บทที่ 871 เหล่าจู่ช่วยเหลือ
ผ่านไปเนิ่นนาน ซูมู่หรงถึงค่อยยกยิ้มออกมาอย่างแข็งทื่อฝืดฝืน : “เป็นเจ้าที่อยากจะฆ่าข้า หรือว่าเป็นเขากันล่ะ?”
อันหลิงหยุนมาถึงยังริมน้ำแล้ว นางลงมาจากทางที่เฟยยิงยืนอยู่ โดยจับยึดที่ไหล่ของเฟยยิงเพื่อทรงตัว พลางอุ้มเจ้าห้าลงมา
เมื่อเท้าทั้งสองลงถึงพื้น อันหลิงหยุนก็ปรายตาไปมองซูมู่หรงแวบหนึ่ง : “เมื่อตอนที่เจ้ามาที่นี่แรก ๆ ข้าดีใจมาก มันเหมือนกับว่าได้เจอญาติที่สนิทกันมานาน เหมือนได้เจอคนบ้านเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น แต่เวลาต่อมา เจ้าก็เอาแต่ออกมาก่อวินาศกรรมไม่ว่างไม่เว้น ข้าก็เลยมีความคิดว่าอยากจะฆ่าเจ้าให้ตายไปเสียให้พ้น ๆ แต่พอเจ้าล้มป่วย ข้าก็รู้สึกทุกข์ใจมาก เมื่อเจ้าจากไปความรู้สึกของข้าคือ กระทั่งคนที่เป็นเหมือนญาติสนิทมิตรสหายของข้า มาบัดนี้กลับไม่มีเหลือแล้วแม้แต่คนเดียว พูดตรงๆก็คือทุกสิ่งที่เจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างโหดเหี้ยมทารุณจนเหมือนเวลานับสิบปี ได้ถูกบีบอัดมาไว้ในหนึ่งวันที่ข้าได้เคยเผชิญมาเหล่านั้น ข้ากลับมองว่า มันคือความรักความเทิดทูนตลอดเวลาสิบปี ที่ยาวนานราวกับหนึ่งวันของข้าที่มีต่อเจ้าก็คงจะได้
เจ้าเลี้ยงดูข้า เหมือนเป็นลูกที่ถูกแม่เลี้ยงจำใจรับมาดูแล แต่ข้ากลับคิดว่าเจ้าเป็นเหมือนพ่อแท้ ๆที่ให้กำเนิด พอลองมาคิด ๆ ดู ข้าก็นับได้ว่ารักเจ้าอยู่นะ แต่เป็นความรักในฐานะลูกที่มีต่อพ่อ! ”
“หึ พูดเสียฟังดูดีเชียวนะ!” ซูมู่หรงรู้สึกเคืองโกรธไม่น้อย แสดงท่าทีบึ้งตึงเย็นชา
อันหลิงหยุนแย้มยิ้ม: “ต่อให้ตอนนี้ข้าจะกลับไปกับเจ้าจริงๆ แต่อาจารย์เคยคิดบ้างหรือไม่ว่า อายุเจ้าก็ล่วงเข้าสู่ช่วงวัยไม้ใกล้ฝั่งไปแล้ว แต่ข้ากลับยังอายุน้อยอยู่ ข้ากับเจ้าก็จะเกิดช่องว่างระหว่างวัยที่ใหญ่มาก ๆ จนอาจเกิดเป็นการละเมิดกฎความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานของสังคมได้ อีกทั้งเดิมทีข้าก็ไม่เคยรักเจ้ามาก่อน นี่ต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าคิดว่าถูกต้องหรือไม่? ”
“นั่นมันสำคัญด้วยหรือ ? สิ่งสำคัญก็คือ หัวใจของเจ้าอยู่กับเขาทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าข้าจะทำอะไรไปแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ” ซูมู่หรงแกะเชือกออกแล้วลงมาจากเสาไม้ แต่อันหลิงหยุนกลับรู้สึกไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น
อันหลิงหยุนหันไปมองด้านหน้า เวลานี้นางเดินมาจนถึงสวนท้อแห่งหนึ่งแล้ว
สวนท้อกินพื้นที่จนกลายเป็นป่าขนาดใหญ่ อันหลิงหยุนเหลียวมองไปรอบ ๆ แล้วจึงหันไปมองเฟยยิง : ” เฟยยิง ที่นี่น่าจะเป็นที่ที่หมอผีอยู่แล้วล่ะ อีกเดี๋ยวเจ้าอย่าเดินเพ่นพ่านตามใจชอบ ให้เดินตามข้าเท่านั้น หมอผีทุกคนต่างใช้เวทมนตร์ได้ พวกเขาสามารถล่อลวงให้จิตใจผู้คนสับสน เมื่อจิตไม่นิ่ง ก็จะตกอยู่ในภวังค์จนสูญเสียความนึกคิดได้ในที่สุด
อาจารย์ถือได้ว่าเป็นคนที่ตายไปแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นไร แต่กับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน”
“โอ้ ” เฟยยิงขานรับ อันหลิงหยุนเดินไปข้างหน้า โดยมีซูมู่หรงเดินตามไปก่อนแล้ว
ทั้งสามคนเข้าไปในป่าท้อ มีผู้หญิงอายุไม่มากคนหนึ่งยืนอยู่ในนั้น เมื่อเห็นทั้งสามคน ก็ปรายตาไปมองแวบหนึ่งพลางพูดขึ้นว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“วิญญาณในร่างอาจารย์ข้าจากไปแล้ว ข้าอยากทำพิธีเชิญวิญญาณ ได้ยินมาว่าหมอผีมีความสามารถในการเชิญวิญญาณได้ ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่?”
“ช่วงนี้สุขภาพของท่านหมอผีไม่ดี จึงไม่อาจช่วยทำพิธีอัญเชิญวิญญาณให้ใครได้ ทุกท่านโปรดกลับไปเสียเถอะ”
หญิงสาวสวมชุดสีท้อแดงทั้งตัว น้ำเสียงเชื่องช้ามั่นคงล้ำลึก
อันหลิงหยุนสังเกตผู้หญิงคนนั้นสักพักก็พูดขึ้นว่า : “ถึงอย่างไรข้าก็มาถึงนี่แล้ว คงจะไม่ยอมจากไปง่าย ๆ อย่างนี้แน่ หากยอมช่วยอาจารย์ของข้า ข้าก็จะยอมจากไปอย่างซาบซึ้งในบุญคุณ แต่ถ้าไม่ยอมช่วยล่ะก็ ข้าก็จะเผาที่นี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น มองหน้าอันหลิงหยุน แววตาสาดฉายไอสังหารสายหนึ่งออกมาอย่างฉับพลัน แค่นเสียงพูดอย่างเย็นชาว่า : “ที่แห่งนี้ยังห่างจากที่พำนักของท่านเหล่าจู่อีกหลายร้อยเมตร หากเจ้าสามารถเดินไปจนสุดระยะทางหลายร้อยเมตรนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ยังพอมีโอกาส”
หญิงสาวหมุนตัวแล้วจากไป อันหลิงหยุนมองตามหญิงสาวที่เดินห่างออกไปทุกที ๆ แล้วส่งเจ้าห้าไปให้เฟยยิง ส่งพิณฝูโอวบนร่างไปให้ซูมู่หรง แล้วถอดกระเป๋าพกบนหน้าอกตัวเองออก นำไปวางไว้ในอ้อมแขนของเจ้าห้า
อันหลิงหยุนพกเพียงเข็มเงินห่อหนึ่ง ที่พันอยู่รอบเอวตัวเองเข้าไปด้วยแค่นั้น
อันหลิงหยุนเดินตรงไปข้างหน้า เฟยยิงคิดจะเข้าไปหยุด อันหลิงหยุนพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นไรหรอก”
เฟยยิงจึงทำได้แค่ เฝ้ามองอันหลิงหยุนเดินตรงไปข้างหน้าเพียงเท่านั้น
อันหลิงหยุนเดินไปพลาง ก็สำรวจป่าท้อไปพลาง พบว่าที่ป่าท้อด้านล่างมีคนจำนวนหนึ่งอยู่ อีกทั้งคนเหล่านั้น ยังดูเหมือนกลุ่มคนที่มาหยุดรั้งพวกเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้อีกด้วย อันหลิงหยุนรู้สึกแปลกใจ จึงหยุดเดินลงในที่สุด เพ่งสายตามองไปยังหนึ่งในคนกลุ่มนั้นแล้วเดินตรงไปที่นั่นทันที
หญ้าบนพื้นต่างเย็นเยือกราวน้ำแข็ง อันหลิงหยุนหยุดเดิน แล้วมองไปยังคนที่ดูไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกคนนั้น ดวงตาของเขาแข็งทื่อไร้แวว ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด
อันหลิงหยุนอยู่ห่างจากคนผู้นั้นไประยะหนึ่ง นางเอื้อมมือออกไปสัมผัสร่างกายของเขา ชายคนนั้นไม่มีการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งร่างทั้งร่างยังแข็งทื่อเย็นเฉียบ
อันหลิงหยุนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง เอามือออกแล้วหันไปมองคนที่อยู่ในป่าท้อ หันหลังแล้วเดินไปทางนั้น
นางเดินไปถึงเรือนพักแล้วจึงหยุดลง หญิงสาวคนนั้นตกตะลึงอย่างมาก “เป็นไปได้อย่างไรกันนี่?”
อันหลิงหยุนพูดขึ้นว่า “ข้าเข้าไปได้แล้วใช่หรือไม่?”
หญิงสาววัยรุ่นไม่กล้าพูดอะไรมาก เพียงก้าวหลบออกไป ปล่อยให้อันหลิงหยุนเข้าไปข้างใน
อันหลิงหยุนผลักประตูไม้เปิด เข้าไปแล้วกวาดสายตาดูข้างใน ห้องนั้นกว้างขวางอย่างมาก แต่ไม่มีเครื่องเรือนอะไรมากมาย มีเพียงโต๊ะ เก้าอี้ แล้วก็เตียงที่ติดกับพื้นหลังหนึ่งเท่านั้น
บนเตียงมีผู้หญิงที่สามารถอธิบายได้ง่าย ๆ ว่าคล้ายโครงกระดูกคนหนึ่งนอนอยู่ นางมีลักษณะเหมือนคนอายุราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี ใบหน้ามีรอยยับย่นอย่างน่าสะพรึงกลัวไปทั่วทั้งหน้า
อันหลิงหยุนเดินไปถึงตรงนั้นก็หยุดลง เมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น ก็พลันสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
อันหลิงหยุนนั่งลง ยื่นมือออกไปจับข้อมือของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่นางด้วยดวงตาดำขลับเป็นประกายวาววาม
ประตูถูกผลักเปิดออก ผู้หญิงคนก่อนหน้ายืนอยู่ที่ประตูพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเหล่าจู่แทบจะไม่ไหวแล้ว นางในตอนนี้ไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้อีกแล้ว”
“นางอายุมากขนาดนี้ ร่างกายย่อมต้องอ่อนแอ จะเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ” อันหลิงหยุนหยิบมีดออกมา กรีดเฉือนเข้าที่ข้อมือของตัวเองรอยหนึ่ง แล้วบีบเปิดปากของผู้หญิงคนนั้น ให้นางดื่มเลือดเข้าไป
ดวงตาของหญิงผู้นั้นเบิกโพลงค้าง จู่ๆก็พลันสิ้นลมไปทันที
หญิงสาววัยรุ่นพุ่งทะยานไปตรงหน้าอันหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงดาบออกไปพาดบนคอของอันหลิงหยุนทันที: “เจ้าฆ่าท่านเหล่าจู่ ข้าจะฆ่าเจ้า!”
อันหลิงหยุนมองไปที่ผู้หญิงที่สลบไปจนเหมือนคนตาย ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “ปล่อยนาง”
หญิงสาววัยรุ่นถูกทำให้ตกใจไม่น้อย นางรีบปล่อยมือแล้วพุ่งเข้าไปหาหญิงผู้นั้นทันที : “ท่านเหล่าจู่!”
“ เถาเยา เจ้าออกไปซะ!”
เหล่าจู่สั่งการออกไป ถึงแม้หญิงสาววัยรุ่นคนนั้นจะตกใจจนตะลึงไปแล้ว แต่นางก็ยังหันหลังแล้วเดินออกไปข้างนอกแต่โดยดี
อันหลิงหยุนรอจนคนออกไปแล้ว จึงปิดสมานแผลบนข้อมือจนสนิท
เหล่าจู่จ้องมองอันหลิงหยุนราวตกอยู่ในภวังค์อยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยเปิดผ้าห่มออกมาลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของนางดูไปแล้ว ช่างผ่ายผอมและอ่อนแออย่างมาก แม้ว่านางจะดูสดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่รูปลักษณ์ของนางก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย นางเพียงหยิบเอาลูกแก้วใสกระจ่างราวคริสตัลออกมาวางข้างหน้า เริ่มใช้สองมือหมุนวนไปมา หลับตาลง แล้วเริ่มสวดมนต์บริกรรมคาถา
อันหลิงหยุนไม่สามารถได้ยินคาถาเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนนัก ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่า เหล่าจู่กำลังทำอะไรอยู่!
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าจู่ก็วางมือลง มีภาพเหตุการณ์บางอย่างปรากฏขึ้นในลูกแก้วคริสตัล ภายในห้องปฏิบัติการทดลอง มีคนคนหนึ่งกำลังฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย อันหลิงหยุนเพ่งมองอย่างละเอียดแล้ว จึงยืนยันได้ว่าเป็นนางเองไม่ผิดอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาที่อันหลิงหยุนเกิดเหตุไม่คาดฝัน คนก็ล้มลงไปกับพื้นห้องทดลองเสียแล้ว ทั้งยังระเบิดเป็นจุลไปพร้อม ๆ กับห้องทดลองด้วย
หลังเกิดการระเบิดในห้องทดลอง มีคนคนหนึ่งหมุนตัวขึ้นรถคันหนึ่งไปท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกท่วม ใบหน้าของคนคนนั้น เป็นใบหน้าที่อันหลิงหยุนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ตามด้วยซูมู่หรงที่ปรากฏตัวขึ้นมา แล้วไล่ตามหาอันหลิงหยุนราวกับกลายเป็นคนบ้าที่คุ้มคลั่งเสียสติไปแล้ว แต่ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็หานางไม่พบ
อันหลิงหยุนคิดว่าศพนั้น คงจะถูกระเบิดจนแหลกละเอียดเป็นชิ้น ๆไปหมดแล้ว
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ล้วนเป็นเรื่องของการวิจัยที่ซูมู่หรงเป็นคนทำ ในตอนท้าย ซูมู่หรงก็ปรากฏตัวมาพร้อมกับคนคนหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นเอง ซูมู่หรงก็ล่วงเข้าสู่วัยไม้ใกล้ฝั่งเต็มทีแล้ว
คนคนนั้นที่อยู่ข้าง ๆ เขา กลับดูอายุยังน้อยอยู่เหมือนเดิมดั่งที่เขาเคยเป็น เมื่อได้เห็นคนคนนั้น อันหลิงหยุนก็จำขึ้นมาได้ในที่สุดว่า คนคนนั้นคือผู้ช่วยของนางเอง เป็นคนที่รู้ผลการวิจัยทั้งหมดของนางเป็นอย่างดี ดังนั้น เรื่องอะไรก็ตามทั้งหลายเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้น มันยังไม่จบ
ภาพฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในลูกแก้วคริสตัล แสดงให้เห็นภาพฉากที่อันหลิงหยุนล้มลงนอนอยู่บนพื้น ตามด้วยภาพของเด็กที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของกงชิงวี่ และเด็กๆกลุ่มหนึ่งที่ยืนเรียงรายกันอยู่บนพื้น
อันหลิงหยุนหันไปมองเหล่าจู่: “นี่คือ?”
“ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องไปจากที่นี่อยู่ดี” เสียงของเหล่าจู่นั้นสั่นเครือและแหบแห้งเหลือเกิน อันหลิงหยุนรู้สึกราวกับว่า มีก้อนหินที่หนักอึ้งก้อนหนึ่ง ร่วงหล่นลงมาทับลงที่กลางหัวใจของนางอย่างไรอย่างนั้น
“ พอมีหนทางไหน ที่จะทำให้ข้าจะได้อยู่ที่นี่ต่อไปบ้างเจ้าคะ?”
เสียงของหลิงหยุนแผ่วเบาแหบระโหย นางต้องทิ้งผู้ชายที่อุ้มเด็กคนนั้น แล้วจากไปตามลำพัง นางจะทำอย่างไรดี?
เหล่าจู่หลับตาลงเนิ่นนาน: “เจ้ายังไม่ได้จัดการเรื่องของทางนั้นให้เสร็จสิ้น หากเจ้าจัดการเรื่องทางนั้นได้แล้ว ก็ยังพอมีความหวังอันริบหรี่สายหนึ่งเหลืออยู่ แต่เจ้าก็ต้องระวังคนรอบตัวของเจ้าให้ดีด้วย ”
เหล่าจู่ยกมืออันน่าสะพรึงกลัวมาประสานเข้าหากัน แล้วสวดมนต์ บริกรรมคาถาอย่างแผ่วเบา มือข้างหนึ่งแตะเข้าที่หน้าผากของอันหลิงหยุน วาดอักขระภาพหนึ่งลงบนนั้น
“เจ้าไปเถอะ”