บทที่ 879 ตาข้างไหนที่เห็นว่านางอ่อยแล้ว
ซู่มู่ไห่ตระหนักรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าเขาไม่ได้ฝันไป เขาพยายามสงบสติอารมณ์ลงก่อน แล้วมองไปที่ภาชนะที่อยู่ตรงหน้า มือก็กุมแน่นอยู่กับมือของอันหลิงหยุน แล้วพูดว่า: “เจ้าเคยบอกว่าจะพาข้ากลับไป เจ้าพูดแล้วอย่าคืนคำล่ะ ตอนนี้ข้าจะคิดหาทางก่อน ”
ซู่มู่ไห่จ้องมองสิ่งประหลาดตรงหน้าเขา หันกลับไปคว้าเอาเก้าอี้ตัวหนึ่งขึ้นมา แล้วฟาดลงไปบนภาชนะบรรจุ แต่กลับไร้ผลใดๆโดยสิ้นเชิง
อันหลิงหยุนยืนอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างร้อนใจ สำรวจมองจากซ้ายไปขวา ก็เห็นปุ่มกดที่อยู่อีกด้านหนึ่ง จึงรีบดึงซูมู่ไห่ไปทางด้านนั้นทันที ซูมู่ไห่ถูกดึงลงไปที่พื้น เขาเห็นปุ่มจำนวนหนึ่งอยู่ที่นั่น ซูมู่ไห่ลองกดลงไป จากนั้นไม่นานภาชนะบรรจุก็เคลื่อนตัวแล้วค่อย ๆ ทิ้งตัวลงช้าๆ ส่งเสียงดังคลิ๊กออกมาเสียงหนึ่งแล้ววางราบลงกับพื้น อันหลิงหยุนดึงมือของซู่มู่ไห่เดินตรงไปที่ปุ่มด้านบน ซูมู่ไห่กดลงไป ภาชนะบรรจุก็เปิดออก
อันหลิงหยุนจ้องมองเข้าไปด้านใน ซูมู่หรงดูไปแล้วคล้ายว่ายังมีชีวิตอยู่ อันหลิงหยุนจับมือซูมู่ไห่แล้วลองอีกครั้ง
เมื่อยืนยันได้แน่ชัดแล้วว่ายังมีชีวิตอยู่ อันหลิงหยุนดีใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึงนี้อย่างยิ่ง สุดท้ายในขณะที่นางกลั้นไม่ไหวจึงร้องไห้ออกมา ซูมู่หรงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น
ซูมู่หรงจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้า: “ทำไมถึงเป็นเจ้า?”
ซูมู่ไห่ตกตะลึง: “เจ้าคือ?”
“นางล่ะ?”
ซูมู่หรงมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วมาก รีบเอ่ยปากถามคำถามทันที
ซูมู่ไห่ปรายตามองไปที่คนที่มองไม่เห็นตัว ซึ่งยังคงยืนอยู่ข้าง ๆ เขา อันหลิงหยุนจับมือของซูมู่ไห่ขึ้นมา ใช้มือทั้งสองข้างจับจนแน่นแล้วกดหว่างคิ้วลงไปทันที นำพาซูมู่ไห่กลับไป
ซูมู่หรงได้เห็นซูมู่ไห่หายวับจากไปกับตาตัวเอง เขาหันไปมองภาชนะบรรจุอีกใบ เดินไปหยุดยืนอยู่ตรงนั้นแล้วมองเข้าไปด้านใน
อันหลิงหยุนลืมตาขึ้น รอบข้างยังคงเงียบสงบดังเดิม ซูมู่ไห่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหลับฝันไปตื่นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ได้เห็นอันหลิงหยุน ก็ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
อันหลิงหยุนปล่อยมือของเขา มองไปรอบ ๆ ยามนี้ล่วงเข้าสู่เวลารุ่งสางแล้ว
ซูมู่ไห่ก็เหลียวมองไปรอบ ๆ ยืนยันอีกเสียงได้ว่าเป็นเวลารุ่งสางแล้วจริงๆ
ซูมู่ไห่ถามว่า “คนคนนั้นเป็นใคร? ทำไมเขาถึงรู้จักข้าล่ะ?”
“ถึงข้าบอกไปก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะเชื่อ ยังจะถามอะไรอีก?” อันหลิงหยุนเหนื่อยมาก จึงทิ้งตัวลงนอนพักผ่อนต่อ ซูมู่ไห่ก็เหนื่อยไม่น้อย สุดท้ายต่างฝ่ายต่างก็พักผ่อนทั้งคู่
อันหลิงหยุนตื่นขึ้นมาเกือบเที่ยง มองไปรอบ ๆ จากกอต้นอ้อ แล้วหยิบถุงพกที่ห้อยคอออกมา เสี่ยวเฮยที่อยู่ด้านในขุดตัวเองออกมาข้างนอก แล้วส่งเสียงจิ๊จิ๊อยู่ครู่หนึ่ง อันหลิงหยุนก็พยักหน้า: “เจ้าไปเถอะ บอกกับท่านอ๋องว่าข้าอยู่ที่นี่”
เมื่อเสี่ยวเฮยไปแล้ว อันหลิงหยุนก็หันไปมองซูมู่ไห่ : “เจ้ามีอาการเจ็บหน้าอก ไม่กล้าออกแรงหนักๆใช่หรือไม่?”
ซูมู่ไห่ตะลึงไปชั่วขณะ: “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ข้าเป็นหมอ เดี๋ยวจะช่วยตรวจอาการให้ เจ้ายื่นมือมาให้ข้า” อันหลิงหยุนรีบนั่งลง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกหาตัวจนเจอ
ซูมู่ไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงนั่งลงแล้วยื่นมือไปให้อันหลิงหยุน มือของเขาวางลงบนหัวเข่า อันหลิงหยุนจับชีพจรของเขา แล้วเริ่มสแกนตรวจสอบอาการ
ในครั้งนี้ตรวจสอบออกมาได้ชัดเจนมาก อันหลิงหยุนเองก็มั่นใจมากเช่นกัน
“เจ้ามีอาการปอดบวมน้ำ ทั้งยังเป็นเพราะการกลั้นหายใจในน้ำเป็นเวลานานเกินไป แต่ในปอดนั้น น่าจะเกิดการสำลักอะไรบางอย่างเข้าไปมากกว่า ถ้ากลับไปแล้วข้าจะสั่งยาให้เจ้าสักขนานหนึ่ง เจ้าลองเอาไปกินดูก็น่าจะไม่เป็นไรแล้วล่ะ” อันที่จริง อันหลิงหยุนสามารถกรีดเลือดให้ซูมู่ไห่ดื่มไปเลยตรงๆก็ยังได้ ถ้าทำอย่างนั้น แน่นอนว่าจะสามารถรักษาอาการให้หายขาดได้ทันที เพื่อให้ซูมู่ไห่มีชีวิตต่อเพื่อสืบทอดบัลลังก์หนานอี้ อันหลิงหยุนยอมทุ่มสุดตัวก็ยังไหว
แต่คิดๆดูแล้วอาจโดนคิดบัญชีเอาได้ สุดท้ายจึงต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปก่อน ถึงอย่างไรคนก็ยังไม่ถึงขั้นจะตายตอนนี้แล้วเสียหน่อย
ซูมู่ไห่เชื่ออันหลิงหยุนแล้วในตอนนี้ ภาพฉากเมื่อครู่นี้ มันเหมือนกับว่าเขาได้ไปเยือนแดนยมโลกไม่มีผิด คนนั้นคือปู่ของเขาอย่างนั้นหรือ?
“ คนคนนั้น ?” ซูมู่ไห่อยากถาม แต่ก็ไม่กล้าถาม
“คนคนนั้นเป็นญาติที่นับว่าใกล้ชิดเจ้ามากคนหนึ่ง เจ้ารู้เพียงเท่านี้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องถามอะไรข้าอีก” อันหลิงหยุนไม่อยากจะพูดอะไรอีก ถึงถามไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นนางจึงพูดออกมาแบบตรงๆไปเลย
สีหน้าของซูมู่ไห่ แสดงออกว่าแทบจะข่มกลั้นอารมณ์อยากรู้ไว้ไม่อยู่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
“ข้าหิวแล้ว ขอไปจับปลาก่อน เจ้าอย่าเดินเพ่นพ่านไปล่ะ” ซูมู่ไห่คิดจะไปจับปลา แต่ถูกอันหลิงหยุนหยุดไว้
“เจ้าไม่ต้องลงไปหรอก พวกเราใช้วิธีตกปลาเอาก็ได้ ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรง แค่พาข้ามาที่นี่ ก็หนักเกินกว่าที่ร่างกายเจ้าจะรับไหวแล้ว” อันหลิงหยุนไปหาต้นหญ้ามาจำนวนหนึ่ง บิดมัดให้โค้งงอเป็นคันเบ็ด คุ้ยหาโคลนเลนแถว ๆ ใต้กกอ้อจนเจอไส้เดือนสองสามตัว ก็เอามาทำเป็นเหยื่อปลา ผูกเข้าด้วยกันแล้วโยนลงน้ำ จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนกกอ้อ
ซูมู่ไห่นั่งลง อันหลิงหยุนจึงอธิบายว่า: “ที่จริงแล้วปลาชอบกินไส้เดือน หรือพวกกุ้งก็ได้เหมือนกัน”
ซูมู่ไห่ถามออกไปว่า: “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”
อันหลิงหยุนหันไปมองซูมู่ไห่ ในที่สุดก็พูดอะไรที่เหมือนผู้เหมือนคนกับเขาเสียที
“น้อยกว่าเจ้า”
“แล้วเจ้ากับคนคนนั้นมีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน?”
“เขาเป็นสามีของข้า”
“ เด็ก ๆ เหล่านั้นเป็นลูกของพวกเจ้า?”
“อื้ม”
“ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าอายุน้อยขนาดนี้ มีลูกแล้ว?”
“……” เกี่ยวกับเรื่องนี้ อันหลิงหยุนก็รู้สึกหดหู่มากเช่นกัน นางเพิ่งตระหนักรู้เมื่อไม่นานมานี้เองว่า นางมาที่นี่ ก็เหมือนกับพวกเทพเซียนที่เป็นอมตะในตำนานไม่มีผิด นางไม่เคยเติบโตขึ้นจากเดิมเลย นอกจากจะสมบูรณ์มีน้ำมีนวลชวนมองขึ้น ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เติบโตหรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คนอื่น ๆ ล้วนมีการเติบโต มีการเปลี่ยนแปลง แต่นางไม่มีอะไรอย่างนั้น
อายุของนางตอนนี้ สำหรับผู้หญิงที่นี่สามารถมองออกได้ว่า เป็นแม่ที่มีลูกหลายคนได้แล้ว แต่นางในตอนนี้ กลับดูเหมือนคนที่ยังไม่มีลูกอย่างไรอย่างนั้น
อันหลิงหยุนกลัวเหลือเกินว่า จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิตของนาง
รอจนเมื่อกงชิงวี่แก่แล้ว นางยังคงเป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น นางจะทำอย่างไรดี?
“เจ้าคงไม่ใช่อนุของเขาหรอกนะ?” ซูมู่ไห่ถาม
อันหลิงหยุนหันไปมองซูมู่ไห่ด้วยท่าทางที่อับจนคำพูด นางไม่อยากพูดอะไรมากนัก แค่อยากตกปลาให้ได้เท่านั้น
เพียงไม่นานปลาก็กินเบ็ด อันหลิงหยุนยกปลาขึ้นมาดู เป็นปลาที่ถือว่าตัวใหญ่มากทีเดียว
อันหลิงหยุนส่งปลาไปให้ซูมู่ไห่: “เจ้าเอาไปจัดการ”
ซูมู่ไห่ก็รู้สึกไม่ดีถ้าจะแค่รอกินอย่างเดียว จึงรีบนำปลาไปจัดการขอดเกล็ด ทำความสะอาด ตระเตรียมจนเรียบร้อย ก็ส่งให้อันหลิงหยุนไปครึ่งหนึ่ง: “เจ้ากล้าไหม”
อันหลิงหยุนมองดูปลาดิบที่ถูกยื่นส่งมาตรงหน้า ในความเป็นจริง นางก็กังวลอยู่ว่าจะถูกหาตัวเจอ แต่ถ้ามันดิบ ๆ อย่างนี้นางก็กินไม่ลงจริง ๆ นั่นล่ะ ดีไม่ดีอาจมีพยาธิแฝงมาด้วยก็เป็นได้
อันหลิงหยุนเบนหน้าหนี: “เจ้ากินเถอะ ข้าไม่กล้ากินหรอก”
อันหลิงหยุนเองก็จนใจ ได้แต่โยนต้นอ้อในมือทิ้งไป แล้วล้มตัวลงนอนด้วยความหดหู่
ซูมู่ไห่ตกตะลึงไปเลย ไม่คิดว่าอันหลิงหยุนจะยอมรับออกมาเองตรง ๆ อย่างนี้
“ถ้าจุดไฟที่นี่ จะถูกคนหาตัวเจอได้ ถึงตอนนั้นทั้งเจ้าและข้าจะตกอยู่ในอันตรายนะ” อันหลิงหยุนลืมตาขึ้นมองคนที่อยู่ตรงบริเวณเหนือหัวของนาง
“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก ข้าแค่ไม่ชินกับการกินอะไรแบบนี้ ข้าขอพักผ่อนสักครู่ อีกเดี๋ยวข้าก็ดีขึ้นแล้ว เจ้ากินก่อนเลย สิ่งสำคัญคือต้องรักษาพลังงานในร่างกายให้ดี ในเมื่อเจ้าช่วยข้า ข้าย่อมต้องหาทางตอบแทนบุญคุณของเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยพูดไว้แล้ว ”
อันหลิงหยุนไม่ใช่คนที่ชอบผิดคำพูด นางย่อมต้องหาทางตอบแทนซูมู่ไห่อย่างที่ได้เคยพูดไว้
ซูมู่ไห่จ้องมองอันหลิงหยุนครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปกินปลา อันหลิงหยุนไม่กิน เขากินเองก็ได้
แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาต้องการอะไร หลังจากกินเสร็จ เขาก็นั่งมองอันหลิงหยุนอยู่อีกด้าน
เมื่อฟ้ามืด ก็มีคนลอบเข้ามาใกล้ เสี่ยวจินออกมาจากถุงพก แล้วส่งสัญญาณเตือน
อันหลิงหยุนลุกขึ้นนั่ง พลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เห็นคนรุกคืบเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นยืน ดึงซูมู่ไห่หนีเข้าไปด้านใน ซู่มู่ไห่ดึงมืออันหลิงหยุนไว้ : “พวกเราหนีไม่พ้นหรอก พวกนั้นมีคนเยอะเกินไป”
“ถ้าไม่หนี จะรู้ได้อย่างไรว่าหนีไม่พ้น?” อันหลิงหยุนหันไปมองพวกคนที่อยู่รอบ ๆ จะอย่างไรก็ไม่ควรนั่งรอความตายอยู่อย่างนี้หรอกนะ?
“พวกนั้นมีคนมากเกินไป ข้าบอกว่าหนีไม่พ้น ก็คือหนีไม่พ้น!” ซูมู่ไห่ดันตัวอันหลิงหยุนไปอยู่ข้างหลังเพื่อคอยปกป้อง หันไปมองกลุ่มคนที่กล้ารุกใกล้เข้ามา
“ถ้ารู้ว่าพวกนั้นจะหาที่นี่พบ ข้าน่าจะก่อไฟย่างปลาให้เจ้ากินไปซะ” เวลานี้ซูมู่ไห่รู้สึกเสียใจในภายหลังเหลือเกินแล้ว
อันหลิงหยุนกลั้นไม่ไหว จนหลุดหัวเราะพรืดออกมาเสียงดัง คนเราก็คิดอะไรแบบนี้ออกมาได้ด้วยหรือนี่?
ซูมู่ไห่หันไปมองอันหลิงหยุนด้วยใบหน้าแดงก่ำ จ้องนางที่หัวเราะอะไรก็ตามที่น่าหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง: “เจ้านี่ช่างเป็นผู้หญิงขี้อ่อยเสียจริงนะ!”
“……” สีหน้าของหลิงหยุนถึงกับเซ่อซ่า ทำหน้าไม่ถูกไปเลยทีเดียว ดวงตาข้างไหนกันที่เห็นว่านางอ่อยแล้ว?
มันน่า….จริงๆเลย!