รุ่งสางวันต่อมา
นางหวงหวีผมให้เว่ยฉางอิ๋งไปพลางและตำหนินางด้วยเสียงต่ำๆ ไปพลาง “คุณหนูใหญ่ก็ลงมือหนักหนาเกินไปแล้ว เหตุใดจึงข่วนท่านเขยจนเป็นเช่นนั้น?”
เมื่อคืนหลังจากเสร็จเรื่องของพวกเขาแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงก็เรียกคนเข้ามาปรนนิบัติดูแลภายในห้อง พวกสาวใช้เห็นรอยจูบอยู่ทั่วตัวเว่ยฉางอิ๋งก็ยังพอทำเนา เพราะอย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามครรลองอยู่แล้ว ฉินเกอและเยี่ยนเกอจึงได้แต่ช่วยเช็ดเนื้อตัวนางให้สะอาดทั้งใบหน้าแดงก่ำ
กลับเป็นเสิ่นจั้งเฟิงเสียอีก ในขณะที่เขาให้คนมาปรนนิบัติดูแลอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากเว่ยฉางอิ๋งนัก พวกบ่าวก็เห็นว่าที่แผ่นหลังและที่แขนของเขามีรอยข่วนเต็มไปหมด ทั้งมีเลือดไหลซิบๆ ราวกับว่าไปต่อสู้กับผู้ใดมาเช่นนั้น จนคนที่มาดูแลรับใช้เขาตกใจยกใหญ่ หนึ่งในนั้นจะไปเอายาใส่แผลมาในทันใด เพียงแต่ถูกเสิ่นจั้งเฟิงร้องห้ามเอาไว้… แม้จะเป็นเช่นนั้น มีหรือฉินเกอและเยี่ยนเกอจะวางใจ? พวกนางรีบเช็ดเนื้อตัวให้เว่ยฉางอิ๋งจนแห้ง เมื่อออกไปก็นำความไปบอกกับนางหวงในทันที หลังจากนางหวงสอบถามถึงลักษณะของบาดแผลอย่างชัดเจนแล้ว นางก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะพูดอย่างไรดี!
เมื่อเข้าปรนนิบัติใกล้ชิดนางในยามนี้ ก็ย่อมต้องต่อว่านางไปสองสามประโยค “เคราะห์ดีที่ท่านเขยเป็นคนบอกเองว่าไม่ต้องใส่ยา หาไม่แล้วอีกสักพักยามไปยกน้ำชาแล้วผู้อื่นได้กลิ่นเข้าและเกิดไถ่ถามขึ้นมาต่อหน้าทุกคน…คุณหนูใหญ่ท่านลองว่ามาสิเจ้าคะ เพียงแค่คืนแต่งงานคืนแรก ก็ทำเอาจนวันต่อมาสามีต้องเรียกหายาใส่แผล…นี่…นี่มันถูกขนบหรือเจ้าคะ? ต่อไปคุณหนูใหญ่จะมองหน้าทุกคนในบ้านนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งเขี่ยกล่องชาดทาแก้มที่อยู่ข้างๆ มือไปมา ไม่พูดไม่จาด้วยความกลัดกลุ้ม ภายในใจว้าวุ่น รู้สึกแต่เพียงว่าเป็นผู้หญิงนี่น่าสงสารเกินไปเสียแล้ว…แล้วตนไม่เจ็บหรือไร?
นางหวงรู้ว่าในใจนางยังคงไม่ยินยอม แต่ก็กลัวว่าหากพูดมากไปก็จะเป็นการรบกวนจิตใจนางยามเข้าไปคารวะพ่อแม่สามี เมื่อเห็นนางไม่พูดไม่จา จึงได้แต่เพียงถอนใจอยู่ภายในใจและมิได้เอ่ยถึงอีก เร่งเกล้าผมยาวของนางขึ้นอย่างคล่องเร็ว แล้วเรียกให้คนนำปิ่นหยกสีเลือดที่ฮูหยินซูมอบให้คู่นั้นมา พลางปักที่มวยผมของนางอย่างระมัดระวัง และประดับด้วยดอกไม้อัญมณีอีกสองสามดอก กำลังจะถอยหลังออกไปสักสองสามก้าวเพื่อสำรวจความเรียบร้อยและดูว่ายังขาดสิ่งใดอีกหรือไม่ เสิ่นจั้งเฟิ่งที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วกลับเดินเข้ามาหา และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนี้ก็ดีมากแล้ว”
คุณหนูใหญ่เป็นเช่นไรจึงจะงดงามที่สุด แน่นอนว่าท่านเขยว่าเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น นางหวงได้ยินคำจึงรีบโค้งตัว “เจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งกำลังรู้สึกกลัดกลุ้ม ยามนี้เมื่อมองเห็นเขาในกระจกจึงจัดเก็บของไม่พูดไม่จา ยิ่งไปกว่านั้นท่าทางของเขายังดูสบายอกสบายใจและกระปรี่กระเปร่ายิ่งนัก กลับเป็นตนเสียอีกที่แม้จะอาบน้ำแล้ว ทว่าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัว แต่ยังต้องฝืนทำตัวสดชื่นเพื่อไปคราวะผู้คนน้อยใหญ่ในบ้าน… จึงอดจะถลึงตาอย่างดุดันใส่เขาในกระจกสักหลายหนไม่ได้!
เสิ่นจั้งเฟิงมองเห็นอย่างชัดเจน พลันมีแววตาเย้าหยอกฉายขึ้นมา เขาเดินมาที่ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเอาเปลือกหอยไส้ดำ[1]อันหนึ่งขึ้นมาถือเล่นในมือสักพัก แล้วมองไปที่คิ้วทั้งคู่ของเว่ยฉางอิ๋ง ทว่าเอาแต่ยิ้มไม่พูดจา นางหวงเห็นว่าเขาอยากจะเขียนคิ้วให้เว่ยฉางอิ๋งตัวตนเอง นางจึงมีสีหน้ายินดี แล้วรีบถอยออกไปโดยไม่พูดสิ่งใด ทั้งยังส่งสายตาให้คนอื่นๆ ถอยห่างออกไปสักหน่อย เพื่อมิให้รบกวนความสุขของคู่แต่งงานใหม่
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงว่าหัวไหล่หนักขึ้น เพราะเสิ่นจั้งเฟิงจะเขียนคิ้วให้นางจึงถือโอกาสจับไหล่นางเอาไว้ นางไม่รู้สึกตัวว่าคิ้วของตนกำลังขมวดอยู่ เพราะพวกของนางหวงล้วนยังอยู่ที่นี่ จึงทำได้เพียงขบริมฝีปากและอดทนเอาไว้! ไม่คิดว่าเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงกุมหัวไหล่นางและโน้มตัวลงมา ก็ใช้เปลือกหอยไส้ดำบรรจงเขียนคิ้วให้นางเบาๆ แต่กลับอาศัยจังหวะนี้เข้ามากระซิบที่ข้างหูว่า “เจ็บมากหรือไม่? เจ้าอดทนหน่อยนะ ยกน้ำชาเสร็จแล้ว พวกเราค่อยกลับมาพัก”
“…” เมื่อได้ยินคำนี้ ทั้งยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจยามเขากระซิบที่ข้างหู สองแก้มนวลขาวดังหิมะพลันแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด!
และไม่รู้ว่าเขาจงใจหรือไม่ เสิ่นจั้งเฟิงกระซิบไปอีกว่า “ประเดี๋ยวข้าจะประคองเจ้าเดินไป”
เว่ยฉางอิ๋งกัดฟันอยู่เป็นนาน จู่ๆ ก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ประสงค์ดี เอียงหัวเอ่ยเสียงเบาว่า “หลังเจ้าเจ็บอยู่หรือไม่?” คำกล่าวเหมือนเป็นห่วง แต่ความจริงกลับเป็นการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
“บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น” และเห็นชัดว่าเสิ่นจั้งเฟิงอารมณ์ดีไม่เบา เขาไม่ได้เอาเรื่องรอยข่วนมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย กลับหัวเราะเบาๆ และปลอบโยนนางว่า “ข้าสั่งห้ามพวกนางไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปแล้ว จะไม่มีผู้ใดรู้ เจ้าอย่าได้เป็นกังวล”
…เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถามไปด้วยใบหน้านิ่งเฉยว่า “เจ้าใช้ชาดเป็นหรือ?”
ยามนี้เสิ่นจั้งเฟิงเขียนคิ้วให้นางเสร็จแล้ว กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกล่องชาดขึ้นมาเปิด ตัวเขาแนบชิดกับนางไปมา เห็นชัดว่าอยากจะอยู่ใกล้นางอย่างนี้ไม่ยอมไป เมื่อได้ยินนางว่า เขาพลันมีสีหน้าอึดอัดใจขึ้นมา กำลังจะเอ่ยปากเรียกนางหวง แต่เมื่อเหลือบตามองภรรยาหนหนึ่งกลับยิ้มออกมาแล้วว่า “สองแก้มของอิ๋งเอ๋อร์มีเลือดฝาดเป็นธรรมชาติ สีแดงยิ่งกว่าดอกท้อ แล้วยังต้องการชาดนี่ไปทำสิ่งใด?” ว่าแล้วจึงนำกล่องชาดวางกลับไปที่เดิมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
แล้วกล่าวอีกว่า “ริมฝีปากของอิ๋งเอ๋อร์ไม่ต้องแต่งเติมก็แดงแล้ว ที่ทาปากนี้ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทา” อืม ของอยู่บนโต๊ะตั้งมากมาย ละลานตาไปหมด เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าสิ่งใดคือที่ทาปาก
แล้วพูดต่อไปว่า “อิ๋งเอ๋อร์งดงามเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ..ทั้งสีเหลืองบนหน้าผาก หรือขีดแดงที่ข้างแก้มก็มิเห็นควรต้องแต่งเติมสิ่งใดอีก… มิสู้แต้มชาดไว้ที่หว่างคิ้วสักหน่อย” ของเหล่านี้ล้วนยุ่งยากวุ่นวาย เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งจะใช้เป็นได้อย่างไร?
สุดท้ายบอกว่า “อ่ะ เสร็จแล้ว ดูฝีมือสามีหน่อยว่าเป็นเช่นไร ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”
เขามองเว่ยฉางอิ๋งที่งดงามดังดอกไม้อยู่ในกระจก และรู้สึกว่าพอใจเป็นอย่างมาก
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวเตือนไปอย่างหมดคำพูดว่า “เจ้าก็เพียงแค่เล็งไปที่คิ้ว และแต้มชาดลงไปจุดหนึ่งเท่านั้น” ทั้งสีทาปาก ทาแก้ม สีเหลืองทาหน้าผาก ขีดแดงข้างแก้ม จุดลักยิ้ม…ล้วนไม่ได้ใช้ทั้งสิ้น เช่นนี้ยังจะเรียกว่าฝีมือ? ทั้งยังไม่เลวอีก? หรือเจ้าหมอนี่คิดจริงๆ ว่าความงามที่ตนมีอยู่ในยามนี้…ล้วนเพราะเขาช่วยแต่งออกมา?
นี่เป็นเพราะตนเกิดมาดูดีอยู่แล้วต่างหาก!
เสิ่นจั้งเฟิงมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า พลางยื่นนิ้วไปไล้ที่แก้วนุ่มของนางเบาๆ “ภรรยาข้างดงามมาแต่กำเนิด แล้วไยต้องแต่งแต้มสีสันให้รกตา?”
มองเห็นเว่ยฉางอิ๋งเริ่มกำหมัด นางหวงรีบเข้ามาช่วยประนีประนอม และเร่งให้นางไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ข้างนอกห้องก็มีอาหารเช้าที่บ่าวผู้รับใช้เสิ่นจั้งเฟิงเตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้ว เห็นได้ว่าเตรียมไว้ตามรสปากของเว่ยฉางอิ๋ง มีอาหารครึ่งหนึ่งที่เป็นอาหารของทางเฟิ่งโจว
เว่ยฉางอิ๋งสังเกตเห็นว่าสาวใช้ที่เรือนของเสิ่นจั้งเฟิงนี้มีน้อยนัก ยามนี้ที่นางมองเห็นว่าคนที่กำลังวุ่นวายกันอยู่ก็มีเพียงสาวใช้สองคน อีกสองคนล้วนเป็นบ่าวที่เกล้าผมขึ้นจนหมดอย่างหญิงที่แต่งงานแล้ว เห็นชัดว่าเป็นบ่าวที่มีอายุสักหน่อยแล้ว ยิ่งไปว่านั้นทุกคนล้วนมีหน้าตาธรรมดา หรือถึงขั้นเรียกได้ว่าออกจะอัปลักษณ์ นางรู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนสำคัญยิ่งในตระกูล จึงคิดเอาเองในใจว่าอาจเพราะกลัวว่าหากสาวใช้ข้างกายงดงามเกินไปก็จะทำให้เขาวอกแวก จึงให้คนที่หน้าตาไม่ดีนักสองคนมาปรนนิบัติรับใช้
ยิ่งไปกว่านั้นเห็นชัดว่าสาวใช้ทั้งสองนางนี้มิได้เป็นคนคล่องแคล่วว่องไวแต่อย่างใด ยามทำงานยังดูเก้ๆ กังๆ ยิ่งนัก…
ดูท่าว่าเสิ่นจั้งเฟิงมิใคร่เรื่องมากเรื่องบ่าวไพร่สักเท่าใด? จนถึงขั้นเข้มงวดเสียอย่างยิ่งด้วยว่าต้องมีหน้าตาไม่งดงามเช่นนี้?
ในขณะที่ทางนี้นางกำลังคาดเดานิสัยใจคอของเสิ่นจั้งเฟิงอยู่นั้น เสิ่นเจิ้งเฟิงกลับเป็นคนคีบอาหารหลายอย่างมาให้นางด้วยตัวเอง แล้ววางไว้ใกล้ถ้วยตรงหน้านาง กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าลองดูซิว่าพ่อครัวผู้นี้ทำอาหารได้ถูกปากเจ้าหรือไม่?”
เมื่อบ่าวที่อยู่รอบกายเห็นภาพนี้ ก็ต่างพากันยกมือขึ้นมาปิดปากยิ้ม โดยเฉพาะนางหวงที่ยิ้มอย่างเปรมปรีดิ์ยิ่ง
เว่ยฉางอิ๋งหน้าแดงขึ้นมาทันใด แล้วพยายามตั้งสติมาทานอาหาร “ดีทุกอย่าง”
เมื่อทานอาหารแล้ว สาวใช้ยกน้ำมา เพื่อให้ทั้งสองคนล้างปากล้างมือ เสิ่นจั้งเฟิงจึงกล่าวว่า “ยามนี้พวกเราไปกันเลย?”
“ตกลง!”
เมื่อออกมาจากประตูถึงได้พบว่า เรือนที่ตระกูลเสิ่นจัดให้พวกเขาอยู่แห่งนี้เป็นเรือนเดี่ยวที่มีชั้นนอกในทั้งสิ้นสามชั้นซึ่งมีพื้นที่ไม่น้อยเลย สองสามีภรรยาอยู่กันในชั้นที่สอง ในสวนมีดอกไม้หลากหลายสีปลูกเอาไว้ ยามนี้ยังอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโต ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ยังขุดสระน้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เอาไว้สระหนึ่ง มีหินจากภูเขาก่อเอาไว้รอบสระ บนหินมีต้นตีนตุ๊กแกเกาะอยู่เต็มไปหมด…ส่วนที่เหลือนั้นยังไม่มีเวลาดูมากนัก
แต่กลับไม่เห็นมีต้นอู๋ถงอายุร้อยปีที่เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยถึงก่อนหน้านี้เลยแม้แต่เงา กระทั่งเดินมาจึงถึงส่วนหน้าของเรือนจึงได้พบว่า ที่แท้แล้วมันอยู่ในลานของเรือนชั้นที่หนึ่ง ลานในเรือนชั้นที่หนึ่งนี้กว้างกว่าของเรือนชั้นที่สองมาก กิ่งก้านสาขาแสนกว้างใหญ่ของต้นอู๋ถงอายุร้อยปียังบดบังพื้นที่ไว้ได้เพียงครึ่งเดียว และลานแห่งนี้ยังทำเป็นลานฝึกยุทธ์ ที่มุมหนึ่งยังมีกระถางดอกเหมยวางเรียงเอาไว้ด้วย ใต้ระเบียงทางเดินมีแท่นอาวุธจัดวางเอาไว้ บนแท่นนั้นนอกจากจะมีทวน ดาบ และกระบี่สองสามเล่มวางอยู่แล้ว นอกนั้นก็ว่างเปล่า คล้ายว่าอาวุธที่ใช้จริงๆ นั้นคงจะไม่ได้จัดวางไว้ที่นี่
บ่าวที่พบเห็นตลอดทางโดยมากแล้วล้วนเป็นชาย นานๆ ครั้งจะเห็นบ่าวที่เป็นหญิงสักคนสองคนซึ่งล้วนแล้วแต่มีอายุหรือไม่ก็มีหน้าตาธรรมดา เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก คิดในใจว่าบ้านเสิ่นมอบความหวังอันใหญ่หลวงไว้ที่ตัวเสิ่นจั้งเฟิงจริงๆ ถึงขั้นเข้มงวดกับเขาจนถึงเพียงนี้… แม่เฒ่าซ่งเองก็มองเว่ยฉางเฟิงเป็นดังชีวิตของนาง ทว่าในเรือนหลิวฮวาที่เว่ยฉางเฟิงอยู่ ทั้งสาวใช้ รวมทั้งคนใน ‘ปี้อู๋’ ล้วนมีหน้าตางดงามทั้งสิ้น
นอกเรือนมีเกี้ยวกำลังรออยู่ เว่ยฉางอิ๋งที่ยามนี้ร่างกายไม่ค่อยพร้อมจึงรู้สึกโล่งใจ
ระหว่างที่นี่ไปยังอาคารหลัก มีทิวทัศน์ให้ดูอยู่บ้าง ซึ่งเป็นทัศนียภาพไม่เหมือนกับที่เฟิ่งโจว คงเป็นลักษณะเฉพาะของเมืองหลวงหรือของที่เมืองซีเหลียง ยามนี้ก็ไม่มีแก่ใจจะมาใคร่ครวญ จนถึงอาคารหลักจึงลงจากเกี้ยว เมื่อบ่าวที่หน้าประตูมองเห็นก็รีบเข้าไปรายงานข้างใน เว่ยฉางอิ๋งอดจะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ไม่ได้
ในขณะที่กำลังใจเต้นตูมตามอยู่นั้น เสิ่นจั้งเฟิงก็มากุมมือนางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “อย่าได้กังวล”
บ่าวทั้งหลายกำลังมองมา เว่ยฉางอิ๋งพยายามดึงมือออก แต่เพราะเขากุมมือนางเอาไว้แน่น จึงได้แต่เม้มปากไม่ส่งเสียงใด จากนั้นสักพักบ่าวก็ออกมาเชิญให้พวกเขาเข้าไป ทั้งสองจึงได้กุมมือกันเดินเข้าไปภายใน…
ในห้องโถง เสิ่นเซวียนและฮูหยินซูล้วนแต่งกายด้วยชุดชวี่จวีซึ่งเป็นเสื้อนอกตัวยาวลงมาถึงเข่า กำลังนั่งรอบุตรชายและบุตรสะใภ้เข้ามาคารวะด้วยท่าทีเคร่งขรึม
แวบแรกที่เว่ยฉางอิ๋งเข้าประตูมา นางรู้สึงแต่ว่าเสิ่นเซวียนผู้บิดาของสามีมีหน้าตาน่าเกรงขาม ยามเขามองมาสายตาเป็นประกายสุกใส ดวงตาแสนคมคายของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นเหมือนเขาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่คงเพราะด้วยอายุของเสิ่นเซวียน ความคมคายและเฉียบคมจึงได้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในเสียแล้ว ไม่ชัดเจนดังเช่นที่เสิ่นจั้งเฟิงมี มีเพียงความน่าเกรงขามที่เห็นได้ชัดเจนยิ่ง
ส่วนแม่สามี ฮูหยินซูเป็นสตรีซึ่งมีใบหน้างดงามมีสง่า หากว่ากันเรื่องอายุก็คงจะไม่น้อยแล้ว ทว่ากลับดูเหมือนว่านางจะอายุมากที่สุดเพียงไม่เกินสามสิบกว่าๆ เท่านั้น ด้วยนางคงงดงามอยู่ไม่สร่าง สีหน้าของนางดูราบเรียบมองไม่ออกว่ายินดีหรือไม่พอใจกันแน่
รอจนทั้งสองนั่งลงบนกลีบดอกไม้ที่บ่าวปูโรยเอาไว้ให้ จึงคารวะผู้ใหญ่ แล้วยกน้ำชา เสิ่นเซวียนและฮูหยินซูดื่มน้ำชาพอเป็นพิธีอึกหนึ่ง แล้วชมเชยไปสองสามประโยค แม้จะบอกไม่ได้ว่าพูดคุยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนมหนักหนา ทว่าก็เป็นไปด้วยใบหน้าอ่อนโยนและยินดี ต่อจากนั้นเป็นพิธีพบหน้าญาติพี่น้อง… เมื่อมาถึงตรงนี้ เสิ่นเซวียนก็มีสีหน้าแปลกๆ ขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเรียกให้คนยกกระบี่คู่ชายหญิงล้ำค่าออกมาคู่หนึ่ง เขาลูบที่เครายาวใต้คางแล้วนิ่งคิดไปสองอึดใจ จึงได้เอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “ได้ยินว่าเจ้ามีวรยุทธ์ไม่เลว กระบี่ ‘ลู่หู’ เล่มก่อนหน้านั้นตีขึ้นมาให้เหมาะกับกำลังแขนของบุรุษ เกรงว่าเจ้าจะใช้งานได้ไม่คล่องมือนัก ข้าจึงไปเลือกกระบี่คู่ชายหญิงนี้มาจากในคลั่งเป็นการพิเศษ หวังว่าพวกเจ้าจะได้ร่วมแรงปรองดอง ประคับประคงซึ่งกัน จักได้ไม่รู้สึกผิดต่อกระบี่นี้!”
เว่ยฉางอิ๋งรีบกล่าวไปว่า “สะใภ้น้อมรับคำสั่ง! มิกล้าหลงลืม!”
ขณะที่เสิ่นเซวียนกำลังอบรมสอนสั่งอยู่ มีหลายคนในห้องโถงที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีฮูหยินซูอยู่ด้วย รอจนถึงคราวฮูหยินซูให้ของรับไหว้ สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลงมาก นางมีรอยยิ้มอยู่ในทีขณะหยิบต่างหูหยกเขียวใสคู่หนึ่งออกมา “ขอให้แต่นี้ไปพวกเจ้าสองสามีภรรยาคอยประคับประคงซึ่งกัน ไม่แปรเปลี่ยนตลอดกาล!”
เว่ยฉางอิ๋งรับมาแล้วคราวะขอบคุณอีกครั้ง… ต่างหูหยกเขียวใสคู่นี้ทำออกมาเป็นรูปหงส์กระพือปีกหาง เป็นการบ่งบอกเป็นนัยว่าเว่ยฉางอิ๋งเกิดในตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่ง[2]โจว ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นหยกที่มีเนื้อหยกชั้นยอด เมื่อกำเอาไว้ในมือก็จะรู้สึกดังกำน้ำสีเขียวใสเอาไว้ มีความแวววาวอ่อนโยนและบริสุทธิ์ อย่าได้มองเพียงว่าหยกใสนี้มีขนาดเพียงแค่ชุ่นกว่าๆ แต่มันกลับเป็นสิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
เมื่อมองจากเรื่องนี้ ไม่ว่าในใจของฮูหยินซูจะชื่นชอบเว่ยฉางอิ๋งหรือไม่ อย่างน้อยของกำนัลชิ้นนี้ก็มิได้ดูแคลนนาง
ฮูหยินซูยังได้กำชับไปอีกว่า “ลำดับต่อไปก็ล้วนเป็นคนในบ้านเดียวกันทั้งนั้น เจ้าไปรู้จักสักหน่อยเถิด”
_________________________________
[1] เปลือกหอยไส้ดำ เป็นเปลือกหอยทรงยาวแหลมที่ใช้บรรจุสีดำอมเชียวเอาไว้สำหรับเขียนคิ้ว
[2] เฟิ่ง แปลว่า หงส์