บทที่ 1013 ทำได้ดีมาก
ก็ช่าง ปล่อยให้เธอจัดการเองก็แล้วกัน
ผู้หญิงของเย่โม่เซินทั้งคน เป็นไปได้ไง แค่เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้
ถึงแม้ เขาไม่อย่าให้เธอเหนื่อยและเป็นห่วงเกินไป แต่หานมู่จื่อเป็นคนดื้อรั้นมาก ถ้าเขาฝืนบังคับเธอซึ่งๆหน้าแล้วล่ะก็ กลับไม่เป็นผลดีแน่นอน
เพราะฉะนั้น ถ้าเย่โม่เซินอยากจะช่วยเธอจริงๆ ก็คงต้องลงมือแบบลับๆ
ขึ้นรถเสร็จ หานมู่จื่อได้รัดเข็มขัดนิรภัยให้กับตัวเอง จากนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ ตอนที่เธออยู่ที่ห้องทำงาน ก็ได้หาข้ออ้างต่างๆนาๆให้กับตัวเองไปแล้ว แต่ตลอดทั้งวันนี้ ใจของเธอถูกเรื่องของเมิ่งเส่โยวรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา
คนเราทำผิดก็ต้องแบกรับทำผิดนั้นไว้คนเดียว ไม่ควรนำความซวยมาให้คนอื่น
ถ้าหากคนๆนั้นไม่ใช่เมิ่งเส่โยว หานมู่จื่อก็จะคิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าสงสารมาก เพราะยังไงซะ เธอไม่ใช่คนก่อหนี้
นั่นเป็นความผิดของพ่อเธอ
ถึงเมิ่งเส่โยวจะเป็นคนทำให้คนพวกนั้นยิ่งเหิมเกริม แต่สำหรับเธอแล้ว เธอก็เหมือนจะหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วเลยต้องใช้วิธีต่ำช้าเลวทรามขายร่างกายตัวเองแบบนี้
แค่นึกถึงว่าเธออาจจะถูกชายพวกนั้นรุมโทรม สมองของหานมู่จื่อก็มีภาพปรากฏขึ้นมา หลังจากนั้นก็ปวดจนเงยหัวไม่ขึ้น
ลมหายใจของเธอเริ่มไม่คงที่
รถได้จอดลงที่ข้างทาง มือข้างนึงได้เอื้อมมาแตะที่หน้าผากของเธอ:“คุณโอเคมั้ย?”
มือนี้ทั้งใหญ่และอบอุ่น ราวกับฉุดเธอออกจากความมืดแล้วกลับมาเห็นแสงสว่างอีกครั้ง
หานมู่จื่อลืมตาอย่างเร็ว ใช้แรงจับมือนี้ไว้ ราวกับคว้าเส้นฟางสุดท้ายที่ช่วยชีวิตได้อย่างไรอย่างนั้น
“โม่เซิน!”
เธอเรียกชื่อของเย่โม่เซิน แล้วหันหน้าไปมองเขา
สายตาของฝ่ายตรงข้ามกำลังจ้องเธออยู่ด้วยความเป็นห่วง ดวงตาคมลึกคู่นั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงและวิตกกังวล
หานมู่จื่อก็ไม่รู้ว่า ณ เวลานี้ตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ปากพูดออกไปโดยที่สมองไม่ได้สั่ง
“ฉันอย่าเจอเซียวซู่”
เย่โม่เซินหรี่ตาเบาๆ สักพักมือก็ได้เอื้อมไปอีกทางนึง ลูบจับหน้าของเธอ
“ได้”
เขาเดาไว้แล้วไม่มีผิดว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ แค่เห็นว่าเธอไม่ยอมพูด เขาก็ไม่อยากไปบังคับเธอ
ตอนนี้เธอเอ่ยปากกับตัวเองแล้ว เย่โม่เซินก็แต่รับปากเธอไป
รถได้กลับรถมา เย่โม่เซินโทรหาเซียวซู่ ถามว่าเขาอยู่ไหน
ฝั่งของเซียวซู่กำลังจัดการเรื่องของเมิ่งเส่โยว เพราะหานมู่จื่อเคยสั่งเขาไว้ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับเย่โม่เซิน เพราะฉะนั้นเขาเลยระมัดระวังเป็นพิเศษ ตอนนี้ เย่โม่เซินกลับโทรถามว่าเขาอยู่ไหน
ฟังแล้วก็รู้สึกผิดปกติ
แต่กับเย่โม่เซินแล้ว เซียวซู่ไม่กล้าพูดโกหกอย่างยื่นออกใจกล้า เลยพูดจาอ้ำๆอึ้งๆ:“คุณ ชายเย่……ผมกำลังจัดการเรื่องส่วนตัวอยู่ครับ”
“เรื่องส่วนตัวงั้นหรอ?”เย่โม่เซินยักคิ้วทีนึง หัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย:“เรื่องส่วนตัวอะไรที่ทำให้นายพูดจาจนติดๆขัดๆแบบนี้?”
เซียวซู่:“……เออ คุณชายเย่ครับ นี่มันคงจะไม่……”
“รีบบอกตำแหน่งนายมา”
“คุณชายเย่ครับ”เซียวซู่รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
“เซียวซู่ ตั้งแต่เมื่อไหร่……ที่นายก็มีเรื่องปิดบังฉันแล้วฮะ?”
ถึงแม้น้ำเสียงของเย่โม่เซินฟังแล้วเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไร แต่เซียวซู่กลับรู้สึกแผ่นหลังเย็นวูบโดยไม่มีสาเหตุ
ขนลุกทั้งตัว เขาติดตามเย่โม่เซินมาเป็นเวลานาน เขากลัวที่สุดก็คือเวลาที่เขามีสีหน้าเรียบเฉยแบบนี้ พลังนั้น
น่ากลัวกว่าตอนโกรธอีก
คนบางคน เวลาโกรธคือโมโหจริงๆ แต่สำหรับคุณชายเย่นั้นเป็นพวก เห็นท่าทางของเขาไม่ได้โกรธอะไร แต่ก็ทำให้กลัวโดยไม่รู้สาเหตุ รู้สึกกดดันบอกไม่ถูก
หานมู่จื่อที่นั่งอยู่ข้างๆทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป หันไปมองเย่โม่เซินทีนึงอย่างจนปัญญา“ฉันเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่ให้บอกคุณ เขารับปากฉันไว้ก่อน เพราะฉะนั้นต้องรักษาคำพูด ต้องเป็นคนที่มีสัจจะ”
พออธิบายเสร็จ หานมู่จื่อก็ได้พูดเสียงดังขึ้น:“เซียวซู่ ฉันเอง ตอนนี้นายอยู่ไหน ?ส่งโลเคชั่นของ
นายมาหน่อย เราจะไปที่นั่น”
“คุณนายน้อย?”ได้ยินเสียงของหานมู่จื่อแล้ว เซียวซู่ค่อยยังโล่งใจ เวลาพูดจาก็ไม่อ้ำๆอึ้งๆอีก ไม่เพียงแค่นี้ ยังรีบรับปากทันทีแล้วส่งตำแหน่งตัวเองไปให้
หลังจากวางสาย เย่โม่เซินกลับรู้สึกอารมณ์ซับซ้อนหน่อยๆ
เซียวซู่……เป็นผู้ช่วยของเขาไม่ใช่หรอ?
ทำไม ตอนนี้เขาถึงเรียกใช้เขาไม่ได้เลย?
“คุณคงไม่ได้ไม่พอใจใช่มั้ย?”ระหว่างที่เย่โม่เซินกำลังคิดอยู่นั้น หานมู่จื่อก็จู่ๆถามขึ้นมาคำนึง
เย่โม่เซินดึงสติกลับมา แล้วพูดด้วยเสียงเบา:“เปล่า มีอะไรให้ไม่พอใจ?เซียวซู่เป็นผู้ช่วยของผม เชื่อฟังคุณก็สมควรแล้วหนิ”
หานมู่จื่อ:“……”
นี่เธอฟังผิดหรือเปล่า?รู้สึกแปลกๆบอกไม่ถูก
แต่ยังไงซะ เซียวซู่ก็เป็นผู้ช่วยของเย่โม่เซิน เพราะฉะนั้น ยังไงแล้วหานมู่จื่อก็จำเป็นต้องช่วยเขาแก้ตัวไปคำนึง:“เรื่องนี้ ฉันเป็นคนสั่งให้เขาช่วยปิดเป็นความลับเอง ถึงเขาจะเป็นผู้ช่วยของคุณ แต่เขาก็ไม่ใช่คนไร้สัจจะ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะโทษเขา ก็โทษฉันดีกว่า”
“พูดไร้สาระอะไรกัน?”เย่โม่เซินชายตามองเธอทีนึงอย่างจนปัญญา“เขาไม่ได้ไปเชื่อฟังคนอื่นซะหน่อย เขาเชื่อฟังคุณ ผมจะไปถือสาอะไรกัน?”
เย่โม่เซินพาเธอมาถึงที่จุดหมาย สุดท้ายกลับพบว่าเป็นโรงพยาบาลบ้า
ตอนที่หานมู่จื่อเห็นตัวหนังสือโรงพยาบาลบ้าคำนี้แล้ว ในใจรู้สึกอารมณ์ซับซ้อน ก่อนหน้านี้ เธอก็เดาว่าเมิ่งเส่โยวมีปัญหาทางจิตหรือเปล่า ตอนนี้ดูแล้ว……เหมือนที่เธอคิดไว้ไม่มีผิดจริง
อาการทางจิตมีปัญหา ภายใต้สถานการณ์แบบนี้
“คุณชายเย่ คุณนายน้อย”
เซียวซู่เดินเข้ามาหา ที่จริงเขาไม่ได้คิดจะพาเธอมาที่โรงพยาบาลบ้า ก็แค่คนบ้าคนนึง แถมยังเป็นคนบ้าที่เคยทำร้ายคุณนายน้อยอีกต่างหาก เดิมทีเซียวซู่อยากพาเธอไปที่อื่น หลังจากนั้นก็ให้คนคอยดูเธอช่วงนึง ให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้แกล้งบ้า และให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้คิดอะไรอย่างอื่นกับคุณนายน้อยก็พอแล้ว
แต่พอได้พูดคุยกับคุณนายน้อยเมื่อตอนเย็นแล้วนั้น ทำให้เซียวซู่เปลี่ยนความคิดไป คุณนายน้อยเป็นคนที่มีเมตตาใจดีมาก ถึงฝั่งตรงข้ามจะเป็นศัตรูของเธอก็ตาม แต่ยังไงซะก็ผ่านเรื่องร้ายมาขนาดนี้
ถึงเขาจะไม่ได้คิดช่วยฝ่ายตรงข้ามอะไร แต่พาเธอมาที่โรงพยาบาลบ้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“เซียวซู่ เธอเป็นยังไงบ้าง?”
“คุณนายน้อย คนอยู่ข้างในครับ เมื่อกี๊เธออาละวาดไม่ยอมหยุด พวกหมอไม่รู้จะทำอย่างไงกับเธอ เลยได้ฉีดยาระงับประสาทให้เธอไป ตอนนี้หลับไปแล้วครับ”
หานมู่จื่อกัดริมฝีปากล่างไว้เบาๆ “หลับไปแล้วหรอ?นั้นเข้าไปดูได้มั้ย?”
ได้ยินแล้ว เซียวซู่ลังเลอยู่ครู่นึง จากนั้นหันไปปรึกษากับคนด้านใน ถึงกลับมาพูด:“เข้าไปดูได้ครับ แต่ว่าคุณนายน้อยยืนดูที่หน้าประตูก็พอนะครับ เผื่อว่าเธอจู่ๆตื่นขึ้นมาแล้วทำร้ายถึงคุณนายน้อยได้ครับ”
“ได้ ขอบใจมากนะ”
หานมู่จื่อก้าวเดินอย่างเร็ว เย่โม่เซินต้องไม่วางใจปล่อยให้เธอไปคนเดียวแน่นอน แล้วได้ก้าวเทาตามขึ้นไป
ตอนที่เดินผ่านเซียวซู่นั้น ยังไม่ลืมชมเขาคำนึง
“ทำได้ดีมาก”
เสียงเบาลอยมาข้างหูของเขา ดูเย็นชา กลับเหมือนมีดคมอย่างไรอย่างงั้น
เซียวซู่กลืนน้ำลายไปคำนึง
ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คุณชายเย่ชมเขาว่าทำได้เยี่ยมงั้นหรอ?
นี่ นี่มันฟังยังไงก็ไม่เหมือนกำลังชมเขา หรือว่าเขาตั้งใจจะพูดประชดเขา?ที่จริงแล้ว เขาได้ขัดใจคุณชายเย่เข้าเต็มๆแล้ว?
ใจของเซียวซู่ซับซ้อนขึ้นมาทันที แต่ก็ยังหน้าด้านเดินตามเขาไป