บทที่ 877 ไล่ตามศัตรูเข้าตาจน
แต่ทว่าค้นหาอยู่นานเป็นครึ่งค่อนวัน ก็หาหลักฐานอะไรไม่พบเลยสักอย่าง ในทางกลับกัน กลับไปพบหลี่ถิงที่อยู่ในไห กับเจ้าเสือน้อยและจิ้งจอกหางสั้น ที่คอยเฝ้าจับตาหลี่ถิงอยู่เท่านั้น
เมื่อเห็นสองสิ่งนี้เข้าไป ซูมู่ไห่ก็ตกใจจนผงะค้าง กระทั่งสีหน้าก็ขาวซีดไปทั้งหน้าแล้ว
“นี่มันอะไรกัน? พวกเจ้ากล้าเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาขนาดนี้เชียวรึ!” ซูมู่ไห่พูดอย่างโกรธเกรี้ยว คิดไปว่าเสือกับจิ้งจอกกินเนื้อคนแน่แล้ว
เจ้าเสือน้อยที่ในเวลานี้โตจนมีขนาดพอ ๆ กับเสือตัวใหญ่แล้วลุกขึ้นยืน พร้อมส่งเสียงขู่คำรามในลำคอออกไปเสียงหนึ่ง ทำเอาซูมู่ไห่ถอยจนขาขวิด สะดุดล้มหกคะเมนตีลังกาไปอย่างหมดท่า
เจ้าเสือน้อยโกรธมากจึงกระโจนเข้าใส่ ซูมู่ไห่หวาดกลัวจนแหกปากร้องตะโกนเสียงดังลั่น อันหลิงหยุนออกคำสั่งด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองว่า : “ถอยไป!”
เจ้าเสือน้อยจึงเบี่ยงหัวถอยหลังกลับไป นอนหมอบราบลงกับพื้นไม่ลุกขึ้นมาอีก เพราะกลัวจะโดนดี เอาแต่ก้มหัวหมอบต่ำ ไม่กล้ามองไปที่อันหลิงหยุน
อันหลิงหยุนเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา: “เจ้าจะเก่งกาจเกินไปแล้วกระมัง?”
อันหลิงหยุนส่งจื่อฮั่วที่อยู่ในอ้อมแขนไปให้กงชิงวี่ ตอนนี้เขานั่งอยู่จึงสามารถอุ้มสองคนได้ อีกทั้งเจ้าห้าก็สามารถเดินบนพื้นเองได้แล้ว
อันหลิงหยุนก้มตัวลงช่วยพยุงซูมู่ไห่ขึ้นมา ซูมู่ไห่ยืนขึ้นได้ยังตกใจไม่หาย หันกลับมามองอันหลิงหยุนทั้งสภาพที่ยังหอบหายใจถี่
อันหลิงหยุนจับข้อมือของเขา มือที่ตอนแรกเก็บกลับไปแล้ว พลันยื่นออกมาอีกครั้ง
สีหน้าของซูมู่ไห่ทะมึนจมดิ่งทันที ออกแรงผลักอันหลิงหยุนออกไปอย่างรวดเร็ว อันหลิงหยุนไม่ได้มีการเตรียมระวังตัวใด ๆไว้เลย เมื่อถูกเขาผลัก คนที่เดิมทีก็ไม่ได้ยืนอย่างมั่นคงอยู่แล้ว จึงเสียหลักล้มลงไปกับพื้นทันที
กงชิงวี่ผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เจ้าเสือน้อยเห็นกงชิงวี่ลุกขึ้น จึงบิดตัวแล้วกระโจนออกไปอย่างไม่รอช้า อ้าปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวของสัตว์นักล่าจนกว้างแล้วกัดลงไป อันหลิงหยุนเองก็ยังตกใจไปด้วยแล้ว รีบตะโกนสั่งเจ้าเสือน้อยทันที: “อย่าทำเรื่องวุ่นวาย !”
เจ้าเสือน้อยยังมีท่าทีไม่ยินยอมนัก กดอุ้งเท้าลงบนตัวซูมู่ไห่แน่นไม่ยอมปล่อย ซูมู่ไห่อ้าปากค้างหอบหายใจกระชั้นถี่ ตกใจกลัวจนไม่อาจกระพริบตาได้
กงชิงวี่เดินไปข้าง ๆ อันหลิงหยุนแล้วพยุงนางขึ้นมา มองสำรวจตรวจดูว่านางไม่ได้เป็นอะไร จึงค่อยมองไปที่ซูมู่ไห่: “วันนี้ถ้าเจ้าหาหลักฐานพบ ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่ถ้าหาไม่พบ ข้าจะป้อนเจ้าให้เสือกิน!”
ซูมู่ไห่รีบหันขวับไปมอง สีหน้าย่ำแย่สุดขีด: “ดูไปแล้ว คนพวกนั้นคงจะถูกเสือของเจ้ากินไปหมดแล้วสินะ”
“ เจ้ายังอยากเข้าไปดูในท้องเสือด้วยหรือไม่ล่ะ?” กงชิงวี่เอ่ยถามอย่างเย็นชา
อันหลิงหยุนปัด ๆ ฝุ่นบนร่างตัวเอง: “ท่านอย่าพูดอีกเลย เขายังเด็กอยู่!”
อันหลิงหยุนส่งสายตาเป็นสัญญาณไปให้กงชิงวี่ เขาไม่ได้เข้าใจในสายตานั้น แต่ก็ยอมปล่อยมืออย่างเชื่อฟัง
อันหลิงหยุนหันไปมองเจ้าเสือน้อย: “ลุกขึ้น!”
เจ้าเสือน้อยจึงยอมถอยจากไป
ครั้งนี้อันหลิงหยุนไม่ได้เข้าไปช่วยพยุงซูมู่ไห่แล้ว เพียงถามไปว่า “เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
ซูมู่ไห่หันมองอันหลิงหยุนแวบหนึ่ง แล้วตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น แต่เขาเหลือบมองอันหลิงหยุนเพียงครู่สั้นๆ ก็หันกลับไปมองไหที่อยู่บนรถม้า แล้วพูดด้วยท่าทางเย็นชาว่า: “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากไหน แต่การฆ่าคนตายในเมืองหนานอี้มีความผิด จะต้องถูกตัดหัว ”
กงชิงวี่หันมองอันหลิงหยุน เขาชักจะหมดความอดทนแล้วจริงๆ
อันหลิงหยุนพูดขึ้นว่า: “เขาเป็นคนเลวที่ฆ่าพี่ชายของข้า มันไม่ผิดอะไรที่ข้าจะจับเขามา แล้วอีกอย่างดวงตาของเขาก็มีปัญหา เขาเป็นแค่สัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง”
อันหลิงหยุนเดินเข้าไป ถอดผ้าที่ปิดตาหลี่ถิงออก ในเวลานี้หลี่ถิงยังอยู่ในช่วงที่ยาชากำลังออกฤทธิ์ นางเอายาชาให้หลี่ถิงกินทุกวัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตัวเขาเองจะตื่นมีสติรับรู้อยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ และเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เขาพูดอะไรให้มากความ อันหลิงหยุนจึงได้ตัดลิ้นของเขาออกด้วย ตอนนี้เขาจึงไม่อาจพูดอะไรได้อีกแล้ว
ดวงตาของหลี่ถิงมีสภาพเหมือนกับดวงตาแมลงปอ เมื่อซูมู่ไห่เห็นเข้า ก็ตกใจจนถึงกับผงะ อันหลิงหยุนเอาผ้ากลับไปผูกปิดดวงตาของหลี่ถิงอีกครั้ง ก่อนจะหันไปมองซูมู่ไห่
ซูมู่ไห่กัดฟันกรอด พูดด้วยสีหน้าเย็นชา: “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าก็ไม่เชื่อหรอก อย่างไรก็มีคนรายงานเข้ามา ข้าจะต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด”
“คนรายงานความผิดอยู่ที่ไหนล่ะ?” อันหลิงหยุนถามกลับ
“ตายไปแล้ว!” ซูมู่ไห่หันไปมองกงชิงวี่ด้วยสายตาที่เป็นศัตรู แววตาบ่งบอกชัดเจนว่า ในใจเขาคิดแผนการที่จะจับกุมตัวกงชิงวี่เอาไว้แล้ว
กงชิงวี่ไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง หันกลับไปตบกล่อมจื่อฮั่วที่อยู่ในอ้อมแขนเบาๆ: “กินข้าวเถอะ”
กงชิงวี่หันหลังกลับไปที่เรือนพัก เจ้าของเรือนพักที่อยู่ในลานจึงรีบไปเตรียมอาหารเช้าให้ ในขณะที่เจ้าห้ายังอยู่ข้างนอกกับอันหลิงหยุน
ซูมู่ไห่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปมองอันหลิงหยุน: “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? ศพล่ะ? คงไม่ใช่ว่าถูกเสือกินไปแล้วหรอกนะ?”
“เสือของข้าไม่กินคน” อันหลิงหยุนกวาดสายตามองทหารที่อยู่รอบ ๆ: “เจ้าเรียกให้พวกเขามาค้นหาเถอะ ถ้าหาพบก็จัดการไปตามความผิด แต่ถ้าหาไม่พบ เจ้าต้องให้ข้าจัดการตามความเห็นของทางพวกข้าล่ะ เรื่องนี้ถือว่าตกลงกันตามนี้แล้ว คนผู้นี้มีปัญหาชัดเจน เจ้าเองก็ได้เห็นกับตาแล้ว สถานะของทางเราก็ไม่ได้ด้อยหรอกนะ ไม่แน่ว่าอาจไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมัวมาร้องแร่แห่กระเชออะไรทั้งนั้นแล้ว แค่ค้นหาไปตามหน้าที่ซะ ถ้าหาพบ ก็ถือว่าเป็นความสามารถของเจ้า แต่ถ้าหาไม่พบ เช่นนั้นก็ต้องมาคุยกันหน่อยแล้ว ”
“เจ้าช่างโอหังบังอาจนัก ถึงกับหาญกล้ามาพูดจากับข้าเยี่ยงนี้”
“แล้วจะให้ข้าพูดกับเจ้าอย่างไรไม่ทราบ? ต้องคุกเข่าร้องขอความเมตตาเรอะ? ไม่มีวันซะหรอก!” อันหลิงหยุนหันหลังเดินไปอีกด้าน นางเองก็เริ่มหิวแล้วเช่นกัน
ซูมู่ไห่จ้องมองเขม็ง สั่งให้คนออกค้นหาต่อไป
อันหลิงหยุนกินข้าวไปพลาง ก็คุยกับกงชิงวี่ว่า “ให้เขาเป็นรัชทายาทไปเสียเถอะ”
“……อื้ม”
สองสามีภรรยาปรึกษาหารือกันอยู่ในเรือนพัก ด้านนอกก็ตรวจค้นอย่างเข้มงวดเป็นพัลวัน
หาไม่พบก็ไม่คิดจะปล่อยอันหลิงหยุนไปอยู่แล้ว
หลังกินข้าวเสร็จอันหลิงหยุนก็ออกมาจากเรือนพัก แล้วเป็นฝ่ายไปหาซูมู่ไห่เอง
ซูมู่ไห่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าประตู ดื่มน้ำไปพลาง จ้องมองไปที่เจ้าเสือน้อยไปพลาง นั่นเพราะเขามีความแค้นต่อเจ้าเสือน้อย
อันหลิงหยุนดึงเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง ซูมู่ไห่เงยหน้ามองอันหลิงหยุน
สายตาสี่ข้างจ้องประสานกันไปมา ซูมู่ไห่วางถุงใส่น้ำลง: “มองอะไร?”
“ไม่ได้มองอะไร แค่จะมาถามว่าหาไม่พบล่ะสิ?” เมื่อหาไม่พบ ก็มีแต่ต้องก้มหน้ายอมรับผลของการเดิมพันที่วางกันไว้แต่โดยดีเท่านั้นแล้ว
ซูมู่ไห่ยิ้มเยาะ: “ต่อให้หาหลักฐานไม่พบ พวกเจ้าก็ไปไม่ได้”
“ข้า …. ” จู่ๆอันหลิงหยุนก็หันหลัง ผุดลุกขึ้นแล้วพุ่งออกไปข้างนอกทันที ซูมู่ไห่ก็ลุกขึ้นแล้วตามออกไป อันหลิงหยุนเพิ่งจะยืนได้มั่นคง ก็เห็นเงาร่างของคนที่สวมชุดสีแดงร่างหนึ่งวูบไหวผ่านหน้าไปอยู่ไม่ไกล
อันหลิงหยุนไล่ตามออกไป โดยมีซูมู่ไห่ไล่ตามออกไปด้วยติดๆ รอจนเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรไล่ตาม ก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวออกมา แล้วตรงเข้าล้อมพวกเขาทั้งสองคนไว้
มีคนขี่ม้าใช้เชือกคล้องม้า ทำเป็นบ่วงบาศคล้องพวกเขาเอาไว้ อันหลิงหยุนทำได้เพียงยอมถูกจับโดยละม่อม
“พวกเจ้าเป็นใคร?” ซูมู่ไห่ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะถูกจับ อีกทั้งอันหลิงหยุนก็ดูสงบนิ่งอย่างมาก
อันหลิงหยุนไม่ได้พูดอะไร แค่มองกลับไปที่ลานเรือนพัก
โชคร้ายเป็นบ้าเลย!
“เป็นใครนั้นเจ้าไม่ต้องสน รอความตายอย่างเดียวเป็นพอ” คนที่อยู่บนม้าออกแรงดึงเชือกทันทีเมื่อสะบัดเชือกอย่างแรงเพียงครั้งเดียว ทั้งอันหลิงหยุนและซูมู่ไห่ ก็ถูกโยนขึ้นไปบนหลังม้า แล้วกลุ่มคนเหล่านั้นก็พาพวกเขาจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากวิ่งมานานกว่าหนึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็ถูกโยนขึ้นเรืออีกทอด แล้วจึงออกเดินทางอีกครั้ง
บนเรือมีชายที่สวมชุดสีแดงทั้งตัวอยู่คนหนึ่ง ดูไปแล้วยังอายุไม่มาก เมื่อเห็นอันหลิงหยุนจึงเดินตรงเข้าไปหา อันหลิงหยุนลุกขึ้นมาได้ ก็แกะเชือกที่มัดตัวเองอยู่ออกทันที
“เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้ามานานมากแล้ว น้องชายคนที่สามของข้าบอกกับข้าว่า เจ้าเป็นแค่ผู้หญิงไร้ประโยชน์ ใช้อะไรไม่ได้คนหนึ่ง พี่ใหญ่ของข้าบอกกับข้าว่า เจ้าเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจที่สมควรตายคนหนึ่ง แต่ข้ากลับคิดว่า เจ้าก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งก็แค่นั้น!” ดวงตาของชายชุดแดงฉายแววชั่วร้ายอยู่หลายส่วน อันหลิงหยุนรู้เลยว่าคนประเภทนี้ มักเป็นพวกแฝงเจตนาไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น
“ที่เจ้าจับข้ามา ก็เพื่อจะบอกเรื่องพวกนี้กับข้าแค่นั้นน่ะหรือ? ” อันหลิงหยุนแสดงท่าทางไม่เข้าใจอย่างหนัก
มุมปากของหงเย่แสยะยกโค้งขึ้นสูง หันหลังเดินตรงไปทางหัวเรือ เดินไปพลางพูดไปพลางว่า “ถ้าวันนี้เจ้ารับปากว่าจะยอมเป็นผู้หญิงของข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไปก็ได้!”
“ทำไมล่ะ? หรือเจ้าแค่อยากให้ข้าเป็นผู้หญิงของเจ้าแค่นั้น? สามีของข้าฆ่าน้องชายของเจ้า ทั้งยังฆ่าพี่ชายของเจ้าด้วยนะ
ข้าได้ยินมาว่า พี่ชายของเจ้าต้องตายอย่างน่าอนาถ ตอนนี้ศพยังถูกแขวนอยู่หน้าประตูเมืองอยู่เลยด้วยซ้ำ! ”
หงเย่หันหน้ามามองอันหลิงหยุน: “นี่เจ้ากำลังยั่วยุข้าอย่างนั้นสินะ?”