แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่1368 เธอเกลียดฉันไปแล้วใช่ไหม
“เรื่องของเธอกับพี่ฉันมันเหมือนกับเรื่องที่สมมุติขึ้นไหมหล่ะ? นอกจากตอนเด็กที่โตมาด้วยกันแล้ว หลังจากนั้นระหว่างพวกเธอเคยผ่านอะไรหรือมีความรู้สึกอะไรกันมั่งหรือเปล่าหล่ะ?”
สวี่เย็นหวั่นถูกเธอพูดแบบนั้นก็เงียบไป แทบจะไม่เคยคิดเลยว่าหานมู่จื่อจะเป็นคนที่พูดตรงและทิ่มแทงได้แบบนี้
จริงๆแล้วหานมู่จื่อก็รอให้ตัวเธอนั้นพูดออกมาเอง เธอครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าบางทีอีกฝ่ายเองก็คงอยากจะพูดออกมา ดังนั้นจึงไม่ได้พูดมาโดยตลอด
แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยกเอาเรื่องของเธอมาเป็นตัวอย่าง
ทั้งยังหยิบยกเอาความทรงจำที่เจ็บปวดของเธอขึ้นมาอีก
ในเมื่อพูดกันมาจนถึงขนาดนี้แล้ว หานมู่จื่อจึงไม่คิดว่าจะต้องถนอมน้ำใจอะไรเธอมากมาย จึงพูดออกไปตรงๆ
“ฉันพูดอะไรผิดบ้างไหม?”หานมู่จื่องอปากยกยิ้มบางๆ: “เธอกับพี่ชายฉันไม่ใช่เคสที่มีความรู้สึกอะไรต่อกันเลย อีกอย่างฉันขอเดาเลยนะว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องหมั้นหมายอะไรนี่ด้วย ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของเขาหน่ะ ถ้าหากว่าไม่ชอบเธอหล่ะก็ เดาว่าคงจะขอตระกูลสวี่ถอนหมั้นไปแล้ว จะให้เธอเอาแต่คิดว่าเขากับเธอหมั้นกันอยู่ทำไม?”
สวี่เย็นหวั่นช็อกตัวแข็ง ปากสิ้นไปชั่วครู่
“นี่เธอ……”
“พี่เย็นหวั่น เธอเองก็เคยเป็นทายาทของตระกูลสวี่ เรื่องอะไรที่แย่ๆฉันไม่พูดมันออกมาจะดีกว่าจริงไหม? ฉันพูดจนถึงขนาดนี้แล้ว เธอลองคิดทบทวนเองก็คงจะเข้าใจ”
สวี่เย็นหวั่นนั่งลงกับพื้นด้วยสีหน้าที่ไม่หน้าดู กัดฟันแน่น แล้วจู่ๆก็หัวเราะขึ้นมา
“ถูกแล้วหล่ะ ที่เธอพูดมามันถูกต้องแล้วหล่ะ ฉันกับเขาไม่ใช่เคสที่มีความรู้สึกอะไรต่อกัน เขาเองก็ไม่ได้ชอบฉัน มันเป็นความลุ่มหลงของตัวฉันเอง ที่รักอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ไม่มีสัญญาณอะไรตอบกลับมา”
“สิ่งที่ฉันพูดกับเธอไปก่อนหน้านี้ มันก็ยังมีประโยชน์นะ ถ้าหากว่าเธอยอมรับมัน เธอก็จะได้มีชีวิตใหม่ ไม่ว่าชีวิตนั้นจะเป็นยังไง แต่นั่นก็คงไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าชีวิตที่ได้แต่มองคนอื่นรักและมีความสุขกันหรอกนะ”
พูดจบหานมู่จื่อก็อุ้มเสี่ยวโต้วหยาลุกขึ้น “เราคุยกันเท่านี้เถอะ หลายเรื่องนั้นใจเธอเองรู้และเข้าใจดีที่สุด ฉันไม่อยากพูดพร่ำให้มากความ เสี่ยวโต้วหยาต้องนอนแล้วหล่ะ ฉันคงต้องพาเธอกลับไปก่อน”
หานมู่จื่อพยักหน้าเป็นการทักทายเธอ ก่อนจะหันตัวกลับไป
สวี่เย็นหวั่นมองท่าทางที่เป็นแบบนั้นของหานมู่จื่อ ก็กำชายเสื้อแน่น กัดฟันเรียกเธอเอาไว้ “มู่จื่อ รอก่อน”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก หานมู่จื่อจึงหยุดและหันไปมอง
“มีเรื่องอะไรอีก?”
“ธะ….เธอ”สวี่เย็นหวั่นอึกอัก จับชายเสื้อตัวเองราวกับไม่รู้จะพูดยังไง “เธอเกลียดฉันไปแล้วใช่ไหม?”
ถามไปแบบนั้นแล้ว เธอก็รู้สึกว่าตัวเองออกจะดัดจริตไปหน่อย จึงรีบอธิบาย: “ฉันไม่ได้ตั้งใจ ในตอนนั้นฉันเพียงแค่เสียสติ จึงคิดไปถึงเรื่องของเธอ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายนะ แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจพูดทำร้ายเธอ”
หานมู่จื่อมองอีกฝ่ายที่ก้มหน้ามาทางเธอ ก็ยิ้มออกมา: “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ใส่ใจหรอก”
ที่เธอบอกว่าไม่ได้สนใจนั้น คือเธอไม่ได้สนใจว่าสวี่เย็นหวั่นนั้นพูดอะไร เพราะสำหรับเธอแล้ว เธอไม่ได้สนิทชิดเชื้ออะไรกับอีกฝ่าย
สวี่เย็นหวั่นมองตาของเธอ ดูเหมือนจะรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร ประกายความเศร้าจึงฉายออกมาจากแววตาของเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หานมู่จื่อจึงเดินจากไป
ด้วยเพราะหานชิงไม่อยู่ ดังนั้นหานมู่จื่อจึงตัดสินใจอุ้มเสี่ยวโต้วหยาไปหาเสี่ยวเหยียนที่โรงแรม พอเดินออกมาก็พบเข้ากับซูจิ่ว
“แค่กๆๆ มู่จื่อ คุยเสร็จแล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นเป็นซูจิ่ว หานมู่จื่อจึงยิ้มให้: “เลขาซู ไม่ทำงานเหรอ?”
ซูจิ่วเลิกคิ้วขึ้นทันที “จะไม่ทำงานได้ยังไงหล่ะ? ไม่ใช่แค่ยุ่งนะตอนนี้ แต่จะบ้าตายอยู่แล้ว”
“ทำไมหล่ะ?”
“ประธานหานทิ้งงานเอาไว้หน่ะสิ ช่วงนี้ฉันก็เลยยุ่งมากเลยหล่ะ จริงๆนะ”
ทิ้งงานทั้งหมดเลยเหรอ? หานมู่จื่อรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่นิสัยของพี่ชายเธอเลย และเมื่อเดาเอาจากคำพูดของสวี่เย็นหวั่นเมื่อครู่ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองสามารถเดาอะไรได้บางอย่าง
“หรือว่าพี่ฉันกับเสี่ยวเหยียนมีปัญหากัน?”
“ปราดเปรื่องมาก”ซูจิ่วพยักหน้า เบ้ปาก “ฉันคาดว่าน่าจะมี และไม่ใช่ปัญหาน้อยด้วย แต่จะปัญหาอะไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
พูดจบ ก็ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงมองไปที่ห้องรับรอง พูดเสียงกระซิบ: “เมื่อครู่พวกเธอคุยอะไรกันในห้องอย่างนั้นเหรอ? สวี่เย็นหวั่นคนนั้น…..”
หานมู่จื่อมองเธอขันๆ: “คนนั้นทำไมเหรอ? ทำไมไม่พูดต่อหล่ะ?”
“แค่กๆๆๆ เรื่องมันไม่ชัดเจน ไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าหน่ะสิ”
“พูดมาเถอะน่า ด้วยความสัมพันธ์ของเราแล้ว เธอจะกลัวอะไรอีกหล่ะ?”
ซูจิ่วหัวเราะคิ้กๆกับเธอ ถ้าหากหานมู่จื่อไม่พูดแบบนี้ เธอเองก็จะเอาสิ่งที่เธอคิดบอกหานมู่จื่ออยู่ดี
“ก่อนหน้านี้ตอนที่สวี่เย็นหวั่นอยู่ที่โรงพยาบาล ในช่วงที่ฉันเป็นคนคอยดูแลเธอ เสี่ยวเหยียนก็คอยส่งข้าวมาให้ทุกวัน ภายหลังแลกWechatกับสวี่เย็นหวั่นนั่นเอาไว้ แต่ฉันก็รู้สึกว่าสวี่เย็นหวั่นดูผิดปกติ ฉันรู้สึกว่าเธอมีความคิดไม่ค่อยดียังไงก็ไม่รู้ แต่ที่เธอชอบพี่ชายของเธอหน่ะอันนี้ชัวร์แน่นอน”
“อืม”หานมู่จื่อยอมรับ “เธอชอบพี่ชายฉันจริงๆ อันนี้ปิดยังไงก็ไม่มิด”
ตอนที่เธอมองหานชิงนี่ มองห่างไปไกลกว่าสิบเมตรก็มองออก
“แต่เสี่ยวเหยียนไม่รู้นี่หน่ะสิ ก็เลยยังไปทำดีกับเธอ ไหนเธอบอกว่าเธอฉลาดยังไงเล่า ทำไมเรื่องสำคัญแบบนี้หลับไม่รู้ไปได้? หรือจะเป็นอย่างที่คนเขาว่ากันว่า คนที่อยู่ในเกมมักอ่านเกมไม่ออก”
ที่หานมู่จื่อไม่คาดคิดเลยนั่นก็คือ เสี่ยวเหยียนกับสวี่เย็นหวั่นกลายเป็นเพื่อที่ดีต่อกันเฉยเลย ทั้งยังแอดWechatกันอีก
ถ้าอย่างนั้นที่มีปัญหากัน มันก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสวี่เย็นหวั่นใช่ไหมนะ?
พอคิดได้ถึงตรงนี้ หานมู่จื่อก็มองลึกเข้าไปดวงตา “แล้วตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไง? พี่ชายฉันไปไหน? เธอรู้บ้างไหม?”
“รู้สิ” ซูจิ่วพยักหน้า “เขาให้ฉันจองตั๋วรถไฟ แล้วไปเที่ยวกับเสี่ยวเหยียน”
พอได้ยิน หานมู่จื่อก็เลิกคิ้วขึ้น “หมายความว่ายังไง?”
“ฉันคิดว่าเสี่ยวเหยียนน่าจะโกรธพี่ชายเธอ ไม่อยากจะสนใจเขา จากนั้นพี่ชายเธอเลยซื้อตั๋วรถไฟตามไปง้อหล่ะมั้ง?”
หานมู่จื่อพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
สองคนนี้กำลังเล่นอะไรกันอยู่?
เมื่อรู้ว่าเสี่ยวเหยียนไม่ได้อยู่ที่ร้านราเม็ง หานมู่จื่อก็ไม่รีบกลับ ตรงไปยังห้องทำงานของหานชิง เมื่ออุ้มเสี่ยวโต้วหยาไปวางไว้ที่โซฟาแล้ว ก็หยิบโทรศัพท์โทรหาเสี่ยวเหยียน
แต่มันกลับกลายเป็น: “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
อะไรกันวะเนี่ย?
หานมู่จื่อวางสายไป ขมวดคิ้วอันงดงามของเธอ
สองคนนี้เล่นอะไรกันอยู่กันแน่เนี่ย?
แต่มีหานชิงอยู่กับเสี่ยวเหยียน ก็ไม่ต้องห่วงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตรายอะไร เพียงแต่เธออยากรู้ว่าระหว่างทั้งสองเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเกี่ยวข้องกับสวี่เย็นหวั่นรึเปล่า
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ
ตอนนี้หานมู่จื่อออกจะรู้สึกเสียใจ ที่เธอน่าจะบอกเรื่องนี้กับเสี่ยวเหยียนเสียก่อน แต่ด้วยเพราะยุ่ง และเธอก็คิดว่าสวี่เย็นหวั่นไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ก็เลยไม่ได้สนใจ
ไม่คิดเลยว่า…..ใจคนจะเปลี่ยนไป
หลายครั้งที่คนเราไม่อาจจะควบคุมพฤติกรรมของตนได้ จนกลายเป็นทำเรื่องที่ผิดไปอย่างเสียไม่ได้
ช่างมันเถอะ เธอจะไม่คิดมากแล้ว พวกเขาก็ไม่อยู่ด้วย เธอเองควรจะรีบกลับได้แล้ว
เกรงว่าถ้ากลับดึกหล่ะก็ ครั้งหน้าเย่โม่เซินจะไม่ให้เธอออกมาแล้ว