี
อันหลิงหยุนที่แทบไม่ได้หลับทั้งคืน ฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียในตอนเช้า ทั้งยังง่วงงุนจนกระทั่งหนังตาแทบจะไม่มีแรงเปิดปรือขึ้นมาอยู่แล้ว ทันทีที่ออกพ้นประตูมา ก็เห็นว่าในลานมีทหารของหนานอี้จำนวนไม่น้อยยืนอยู่
กงชิงวี่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย แต่เขากำลังยืนอุ้มเจ้าห้า พลางจ้องมองบรรดาคนที่กำลังเข้ามา
แต่ไหนแต่ไรมา หนานอี้ก็มีความแข็งแกร่งทางการทหารที่โดดเด่นเกรียงไกร ทั้งยังมีการเคลื่อนทัพที่รวดเร็วเหนือชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล่ากองทหารนำทัพระดับแนวหน้า
“เจ้าเป็นใคร?” กงชิงวี่กำลังอุ้มเจ้าห้าพลางตบเบา ๆ ไปด้วย ผู้นำทหารทัพหน้าก็เข้ามาถามทันที
“เจ้าดูข้าแล้วคิดว่าข้าควรจะเป็นใครล่ะ? เจ้าเล่นแห่กันมาที่นี่ตั้งแต่ไก่โห่ คงไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลหรอกกระมัง?” ท่าทางของกงชิงวี่ยิ่งดูเย่อหยิ่ง ทั้งดูถูกดูแคลนอีกฝ่ายเสียยิ่งกว่าทหารที่มาเสียอีก
อีกฝ่ายพูดขึ้นทันทีว่า: “ข้าได้รับรายงานซึ่งมีคนแจ้งมาว่า ได้เห็นพวกเจ้าที่นี่ฆ่าคนไปไม่น้อย ทั้งยังบอกด้วยว่า เมื่อคืนที่นี่เกิดการต่อสู้กันอยู่นานมาก”
“อย่างนั้นเองหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ไปหาดูก็ได้” กงชิงวี่พูดจบ ก็มีคนยกเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามาให้เขา เขาจึงนั่งลงพลางมองไปที่อีกฝ่าย
“เจ้าเป็นคนในราชนิกูลของเมืองหนานอี้ ฮ่องเต้หนานอี้ไม่อยู่ ทำไมถึงมีลูกชายที่เป็นองครักษ์ไปเสียแล้วล่ะนี่?”
อีกฝ่ายตกตะลึงไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่า กงชิงวี่จะรู้สถานะของเขาเพียงแค่มองครั้งแรก
“ ข้าคือองค์ชายสี่แห่งเมืองหนานอี้ มีนามว่าซูมู่ไห่!”
อันหลิงหยุนถึงกับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ!
อันหลิงหยุนมองสำรวจซูมู่ไห่อย่างละเอียด ซูมู่ไห่คนนี้ มีหน้าตาละม้ายคล้ายฮ่องเต้หนานอี้อย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น อีกทั้งเขายังดูเด็กมาก ดูไปแล้วอายุน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบด้วยซ้ำ
อันหลิงหยุนมองดูซูมู่ไห่ ในใจก็คิดไปว่า ซูมู่หรงจากไปแล้ว ใครจะมาเป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งหนานอี้กันล่ะ?
หากไม่มีองค์ชายรัชทายาท นางก็จะเป็นมกุฎราชกุมารี ที่จะต้องกลายเป็นเป็ดที่ถูกไล่ให้ไปขึ้นคอน ถูกต้อนให้ไปรับตำแหน่งฮ่องเต้หญิงอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทางประเทศเฟิ่งก็ยังต้องหาทางสละราชสมบัติให้พ้นตัว ดีที่สุดคือให้เฟิ่งป่ายซูคลอดลูกสาวออกมาอีกสักคน แต่ถ้าคลอดไม่ได้ ก็ยังต้องคิดหาหนทางอื่นอีก
ซูมู่ไห่ไม่เคยเจออันหลิงหยุนมาก่อน แววตาที่อันหลิงหยุนจ้องเขานั้น ทำเอาใบหน้าของเขาแดงเถือกไปทั้งหน้าแล้ว พอโกรธขึ้นมาจึงพูดต่อว่าออกไป: “เจ้าก็เป็นผู้หญิงหญิงเรือแท้ๆ แม้ว่าจะดูแล้วอายุยังน้อย แต่ทำไมถึงทำตัวง่าย เที่ยวไล่อ่อยให้ท่าใครต่อใครไปทั่วอย่างนี้หา?”
“โอ๋?” อันหลิงหยุนถึงกับตกตะลึงอึ้งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นจึงยกยิ้มขบขัน
“ทำตัวอ่อยให้ท่า?” อันหลิงหยุนเดินไปที่ข้างกายกงชิงวี่ ซูมู่ไห่เดินเข้าไปด้วยสีหน้าเย็นชา ในมือกุมดาบไว้แน่น ราวกับว่าพร้อมจะชักออกมาฆ่าคนได้ทุกเมื่อ
กงชิงวี่เองก็ไม่อยากพูดอะไรให้มากความ เมื่อซูมู่ไห่เดินเข้ามาใกล้ เขาก็พูดขึ้นว่า: “เจ้าบอกว่ามีการฆ่าคนตายที่นี่ เช่นนั้นเจ้าก็เข้ามาค้นเสียตอนนี้เลย ถ้าเจ้าตรวจสอบจนพบ เจ้าก็จัดการลงโทษข้าไปตามความผิด แต่ถ้าตรวจสอบไม่พบ ให้เจ้ารับผิดส่วนข้าเป็นคนจัดการลงโทษเอง”
“ข้าเป็นขุนนาง ส่วนเจ้าเป็นแค่คนธรรมดา อีกทั้งการแต่งกายของเจ้า ก็ไม่ใช่คนในพื้นที่นี้ด้วยซ้ำ เจ้าไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไรจากข้าทั้งนั้น ทหาร ค้น!”
ซูมู่ไห่ออกคำสั่งพลางโบกมือส่งสัญญาณ คนของเขาก็บุกเข้าไปค้นหาทันที เริ่มค้นหาอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม ทำถึงกระทั่งขุดดินลึกลงไปสามชุ่นเลยทีเดียว