Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – ตอนที่ 539

ตอนที่ 539

บทที่ 539 : สืบหาเบาะแสเพิ่มเติม!
หลิงหยุนรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที และเมื่อเขาส่องกระจกก็พบรอยฟันที่คอของตนเอง หลิงหยุนได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา จากนั้นจึงเรียกยันต์บำบัดออกมาปิดที่ลำคอ และรอยฟันเมื่อครู่ก็หายไปในพริบตา และทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิม
คลินิกสามัญชนของหลิงหยุนใกล้จะเปิดให้บริการแล้ว และเมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าคนไข้จะได้รับบาดเจ็บอะไรมา ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลจากของมีคม แผลไฟไหม้ หรือแม้แต่บาดแผลขนาดเท่าฝ่ามือ ยันต์บำบัดของหลิงหยุนก็สามารถรักษาให้หายได้ในทันทีโดยไม่ทิ้งร่องรอยแผลเป็นไว้เลยแม้แต่นิดเดียว และสำหรับรอยฟันเล็กน้อยเท่านี้ จึงเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าง่ายสำหรับเขา!
หลิงหยุนไม่ได้มีความกังวลใดๆเลยแม้แต่น้อย เพราะตราบใดที่เขายังมีพลังชีวิต ยันต์บำบัดพื้นๆเช่นนี้ เขาจะสามารถปลุกเสกเมื่อไหร่ก็ย่อมทำได้ในทันที
ใหนๆก็เข้าไปในห้องน้ำแล้ว หลิงหยุนจึงถือโอกาสถอดเสื้อผ้าอาบน้ำเพื่อให้สบายเนื้อสบายตัว แล้วจัดการสวมเสื้อผ้าชุดใหม่เดินออกมาจากห้องน้ำไปอย่างสดชื่น
“ถังเมิ่งล่ะ?”
หลิงหยุนเห็นตี้เสี่ยวอู๋นั่งอยู่ในห้องรับแขกเพียงลำพัง จึงร้องถามขึ้น..
ตาที่คมเหมือนเหยี่ยวของตี้เสี่ยวอู๋เป็นประกายขึ้นมาทันทีขณะที่พูดกับหลิงหยุน “พี่หยุน.. ตำรวจพาตัวหลี่กังมาถึงเมืองจิงฉูแล้ว ทีมของพี่กังเป็นคนนำตัวมาเอง ถังเมิ่งจึงต้องออกไปรับด้วยตัวเอง”
หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย และถามขึ้นว่า “แล้วอีกคนล่ะ?”
ตี้เสี่ยวอู๋รู้ดีว่าหลิงหยุนกำลังถามถึงภรรยาลของหวังเล่ย เขาจึงรีบตอบไปว่า “ฉันโทรสั่งพี่น้องแก๊งมังกรเขียวแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังไปพาตัวหลัวเอ้อเฟิงมาที่นี่ อีกไม่นานก็คงจะถึง..”
ตั้งแต่มีน้องชายของเขาสองคนนี้ หลิงหยุนก็สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆได้ง่ายขึ้น เขายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจพร้อมกับพูดกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า
“เสี่ยวอู๋.. ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว นับว่าการฝึกฝนของนายรุดหน้าได้รวดเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้มาก!”
เมื่อตี้เสี่ยวอู๋ได้รับคำชมจากหลิงหยุน เขาก็ได้แต่เกาศรีษะด้วยความเก้อเขินพร้อมกับตอบไปว่า “ยังไงก็เทียบพี่หยุนไม่ได้! น่าเสียดายที่ฉันยังช่วยอะไรพี่ไม่ได้เลย..”
การที่ตี้เสี่ยวอู๋ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างหนักนั้น ก็เพื่อให้ตนเองมีความสามารถพอที่จะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิงหยุน และทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ได้แต่นึกโกรธตัวเอง
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมา “การฝึกฝนก็เป็นเรื่องหนึ่ง.. นายไม่ต้องกังวลหรือร้อนใจไป! สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของจิตใจ การที่นายสามารถฝึกดาราคุ้มกายจนเข้าสู่ระดับย่อยสี่ได้นั้น นับว่าฉันมองคนไม่ผิดเลยจริงๆ!”
“แต่เท่าที่ฉันสังเกตุ.. พื้นฐานกำลังภายในของนายยังไม่เสถียร และไม่มั่นคงนัก ต่อไปอีกไม่นาน.. นายจะต้องสร้างรากฐานให้มั่นคงกว่านี้ รอให้ฉันจัดการธุระให้เสร็จเสียก่อน แล้วฉันจะสอนวิชาให้กับนายเอง!”
เมื่อตี้เสี่ยวอู๋ได้ยินเช่นนั้น เขาก็ถึงกับกระโดดตัวลอยจากโซฟา และร้องตะโกนถามหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้น
“จริงเหรอพี่หยุน!?”
วันที่ตี้เสี่ยวอู๋รอคอยนั้นคงจะไม่นานเกินหวัง..
ความจริงแล้ว ก่อนที่ตี้เสี่ยวอู๋จะมาอยู่กับหลิงหยุนนั้น เขาก็ได้ผู้คุ้มกันที่ลึกลับของหลงคุนสองคนรวมทั้งตัวหลงคุนเอง ช่วยชี้แนะเรื่องการฝึกฝนให้บ้าง จนในตอนนั้นตี้เสี่ยวอู๋สามารถฝึกฝนจนเกือบเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-2 ได้แล้ว
การที่ตี้เสี่ยวอู๋ฝึกฝนตามคำแนะนำของหลงคุนและผู้คุ้มกันทั้งสองนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่ในความคิดของหลิงหยุน วิชาพวกนั้นไม่ต่างจากของเด็กเล่น เขาจึงไม่เห็นมันอยู่ในสายตา และได้จัดการใช้เข็มทองทำลายวิชาเหล่านั้นจนหมด และได้สร้างร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋ขึ้นมาใหม่เพื่อให้เริ่มฝึกฝนใหม่อีกครั้ง
ต่อมาในคืนวันเทศกาลเชงเม้ง ด้วยความร่วมมือจากพู่กันจักรพรรดิที่ได้ถ่ายเทพลังอมตะออกมาให้ ทำให้กำลังภายในของหลิงหยุนเข้าสู่ขั้นพลังชี่-9 หลิงหยุนเองก็ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสดีๆเช่นนี้เสียเปล่า เขาจัดการชำระล้างร่างกายให้กับทุกคนจนราวกับได้ร่างที่เกิดใหม่ จากนั้นจึงถ่ายเทพลังอมตะลงไปร่างกายของพวกเขา
ตี้เสี่ยวอู๋ก็เป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลประโยชน์ในครั้งนั้น หลังจากผ่านการเกิดใหม่ถึงสองครั้งสองครา เขาก็สามารถฝึกดาราคุ้มกายเข้าสู่ระดับย่อยสี่ได้ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน ดังนั้นหากตี้เสี่ยวอู๋โคจรดาราคุ้มกาย มีดและปืนก็ยากที่จะทำอันตรายเขาได้
วิชาดาราคุ้มกายนั้นเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับร่างกายด้วยการดูดซับเอาพลังสุริยะ พลังจันทรา และพลังดวงดาวเข้าไปในร่างกาย และเมื่อระดับขั้นก้าวหน้า ร่างกายของคนผู้นั้นก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปตามลำดับ และมีความสามารถในการต้านทานที่แกร่งมากขึ้น
หลังจากผ่านประสบการณ์การฝึกฝนอย่างหนักมาแล้ว ตี้เสี่ยวอู๋นับได้ว่าแข็งแกร่งขึ้นมาก เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยอยู่ทุกวันทุกคืนว่าเมื่อไหร่หลิงหยุนจะสอนวิชาให้กับเขา และเมื่อหลิงหยุนเป็นผู้เอ่ยปากว่าเขาพร้อมจะสอนให้แล้ว จะไม่ให้ตี้เสี่ยวอู๋ตื่นเต้นได้อย่างไรกัน?
“จริงสิ! รอให้ผ่านวันหยุดสัปดาห์นี้ไปก่อน ฉันจะเริ่มสอนให้นายหลังจากเปิดคลินิกแล้ว!” หลิงหยนุตอบยิ้มๆ
หลังจากการสอบเอนทรานซ์ หลิงหยุนจะต้องเดินทางออกจากเมืองจิงฉู เขายังมีอีกหลายคนที่ต้องปกป้องดูแล และตี้เสี่ยวอู๋นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เขาจะเลือกมาทำหน้าที่แทนตนเอง
“ขอบคุณพี่หยุน..”
ตี้เสี่ยวอู๋กระโดดขึ้นกระโดดลงด้วยความดีใจพร้อมกับร้องขอบคุณหลิงหยุน..
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง.. คนของแก๊งมังกรเขียวก็พาภรรยาของหวังเล่ย – หลัวเอ้อเฟิง มาที่บ้านเลขที่-1 และในที่สุดหลิงหยุนก็ได้พบหญิงสาวคนนี้อีกครั้ง!
ครั้งแรกที่หลิงหยุนเห็นหลัวเอ้อเฟิงนั้น เขาพบเธอจากข่าวในขณะที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่บนห้องพักของกงเสี่ยวลู่
หลัวเอ้อเฟิงน่าจะอายุมากกว่าสามสิบปี ความสูงของเธอนั้นก็อยู่ในระดับเฉลี่ยเหมือนกับคนทั่วไป หน้าตาขี้เหร่ ผิวพรรณก็หยาบกร้าน แต่สิ่งที่สะดุดตาผู้คนมากที่สุดบนใบหน้าของเธอนั้นก็คือปากที่กว้าง และริมฝีปากที่หนา เธอเขียนคิ้ว ทาปาก และแต่งตัวค่อนข้างทันสมัยตามแฟชั่น แต่ดูท่าทางดุร้าย
“คุณจับฉันมาที่นี่ทำไม? คอยดูนะ.. ฉันจะฟ้องร้องพวกคุณให้หมดทุกคน?”
หลัวเอ้อเฟิงเดินเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางตื่นตกใจ แต่เมื่อพบกับร่างสูงใหญ่ราวกับตึกของตี้เสี่ยวอู๋ เธอก็ถึงกับตกใจจนพูดอะไรไม่ออกอีก จากนั้นจึงค่อยๆหันไปมองหลิงหยุน และแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ยากนักที่ใครได้เห็นรูปลักษณ์ของหลิงหยุนแล้ว จะคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี!
“กรุณานั่งลงก่อน!”
หลิงหยุนนั่งไขว่ห้างเอนกายพิงโซฟาด้วยท่าทางเป็นกันเอง เขายิ้มให้หลัวเอ้อเฟิง จากนั้นจึงหันไปสั่งตี้เสี่ยวอู๋
“เสี่ยวอู๋.. นายพาลูกน้องออกไปเฝ้าที่ประตูไว้ อย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด!”
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าพร้อมกับยกมือขึ้นโบกให้พี่น้องแก๊งมังกรเขียวทั้งสี่คนตามเขาไปเฝ้าที่หน้าประตูรั้ว
“คุณ.. นี่คุณต้องการอะไร?!”
หลัวเอ้อเฟิงยังไม่ยอมนั่ง และเมื่อเห็นทุกคนเดินออกไปเหลือเพียงเธอกับหลิงหยุนที่อยู่ให้องเท่านั้น เธอจึงคิดว่าหลิงหยุนต้องการจะ..
หลัวเอ้อเฟิงรีบยกมือขึ้นกอดอกไว้ ทำท่าทางต่อต้าน..
แต่ภายในใจกลับกำลังครุ่นคิดว่า.. เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นหน้าตาช่างหล่อเหลาราวกับเทพบุตร และดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าสามีของเธอที่ตายไป และแข็งแรงกว่าชายคนรักใหม่ของเธอหลายเท่า หนำซ้ำบ้านของเขายังใหญ่โตมโหฬาร หากเธอได้เขาเป็น… เธอคงจะสบายไปทั้งชาติ!
เธอได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า.. หากหลิงหยุนลงมือเมื่อไหร่ เธอก็จะไม่ต่อต้าน และจะเป็นฝ่ายจัดการกับหลิงหยุนเอง
เมื่อได้เห็นอาการสะดีดสะดิ้งที่ตรงข้ามกับแววตาของหลัวเอ้อเฟิงแล้ว หลิงหยุนก็ได้แต่นึกขบขันอยู่ในใจ และคร้านที่จะมองเธออีก จึงได้พูดขึ้นว่า
“ไม่ได้รับอิสรภาพมาเกือบเดือน รู้สึกยังไงบ้าง?”
หลัวเอ้อเฟิงเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่กลับถูกคนของแก๊งมังกรเขียวกักบริเวณไว้ เรียกได้ว่ากว่าหนึ่งเดือนมานี้ เธอจะมีอิสระเพียงแค่เวลากินกับเวลานอนเท่านั้นเอง
“คุณ.. นี่คุณจะทำอะไร?!”
เมื่อหลิงหยุนถามเรื่องนี้ขึ้นมา หลัวเอ้อเฟิงจึงถามออกไปอย่างโมโห
หลิงหยุนจ้องหลัวเอ้อเฟิงด้วยสายตาเย็นชา “คุณไม่ต้องกลัว แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก! ผมจะไม่ทำร้ายคุณ หากคุณเล่าเรื่องการตายของสามีคุณให้ผมฟังอย่างละเอียด!”
เห็นได้ชัดว่าหลัวเอ้อเฟิงตื่นตระหนกตกใจสุดขีดจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นซีดขาว ริมฝีปากหนานั้นก็ซีดเผือด และถึงกับทรุดลงนั่งยองๆอย่างหวาดกลัว
หลิงหยุนต้องการรู้เรื่องการตายของสามีเธอ เพราะเหตุใดหลิงหยุนถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา?
“ฉัน.. ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน? ฉันรู้แค่ว่าเขาตกลงไปในแม่น้ำ แล้วก็จมน้ำตาย..” หลัวเอ้อเฟิงตอบกลับไปอย่างหวาดกลัว และเธอก็เริ่มรู้สึกกลัวตายขึ้นมาทันที
“คุณเชื่อว่าเขาจมน้ำตายเองอย่างนั้นเหรอ?” ดูท่าความจำของคุณจะไม่ดีแล้วสินะ! หรือต้องการให้ผมช่วยเตือนความจำให้?
หลิงหยุนยิ้มหยันก่อนจะพูดต่อว่า “หวังเล่ยอายุสามสิบหกปี เป็นคนขับรถขนส่งหินทราย ชอบเล่นการพนัน และก่อนตายก็ติดหนี้การพนันอยู่ แต่ในช่วงบ่ายของวันที่ 25 มีนาคม จู่ๆก็มีเงินโอนเข้าบัญชีของเขาจำนวนหนึ่งล้านหยวน..”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ สายตาของหลิงหยุนก็จ้องลึกลงไปในดวงตาของหลัวเอ้อเฟิง เขาแสยะยิ้มอย่างเย็นชาและพูดต่อว่า “ต้องการให้ผมเล่าต่อมั๊ย?”
แม้ว่าหลัวเอ้อเฟิงจะเป็นภรรยาของผู้ที่ลงมือฆ่าหลิงหยุน แต่อีกฝ่ายก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแม้แต่น้อย หลิงหยุนจึงไม่ต้องการใช้กำลังบีบบังคับคาดคั้นเอาความจริง หากเธอยอมเล่าทุกอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม หลิงหยุนก็จะปล่อยตัวเธอไป
หลิงหยุนแจงรายละเอียดให้หลัวเอ้อเฟิงฟังอย่างชัดเจน..
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนเล่าเรื่องเกี่ยวกับหวังเล่ยได้ถูกต้อง หลัวเอ้อเฟิงจึงเริ่มหวาดกลัว เธอรีบคว้าโซฟาพยุงตัวไว้พร้อมกับถามขึ้นว่า
“คุณ.. คุณเป็นใคร? ทำไมถึงได้รู้จักสามีของฉัน!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับคิดในใจว่า ข้อมูลทั้งหมดที่เขาได้มานั้นล้วนมาจากตำรวจในเมืองจิงฉู จากตี้เสี่ยวอู๋แห่งแก๊งมังกรเขียว ประกอบกับการคาดเดาของเขาเอง และหลิงหยุนก็มั่นใจว่าจะต้องได้เบาะแสบางอย่างจากหลัวเอ้อเฟิง
“ไม่ต้องอยากรู้ว่าผมเป็นใคร? ผมจะไม่ทำร้ายร่างกายคุณ แต่คุณต้องเล่าเรื่องที่รู้ออกมาให้หมด ห้ามปิดบังหรือโกหกแม้แต่นิดเดียว หลังจากนั้นผมจะปล่อยตัวคุณไป เข้าใจมั๊ย?”
“คุณเลือกที่จะไม่เล่าก็ได้นะ.. แต่คุณเห็นแก้วใบนั้นมั๊ย?!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมกับหยิบมันขึ้นมา แล้วออกแรงบีบเบาๆ จากนั้นแก้วทั้งใบก็กลายเป็นผงอยู่ในฝ่ามือหลิงหยุน และค่อยๆร่วงลงไปบนโต๊ะ
หลัวเอ้อเฟิงมองด้วยความตกใจ!
“หากคุณเลือกที่จะไม่พูด หรือพูดโกหก ผมจะฆ่าคุณทิ้งซะ!”
สีหน้าของหลิงหยุนดุดัน และแววตาเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต เขาจ้องลึกลงไปในแววตาที่หวาดกลัวของหลัวเอ้อเฟิง..

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท