บทที่589 คนที่ปกป้องเธอจากความเป็นความตาย
ครู่ต่อมา หานมู่จื่อก็หันหน้าไป แล้วก็ไอเบาๆ
“เข้ามาสิ”
เย่โม่เซินตามเธอเข้ามา แล้วก็ปิดประตู หานมู่จื่อเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับพูดว่า “นายเปลี่ยนรองเท้าเองเลย ฉันยังไม่ได้ปรุงอาหารเลย นายเปลี่ยนรองเท้าเสร็จแล้วก็รอฉันอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนนะ”
พอพูดจบหานมู่จื่อก็หลบเข้าไปอยู่ในห้องครัว แล้วก็ดันประตูปิด
หลังจากที่เธอต้มน้ำนั้น ก็ยืนใจลอยจ้องมองน้ำอยู่แบบนั้น
เธออยากเชิญเย่โม่เซินมากินข้าวเย็นด้วยกัน แต่ก็มาเสียใจทีหลัง แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเห็น
เย่โม่เซินคนเลว
หานมู่จื่อแอบด่าเขาในใจ แต่ว่าพอคิดว่าจะมีคนมากินข้าวเป็นเพื่อนตัวเอง เธอก็รู้สึกดีใจ
ทำอาหารเย็นไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เย่โม่เซินก็ผลักประตูเข้ามา
ทำให้หานมู่จื่อตกใจ “นายเข้ามาทำไม? ”
“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม? ” เย่โม่เซินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นสักพัก รู้สึกว่าตัวเองนั่งรออยู่แบบนั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ให้ผู้หญิงของเขาเอาแต่ยุ่งอยู่คนเดียวในห้องครัวมันไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเขา
ดังนั้นเขาก็เลยตรงเข้าไปในห้องครัวทันที
“ไม่ต้อง” หานมู่จื่อตอบมาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นก็พูดว่า “ใกล้จะเสร็จแล้ว ถ้าเกิดว่านายอยากจะช่วยล่ะก็ ก็ถือถ้วยกับตะเกียบออกไปข้างนอกแล้วกัน”
เย่โม่เซินพยักหน้า แล้วก็เดินไปหยิบถ้วยกับตะเกียบ
หลังจากออกไปแล้วก็กลับมาอีกครั้ง ก็เห็นว่าหานมู่จื่อตักอาหารใส่จานแล้ว ก็เลยช่วยเธอถือจานออกไป
เพียงครู่เดียว บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารหลายอย่าง ทั้งสองคนนั่งลงตรงข้ามกัน
กินข้าวคนเดียวมันไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ รู้สึกว่าเหงาหงอย แต่ว่าพอเย่โม่เซินนั่งกินข้าวตรงข้ามเธอ หานมู่จื่อก็ค่อนข้างรู้สึกกระอักกระอ่วน รู้สึกว่าบรรยากาศมันน่าอึดอัดมาก เพราะฉะนั้นตอนกินข้าวเธอก็เอาแต่ก้มหน้า พยายามไม่มองตาเย่โม่เซิน
“ฉันเป็นปีศาจเหรอ? ”
จู่ๆ เย่โม่เซินก็ถามออกมาอย่างไม่คาดคิด
หานมู่จื่อเงยหน้าขึ้นมาจากถ้วยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็จ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ “อะไรนะ? ”
“ไม่ยังงั้นทำไมตอนกินข้าวเธอไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาเลยล่ะ? หรือรู้สึกว่าที่ฉันนั่งอยู่ตรงข้ามมันขวางหูขวางตาเธองั้นเหรอ? ”
เธอยังไม่ทันจะอธิบาย เย่โม่เซินที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ลุกขึ้น แล้วก็เดินอ้อมโต๊ะมานั่งข้างๆ เธอแทน
“……”
นี่มันอะไรกัน? หานมู่จื่อกะพริบตา มองเขาอย่างทำอะไรไม่ถูก
“แบบนี้ก็จะได้เงยหน้ากินข้าวได้แล้ว”เย่โม่เซินพูดออกมา พร้อมกับคีบผักใส่จานเธอ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเอาใจ “เธอไม่รู้หรือไงว่าเธอผอมขนาดไหนแล้ว? ”
หานมู่จื่อกะพริบตาอีกครั้ง เธอผอมงั้นเหรอ?
เหมือนกับว่าไม่ได้ผอมนะ……ก็แค่ไม่ได้มีเนื้อหนังอะไรมากมายแค่นั้นเอง
อาหารมื้อนี้กินอย่างทรมานมาก แต่ว่ารสชาติดีมาก กินไปกินมาก็เริ่มมีรสชาติขึ้นมา หานมู่จื่อก็ไม่ได้รู้สึกเก้ๆ กังๆ มากเท่าไหร่แล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จ ตอนที่หานมู่จื่อเก็บจานชามนั้น เย่โม่เซินก็มีโทรศัพท์เข้า
หลังจากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “ไม่ว่าง”
คนที่อยู่ปลายสายเหมือนกับกำลังอธิบายอะไรบางอย่างให้เขาฟังอย่างกระวนกระวายใจ ทำให้เย่โม่เซินขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างเย็นชาพร้อมกับพูดว่า “ถ้ายังงั้นแก้ปัญหาได้ทุกอย่างเมื่อไหร่แล้วค่อยมาหาฉัน”
หลังจากพูดจบก็วางสายทันที
การเคลื่อนไหวของหานมู่จื่อช้าลงเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“เซียวซู่เหรอ? ”
“อืม” เย่โม่เซินลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ อยากจะช่วยเธอ
“เรื่องที่บริษัทรึเปล่า? หรือว่านายไปแก้มันก่อนไหม? ที่นี่ฉันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร และก็ไม่ได้ต้องให้นายช่วยด้วย”
รึจะให้เขามาช่วยตัวเองรึยังไงกันล่ะ?
ท่านประธานของบริษัทตระกูลเย่ จักรพรรดิแห่งโลกธุรกิจ จะมาทำเรื่องอย่างล้างจานอะไรพวกนี้ได้ยังไง? แค่ไม่ทุบชามเธอทิ้งทั้งหมดก็ดีแล้ว
“ไปเถอะ” หานมู่จื่อดันเขาเบาๆ “รีบไปจะได้รีบกลับ”
ประโยคนี้ทำให้หัวใจของเย่โม่เซินหยุดนิ่ง อดไม่ได้ที่จะจับข้อมือของเธอไว้ “รู้สึกไหมว่า……ตอนนี้พวกเราเหมือนกับ……”
“นายรีบไปเถอะ”
หานมู่จื่อรีบตัดบทเขาทันที หลังจากนั้นก็ดึงมือเขาออกไปข้างนอก พร้อมกับเปิดประตูออกแล้วผลักเขาออกไป
หลังจากนั้นก็ไม่ให้โอกาสเย่โม่เซินได้ตอบสนองอะไรทั้งนั้น ก็ปิดประตูดังปังเพื่อกั้นเขาไว้ด้านนอก
จมูกของเย่โม่เซินเกือบจะโดนกระแทกแล้ว แต่ว่าตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่นิดเดียว ตรงกันข้าม หัวใจเขากลับรู้สึกหวานหอม ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือขึ้นมาลูบจมูกของตัวเอง ริมฝีปากก็คลี่ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
แล้วกัน ยังไงอนาคตก็ยังอีกยาวไกล ยังไงเธอก็หนีไม่พ้นอยู่ดี
ตอนนี้ ให้เธอหนีไปอีกครั้งแล้วกัน
*
หานมู่จื่อขึ้นไปชั้นบนหลังจากเก็บกวาดเสร็จ ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะนอนนั้น จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่บริษัทเมื่อตอนกลางวันขึ้นได้
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเปิดอัลบั้มรูป
เธอบันทึกข้อมูลการติดต่อของผู้จัดการอี้เอาไว้ ตอนนี้ยังไม่ถึงสี่ทุ่ม ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะพักผ่อนอยู่รึเปล่า
หลังจากคิดไปคิดมา หานมู่จื่อก็ส่งข้อความไปหาเขา
เดิมทีมันก็เป็นแค่เพียงข้อความธรรมดาๆ แต่ผู้จัดการอี้เห็นข้อความนั้นก็โทรกลับมาหาเธอ
หานมู่จื่อรับสาย เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ ฮัลโหล? ผู้จัดการอี้”
“คุณหาน ผมเห็นคุณส่งข้อความมา คุณอยากได้ช่องทางการติดต่อท่านประธานของพวกเราใช่ไหมครับ? ”
เดิมทีที่เธอส่งข้อความไปก็เพราะว่าอยากจะลองเสี่ยงโชคดู เพราะว่าการที่จะโทรหาคนอื่นดึกดื่นขนาดนี้มันไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็เลยส่ง
ข้อความไปแทน แต่ว่าหานมู่จื่อไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะเห็นจริงๆ แถมยังโทรมาหาเธออีก
ดังนั้นตอนนี้หานมู่จื่อก็เลยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เธอไอออกมาเบาๆ
“ขอโทษด้วยนะคะผู้จัดการอี้ที่รบกวนคุณดึกขนาดนี้ คุณยังไม่นอนใช่ไหม? ”
“ฮ่าๆ วันนี้มีปาร์ตี้อาหารเย็นเลิกดึกนิดหน่อย พึ่งจะขึ้นรถก็เห็นข้อความจากคุณหานพอดี คุณหานคงอยากจะติดต่อสื่อสารกับท่านประธานส่วนตัวใช่ไหมครับ? ”
ประโยคหลังของเขา น้ำเสียงเขาค่อนข้างจะระมัดระวัง เหมือนกับว่าจะลองเชิง แต่ว่าก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ เหมือนกับว่ากลัวว่าทำให้เธอคับข้องใจยังไงยังงั้น
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเหยียนเคยบอกแล้วว่าเขาเคารพเธอมากเป็นพิเศษ ตอนนี้หานมู่จื่อไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเป็นพิเศษ นึกว่าอีกฝ่ายเห็นคุณค่าความสามารถของเธอ
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ที่แท้มันก็มีเหตุผลจริงๆ
เธอคิดไปคิดมา รู้สึกว่าควรเข้าประเด็น พูดอย่างตรงไปตรงมาเลยน่าจะดีกว่า
“ใช่ค่ะ ฉันอยากจะคุยกับท่านส่วนตัวเกี่ยวกับรายละเอียดของสัญญา เพราะฉะนั้น……”
“ไม่มีปัญหาครับ” ทางด้านผู้จัดการอี้ตอบอย่างไวมาก “เดี๋ยวผมจะเอาเบอร์โทรศัพท์ของท่านประธานให้คุณเลยครับ คุณหานรอสักครู่นะครับ”
หลังจากพูดจบก็วางสายไป
หานมู่จื่อถือโทรศัพท์อยู่แบบนั้น :“……”
ที่แท้ก็รอเธออยู่ยังงั้นเหรอ?
เย่หลิ่นหาน นี่นายคิดจะทำอะไรกันแน่?
ภายในไม่กี่อึดใจ เบอร์โทรศัพท์ของเย่หลิ่นหานก็ถูกส่งมาที่มือถือของเธอ เธอมองดูตัวเลขพวกนั้น แล้วก็ยื่นมือขึ้นมาบีบระหว่างคิ้วของตัวเอง
ตอนนี้ดึกขนาดนี้แล้ว เธอควรจะโทรหาเย่หลิ่นหานไหมนะ?
ควรจะถามให้ชัดเจนไปเลย?
เขาจะนอนแล้วรึเปล่า? เหมือนกับว่ามือของเธอไม่ฟังคำสั่ง ตอนที่หานมู่จื่อกำลังลังเลอยู่นั้น โทรศัพท์ก็กดโทรออกไปเรียบร้อยแล้ว
ตู้ดๆ ——
มีเสียงต่อสายดังมาจากโทรศัพท์ รอไม่นาน ปลายสายก็รับโทรศัพท์
“ฮัลโหล? ”
มีเสียงที่อ่อนโยนดังมาจากปลายสาย ถึงแม้ว่าจะห่างไปนาน แต่ว่าเสียงนี้สำหรับหานมู่จื่อแล้วนั้นมันเป็นเสียงที่คุ้นเคยมาก
ยังไง คนๆนี้ก็เคยเป็นคนที่ปกป้องเธอจากความเป็นความตาย