เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่1348 ไม่ฉลองวันเกิด
“พูดเหลวไหลอะไร!”
พนักงานคนที่พูดเหลวไหลคนนั้นถูกตำหนิออกมาคำนึง ก็แลบลิ้นไม่ยอม ทำหน้าทะเล้นออกมา “ฉันไม่ได้พูดผิดสักหน่อย”
“คุณจาง?”
เสี่ยวเหยียนได้สติกลับมา มองไปยังห้องที่ผ่านการตกแต่งอย่างประณีต แล้วยังมีของขวัญที่ตัวเองเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว คิดไปแล้วก็เลือกที่จะเข้าไปกอบเอาของขวัญที่ตัวเองเตรียมเอาไว้ขึ้นมาก่อน แล้วหันไป
“วันนี้ลำบากพวกเธอแล้ว แต่พวกเราคงไม่กลับมาแล้ว ฉันตามไปดูก่อนว่าเขาเป็นอะไรไป”
“ค่ะ คุณจางรีบไปเถอะ มีอะไรเข้าใจผิดจะได้พูดกันให้ชัดเจน”
“ขอบคุณนะ”
หลังจากที่เสี่ยวเหยียนออกไป พนักงานปากเสียเมื่อครู่คนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“ฉันว่าเธอรุกเกินไป ก็เลยถูกแฟนไม่ชอบใจเอา ผู้หญิงน่ะถ้าไม่รักตัวเองก็จะลงเอยอย่างนี้ ต่อไปพวกเธอมีแฟนก็อย่าเหมือนเธอเด็ดขาดเลยนะ”
มีคนที่อายุค่อนข้างมากหน่อยจ้องมองเธอ “ก็มีแค่คนอายุน้อยอย่างพวกเธอสิถึงจะคิดอยากจะหาแฟนที่ประคองเธอเอาไว้ในมืออย่างทะนุถนอม แล้ว เธอเกิดมาก็เป็นคุณลุงหรือว่าบรรพบุรุษเขาหรือไง? คนที่สามารถประคองกันชั่วคราว จะประคองไปทั้งชีวิตเธอได้หรอ?”
“พี่สาว พูดแบบนี้ไม่ได้นะคะ ตอนไม่ได้แต่งงานไม่ประคองกัน หลังจากแต่งงานกันไปคงไม่น่าอนาถไปกว่านี้แล้วล่ะ?”
“ชิส์ ความรักมันเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน ตอนนี้เธอยังไม่เจอคนที่เธอชอบ ก็เลยพูดเต็มปากเต็มคำอย่างนี้ รอให้เธอเจอคนที่เธอชอบก่อนแล้วค่อยมาพูดแบบนี้เถอะ”
เสี่ยวเหยียนไม่ได้ยินว่าพวกเธอกำลังถกเถียงเรื่องตัวเองอยู่ ถึงขนาดที่ไม่คิดจะไปฟังว่าพวกเธอพูดอะไรกันด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เธอออกจากร้านไปก็เริ่มค้นหาตัวหานชิง แต่หาอยู่นานก็ไม่เจอเขาเลย ดังนั้นเธอก็เลยไปที่ลานจอดรถอีกครั้ง เป็นอย่างที่คิดรถของหานชิงได้ขับออกไปแล้ว
เสี่ยวเหยียนร้อนใจมาก จึงโทรไปหาหานชิงเลยทันที แต่ก็โชคไม่ดีเอามากๆ โทรศัพท์ของเธอหมดแบตไปแล้ว
เพื่อเตรียมวันเกิดของหานชิง เธอยุ่งเสียจนแม้แต่แบตโทรศัพท์ก็ลืมชาร์ต
เธอไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตกลงหานชิงไปไหน เสี่ยวเหยียนคิดอยู่สักพักสุดท้ายก็ต้องเรียกรถจากข้างถนน ไปหาที่บริษัทให้ดีก่อนดีกว่า
หลังจากที่ถึงบริษัทแล้ว เสี่ยวเหยียนก็ลงจากรถตรงไปขึ้นลิฟต์ขึ้นไปชั้นบน แต่ผลก็คือหาหานชิงไม่เจอ แต่ได้เจอซูจิ่วที่ยังทำโอทีอยู่
ซูจิ่วเห็นเธอ ก็มีสีหน้าแปลกใจออกมา “เสี่ยวเหยียน ไม่ใช่ว่าเธอออกไปกับประธานหานแล้วหรอ? ทำไมถึงกลับมาอีก?”
เรื่องยังไม่ได้กระจ่าง เสี่ยวเหยียนก็เลยไม่คิดจะพูดเรื่องเมื่อกี้นี้กับซูจิ่ว ทำได้แค่เพียงเอ่ยออกไปว่า “โทรศัพท์ฉันแบตหมด หาเขาไม่เจอ เขาไม่ได้กลับมาหรอ?”
ถึงแม้ว่าคำพูดของเสี่ยวเหยียนจะเลี่ยงหนักไปเบา แต่ซูจิ่วนั้นเป็นใคร? คาดเดาอะไรบางอย่างจากสายตาและการกระทำของเสี่ยวเหยียนได้ทันที จึงได้ส่ายหน้าออกไป “เขาไม่ได้กลับมา เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเธอหรอ?”
เสี่ยวเหยียนนึกไม่ถึงว่าเธอจะดูออกได้เร็วขนาดนี้ จึงถอนหายใจออกมา “ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยต้องหาเขาให้เจอก่อน ฉันถึงจะลองถามดูได้”
“โทรศัพท์ของเธอแบตหมด? งั้นฉันลองโทรถามเขาให้เธอแล้วกัน”
“อ้อ ได้ค่ะ งั้นรบกวนเลขาซูด้วยนะ คุณรีบช่วยฉันโทรถามดูที”
ซูจิ่วก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาหานชิง
แต่ผลก็คือโทรศัพท์ของอีกฝ่ายสายไม่ว่างเลย จะโทรยังไงก็โทรไม่ติดสักที
โทรไปหลายครั้งติดก็เป็นแบบนี้ ซูจิ่ววางโทรศัพท์ลง มองเสี่ยวเหยียนไปด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้? เขาหายตัวไปหรือว่าอะไร? ต้องแจ้งความหรือเปล่า?”
แจ้งความ?
รู้สึกว่าแจ้งความนั้นไม่จำเป็น เสี่ยวเหยียนส่ายหน้าออกไป “คงเป็นความผิดของฉัน ไม่ต้องแจ้งความหรอก ฉันคาดว่าเขาคงไม่อยากเจอฉันสักพัก”
ฟังมาถึงตรงนี้ ซูจิ่วก็ยิ่งไม่เข้าใจ “ตกลงมันอะไรกันเนี่ย?”
“ไม่มีอะไรหรอก ในเมื่อถ้าเขาไม่อยู่ที่นี่ งั้นฉันไปหาเขาที่อื่นดีกว่า”
ที่ที่หานชิงจะไปมีไม่เยอะ โชคดีที่เสี่ยวเหยียนรู้หมด เธอวางแผนที่จะไปหาที่ตระกูลหานก่อน ถ้าหาไม่เจอก็ไปหาที่วิลล่าส่วนตัวของเขา
เธอไม่อยากพูด ซูจิ่วเองก็ไม่อาจเอาแต่ซักเธออยู่อย่างนั้น เพียงแต่เห็นภาพเบื้องหลังที่เสี่ยวเหยียนกอดของอยู่นั้น ก็รู้สึกสงสารขึ้นมา
คู่นี้คบกันเดิมทีก็ไม่ได้ง่ายเลย ถึงแม้ว่าหลังจากที่คบกันแล้วจะหวานมาก แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหมือนกัน
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรจะถามมากไป ซูจิ่วก็เลยกลับไปยุ่งเรื่องตัวเอง
เสี่ยวเหยียนลงมาด้วยใบหน้าที่ดูหนักอกหนักใจ ในหัวก็คิดยุ่งเหยิง แต่ผลสุดท้ายตอนที่เตรียมจะกลับไปนั้นได้เจอเข้ากับสวี่เย็นหวั่น
เพราะว่าวันนี้บริษัทตระกูลหานทำงานนอกเวลากัน สวี่เย็นหวั่นเห็นสีหน้าของเธอก็แปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย ในใจก็คาดเดาขึ้นมา เธอรู้ว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ควรเดินเข้าไป แต่ก็ทนไม่ไหว เข้าไปทักทายเสี่ยวเหยียน
“เสี่ยวเหยียน ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่?”
เห็นสวี่เย็นหวั่น ในใจของเสี่ยวเหยียนก็กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เพราะว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทสมัยเด็กของหานชิง บางทีถ้าเธอลองถามเธอดูสักหน่อย เธอคงจะรู้อะไรบ้าง?
คิดมาถึงตรงนี้แล้ว เสี่ยวเหยียนก็รีบสาวเท้าเข้าไป
“เย็นหวั่น คุณกับหานชิงโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กใช่มั้ย?”
ได้ยินอย่างนั้น สวี่เย็นหวั่นตะลึงงันไปทันที ทำไมจู่ๆเธอถึงถามคำถามนี้ หรือว่ามีใครบอกอะไรเธองั้นหรอ? แต่เพียงไม่นานเธอก็สงบลง พยักหน้ายิ้มออกมาเล็กน้อย
“ใช่ เป็นเพราะทั้งสองตรงกูลสนิทกัน ก็เลยโตมาด้วยกัน มีอะไรหรอ?”
“ฉันมีข้อสงสัย ฉันไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นึกขึ้นมาได้ว่าคุณโตมาด้วยกันกับเขา ก็เลย…อยากถามคุณสักหน่อย”
เห็นแววตาและสีหน้าของเสี่ยวเหยียนแล้ว แล้วลองนึกเวลาวันนี้ดูอีกที คำตอบหนึ่งก็ผุดขึ้นมา สวี่เย็นหวั่นรอให้เธอถามออกมาอยู่เงียบๆ
และก็เป็นไปอย่างที่คิด คำถามที่เสี่ยวเหยียนถามออกมาเหมือนอย่างที่เธอคิดเอาไว้ไม่มีผิด
“วันนี้ฉันฉลองวันเกิดให้เขา แต่…เขาเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี จากนั้นเมื่อกี้นี้ก็เดินออกมา ตอนนี้ฉันหาเขาไม่เจอเลยค่ะ”
แม้ว่าสวี่เย็นหวั่นจะทำใจเอาไว้แล้ว แต่หลังจากที่ได้ยินเสี่ยวเหยียนพูดออกมาอย่างนี้หัวใจก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา เธอก็นึกว่าเสี่ยวเหยียนได้ช่วยหานชิงจัดการเรื่องที่ไม่สามารถฉลองวันเกิดได้ไปเรียบร้อยแล้ว นึกไม่ถึงว่า…
จะว่าไปความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดเอาไว้เลย
อย่างน้อยเสี่ยวเหยียนก็ไม่รู้เรื่องที่ผ่านมาของหานชิงเลยแม้แต่น้อย ส่วนหานชิงเองก็ไม่พร้อมที่จะบอกเธอ ครั้งนี้ก็เลยได้กลายเป็นอย่างนี้
คิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว สวี่เย็นหวั่นก็หลุดสีหน้าช็อกออกมา
“เมื่อก่อนเธอไม่เคยฉลองวันเกิดให้เขาหรอ?”
“หา?” เสี่ยวเหยียนมีสีหน้าสงสัยออกมา “เมื่อก่อน? ไม่มี…”
นี่เป็นวันเกิดปีแรกของหานชิงหลังจากที่ทั้งสองคนคบกัน เมื่อก่อนเสี่ยวเหยียนจะกล้าไปฉลองวันเกิดให้เขาซี้ซั้วที่ไหนกัน
สีหน้าของสวี่เย็นหวั่นก็ดูไม่ดีขึ้นมาทันที “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้? วันนั้นฉันได้ยินเธอบอกว่าเธอจะฉลองวันเกิดให้เขา ในใจฉันก็ยังช็อกขึ้นมาเลย เพราะว่าแต่ไรมาหานชิงไม่เคยฉลองวันเกิด แต่ฉันเห็นเธอพูดเป็นจริงเป็นจัง ก็นึกว่าโรคนี้ของเขาจะถูกเธอรักษาหายแล้วเสียอีก”
“อะไรนะคะ?” พอเสี่ยวเหยียนได้ยิน ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที
“ไม่ฉลองวันเกิด? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
หานชิงไม่ฉลองวันเกิดหรอ? เรื่องนี้เสี่ยวเหยียนไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาเองก็ไม่พูด คนใกล้ตัวเขาก็ไม่บอกเธอ ส่วนเธอเองก็ไม่เคยไปรู้เรื่องมาก่อนเหมือนกัน