ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 32 ต่อกร (2)
ตอนที่ 32 ต่อกร (2)
โดย
Xiaobei
ปรากฏว่าหลิวรั่วเหยียเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเอง เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าข้าก็อยากจะดูเหมือนกันว่าเจ้ายอมวางฐานะดีงามของคุณหนูตระกูลใหญ่ซึ่งมีบิดามารดารักนักหนาทั้งเกิดมาในตระกูลสูงส่งและมีอนาคตยาวไกลลง ทั้งยังไม่รู้จักเคารพในตนเองเสียบ้าง แต่กลับไปเลียนแบบผู้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าไม่มีฐานะใดๆ เอาแต่จ้องจับยังสามีของผู้อื่น… ยามนี้ยังมีคำพูดใดจะกล่าวกับภรรยาของคนที่ตนหมายปองอีก? นางจึงแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “มีข่าวลือเช่นนี้ด้วยหรือ?” แล้วแสดงท่าทีว่าไม่สะทกสะท้านใดๆ “เคยพบแล้วจักเป็นเช่นไร? จะว่าไปเราทั้งสองบ้านก็ล้วนเป็นญาติกัน พวกญาติๆ ได้พบกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“เดิมทีข้าคิดว่าพบกันคราหน้าจึงค่อยอธิบายกับพี่เว่ยเชียว เพราะอย่างไรวันนี้ข้าก็เพิ่งจะได้พบกับพี่เว่ยหนแรก หากพูดมากเกินไป ก็จะทำให้พี่เว่ยคิดว่าข้าเป็นคนเอะอะปากมาก และไม่น่าเชื่อถือเพียงพอ” เมื่อหลิวรั่วเหยียได้ยินคำพลันยิ้มเยาะน้อยๆ พร้อมกับสีหน้าว่าที่แท้เป็นเช่นนี้เอง “แต่ยามนี้ดูไปแล้ว แม้พี่เว่ยเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวง แต่กลับมีคนเล่าเรื่องนี้มาถึงหูของพี่เว่ยเสียแล้วกระมัง?”
เว่ยฉางอิ๋งย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว “คุณหนูสิบเอ็ดคิดมากไปแล้ว”
หลิวรั่วอวี้ไม่สนใจคำแก้ต่างของนาง เพียงแต่กดเสียงต่ำ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หากนับกันแล้วข้าก็เป็นคุณหนูบ้านใหญ่ของตระกูลหลิวแห่งตงหู บางทีพี่เว่ยอาจเคยได้ยินพี่สิบของข้าผู้นั้นเล่าให้ฟัง อย่างไรก็ตามในบ้านข้าก็เป็นที่รักทะนุถนอมยิ่ง ท่านพ่อท่านแม่ล้วนมองข้าเป็นดังมุกในฝ่ามือ พี่เว่ยท่านว่าแม้จะเป็นข้าที่เลอะเลือนเอง บิดามารดาข้าจะยอมให้คนร่ำลือกันไปว่าข้าหมายปองชายผู้หนึ่งที่มีคู่หมั้นอยู่ก่อนแล้วหรือ?”
คำกล่าวนี้ของนางสมเหตุสมผลนัก หากมิใช่เพราะนางจงใจพูดเรื่องฮึกเหิมห้าวหาญเพื่อสร้างหลุมพรางก่อนหน้านี้ เว่ยฉางอิ๋งก็อยากจะพยักหน้าเสียเหลือเกิน ยามสนทนาหารือกับนางล้วนถูกนางยุยงให้แตกคอกัน ทำร้ายคนนี่แล้วก็ทำร้ายคนนั่น? ทั้งยังจัดการเสียจนคนทั้งสองกลายมาเป็นศัตรูกัน! ยามนี้ด้วยเกิดความระแวดระวังหลิวรั่วเหยียขึ้นมา นางจึงทำทีกลบเกลื่อนไปอย่างเรียบเฉยว่า “คุณหนูสิบเอ็ดท่านคิดมากไปแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยได้ยินเสียงเล่าลือเรื่องนี้เลย…”
“ปีก่อนเกิดเรื่องขึ้นมากมาย พี่เว่ยก็รับเคราะห์มาไม่น้อย” หลิวรั่วเหยียพลันหยุดยืนนิ่งแล้วมองมาที่เว่ยฉางอิ๋ง กล่าวเสียงต่ำว่า “จะว่าไปผู้คนล้วนพากันบอกว่าข้าหมายปองสามีของพี่เว่ย จึงยุยงบิดาให้เติมเชื้อไฟลงไปและซ้ำเติมเรื่องนี้! ความจริงแล้ว เด็กสาวเช่นข้า แม้คนที่บ้านจะรักใคร่เอาใจ หากเกิดความบาดหมางกับสองในหกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเลแล้ว… เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คนในตระกูลมีหรือจะทำตามข้า? บอกว่าข้ายุยง ท่านพ่อท่านแม่ก็หาใช่คนไร้ปัญญา อีกประการในตระกูลยังมีญาติผู้ใหญ่อยู่ มีหรือจักยอมให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ บงการได้? หากตระกูลหลิวแห่งตงหูสามารถถูกข้ายุยงได้ แล้วจักยังอยู่ในหกตระกูลสูงศักดิ์แห่งเขตทะเลได้อีกหรือ?”
พูดถึงขั้นนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อาจไม่แสดงท่าทีใดแล้ว จึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เรื่องนี้ช่างเหลวไหลจริงๆ! แม้ว่าท่านพี่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองหลวง แต่ข้าคิดว่าด้วยรูปโฉมของคุณหนูสิบเอ็ดแล้วจักมีผู้ใดที่ไม่คู่ควรเล่า? จะมาหมายปองท่านพี่ที่มีคู่ครองหมั้นหมายเอาไว้นานแล้วได้อย่างไร?”
หลิวรั่วเหยียยิ้มเย็นๆ พลางว่า “พี่เว่ยไม่ทราบ หลังจากข่าวลือเรื่องข้าหมายปองสามีของพี่เว่ยแพร่ออกไป ท่านพ่อของข้าวิวาทกับท่านป้าสะใภ้และท่านอาสะใภ้เสียใหญ่โตหลายหน จนเกือบจะปิดประตูเรือนลงไม้ลงมือกัน! เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ แม้ตนจะรู้อยู่แก่ใจ แต่กลับไม่อาจวิ่งออกไปตีฆ้องร้องเป่ายืนยันความบริสุทธิ์ได้… ดังนั้นคนจึงบอกว่าเป็นหญิงต้องลำบากที่สุดก็คือสิ่งนี้ เมื่อถูกให้ร้ายแล้วกลับไม่มีทางจะไปอธิบายใดๆ ได้! พวกผู้หญิงปากยื่นปากยาวพวกนั้น พออ้าปากหุบปาก เรื่องไร้แก่นสารเช่นไรก็ล้วนพูดออกมาได้ และพวกนางกลับสุขสบายใจ โดยที่มิได้สนใจเลยว่าเมื่อเอ่ยคำพูดเหล่านั้นไปแล้วจะทำให้ผู้หญิงเช่นเราต้องรับผลเช่นไร ช่างไม่มีคุณธรรมเลยแม้แต่น้อย! ครั้งนั้นข้าขังตัวเองอยู่ในห้องหลายวันและไม่กล้าออกไปข้างนอก! ภายหลังกลับเป็นท่านพ่อรุดมาต่อว่าข้าหนหนึ่ง บอกว่าหากข้ายังอ่อนแอขี้ขลาดเช่นนี้แล้วจะคู่ควรเป็นบุตรสาวของท่านได้อย่างไร นับแต่นั้นจึงได้ออกไปไหนมาไหนอีกครั้ง!”
พูดไปดวงตาของหลิวรั่วเหยียก็พลันแดงก่ำ คล้ายจะร้องไห้ออกมา!
ในที่สุดเว่ยฉางอิ๋งก็คล้อยตาม… หลิวรั่วเหยียบอกถึงสิ่งที่นางประสบมา ก็มิใช่เป็นเรื่องที่นางเองก็เคยประสบมาที่เฟิ่งโจวหรอกหรือ? เพียงแค่ฮูหยินซ่งไม่มีหลักฐานจะไปวิวาทกับผู้ใด ทำได้ก็เพียงแต่แอบจดบัญชีเอาไว้ และไม่ให้ใครนำข่าวคราวนี้ไปบอกแก่สามีผู้อ่อนแอขี้โรคของตนเท่านั้น…
หลังจากเงียบงันอยู่เป็นนาน นางกล่าวเสียงต่ำอย่างไม่สบายใจว่า “จริงด้วย เรื่องชื่อเสียงของผู้หญิงนั้น…อย่างไรก็เสียเปรียบอยู่วันยันค่ำ!”
“น้องชายร่วมมารดาของข้าอยู่ในลำดับที่ยี่สิบสามของตระกูล แม้อายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถนัก” หลิวรั่วเหยียยิ้มหยันตนเอง กล่าวว่า “แต่ไรมาก็นับว่าพี่ชายสิบหกเป็นความหวังอันใหญ่หลวงที่สุดในตระกูล พี่ชายสิบหกเป็นคนดี ข้าแน่ใจว่าเขาจะไม่ใช้วิธีการเช่นนี้ เพียงแต่พี่ชายสิบหกได้รับการปลูกฝั่งและสอนสั่งจากในตระกูลมาหลายปี จึงมีผู้คนมากมายให้ความสนใจเขา และยิ่งไม่หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ความจริงแล้วข้าก็เป็นเพียงปลาร่วมสระที่ได้รับผลพวงด้วยเท่านั้น… เมื่อบ้านใหญ่ คนก็มาก มีทั้งคนดีชั่วปะปน พี่เว่ยก็เกิดในตระกูลเว่ย เรื่องเหล่านี้ คิดว่าพี่อายุมากกว่าคงจักเข้าใจดียิ่งกว่าข้า”
“มักมีคนบางกลุ่ม ไม่กล้าแสดงออกในที่แจ้ง แต่กลับชอบใช้อุบายของมารร้าย!” ใบหน้าของเว่ยฉางอิ๋งพลันมีสีหน้ารังเกียจปรากฏขึ้นมา
หลิวรั่วเหยียรู้สึกเช่นเดียวกันล้ำลึกนัก “ได้ยินว่าน้องชายร่วมท้องของพี่เว่ย เป็นผู้ที่มีความสามารถที่สุดในรุ่นนี้ แต่คุณชายห้าตระกูลเว่ยก็ยังเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ มีศักดิ์มีสิทธิ์ กลับไม่เหมือนน้องชายของข้าที่อย่างไรก็เป็นเพียงบ้านห้า”
แม้เว่ยฉางเฟิงพอจะเรียกได้ว่า มีศักดิ์มีสิทธิ์ แต่เว่ยเจิ้งหงก็ร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจรับราชการได้แต่อย่างใด ส่วนท่านอารองเว่ยเซิ่งอี๋ซึ่งเป็นบุตรของอนุกลับเก่งกาจสามารถเช่นนั้นทั้งยังมีบุตรมากมาย… หากเทียบกับคุณชายยี่สิบสามตระกูลหลิวที่แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ยังมีบิดามารดาพร้อมใจกันประคับประคอง ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็คือหลิวซีสวินที่ได้รับการสอนสั่งจากในตระกูลมาหลายปี และยังเป็นคนในรุ่นเดียวกัน ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ใดจะสบายกว่ากัน?
บางทีอาจเพียงกล่าวได้ว่าต่างมีความลำบากของตนเอง
เมื่อว่ากันมาดังนี้ และนำเรื่องของทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันก็นับว่าเป็นผู้ที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากแบบเดียวกัน โดยมิทันรู้เนื้อรู้ตัว หลังจากเจ้าพูดไปคำข้าเอ่ยไปอีกคำ ความห่างเหินก่อนนี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจนหมด และกลับพร้อมใจกันระบายความอัดอั้นตันใจออกมา…
เมื่อหลิวรั่วเหยียอำลาในภายหลัง ก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เดิมทีวันนี้ข้าเพิ่งได้พบหน้าพี่เว่ยคราแรก ไม่ควรจะพูดมากเช่นนี้ เพียงแต่ข้าคิดดูก็รู้สึกว่าไม่ยอมใจ ข้าและพี่เว่ยมิได้มีความเคืองแค้นต่อกัน และจะว่าไปพวกเราล้วนถูกคนกลุ่มเดียวกันทำร้าย ยามนี้กลายเป็นว่าพวกเรากลับต้องมาขัดยังกัน ก็จักทำให้คนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังหัวเราะเยาะเอาได้! ถือดีอย่างไร?”
เว่ยฉางอิ๋งก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคืองโกรธว่า “น้องรั่วเหยียกล่าวถูกต้องไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว! สตรีตระกูลใหญ่เช่นพวกเราใช้ชีวิตอยู่ในกฎระเบียบ ก่อนออกเรือนต้องคอยรออยู่อย่างอึดอัด ประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ได้ใกล้ ต้องฝืนทนอัดอั้นตันใจเพื่อผู้ใดกัน? ความขัดแย้งของเรือนหน้ากลับดึงเอาพวกเราออกไปให้ร้ายกันตามอำเภอใจ… ข่มเหงกันเกินไป! ข่มเหงกันเกินไปจริงๆ!”
จากนั้นทั้งสองคนที่มีความแค้นเช่นเดียวกันก็เสมือนเป็นพี่น้องแท้ๆ กันเช่นนั้น นัดกันดิบดีว่าจะมาพบกันอีกคราหน้า แล้วโบกมือลากัน…
เมื่อมาส่งจนรถม้าของหลิวรั่วเหยียหายลับสายตาไป เว่ยฉางอิ๋งก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา “ช่างเป็นคุณหนูหลิวที่มีฝีปากคมคายจริงๆ มีวาทศิลป์ดียิ่ง! คำพูดเหล่านี้ หากข้าอายุน้อยกว่านี้สองปี คงจักเอานิ้วคีบดินใช้แทนธูปมาสาบานเป็นพี่น้องกับนางในทันใด!”
นางหวงมองไปซ้ายขวารอบหนึ่ง มีองครักษ์ยืนอยู่ไม่ไกลนัก จึงได้กล่าวเตือนไปด้วยเสียงต่ำว่า “ตรงนี้เป็นทางลม พวกเรากลับไปพูดในเรือนดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ส่วนในเวลาไล่เลี่ยกัน หลิวรั่วเหยียก็ให้คนปิดม่านในรถลงเสีย “เลี้ยวผ่านมุมถนน ตรงนั้นดีชั่วอย่างไรก็มองไม่เห็นแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องชะเง้อออกไปทำทีว่าหันกลับไปมองอีก”
สาวใช้นามป่ายฮวายิ้มพลางว่า “ยังนึกว่าหญิงที่คุณชายสามตระกูลเสิ่นยืนกรานจะแต่งด้วยเสียให้ได้จะงดงามประหนึ่งมีแต่บนสวรรค์และหาไม่ได้ในใต้หล้านี้เสียอีก ที่แท้ก็หาได้งดงามกว่าคุณหนูของพวกเราไม่”
“เจ้าจะรู้สิ่งใด?” สำหรับคำชมนี้ หลิวรั่วเหยียกลับระบายลมออกทางจมูกเป็นทีเยาะหยัน กล่าวว่า “เสิ่นย้าวเหยี่ยเป็นเพียงผู้มีรูปโฉมงดงามจนน่าอัศจรรย์ใจที่ใดกัน? หากเขาเป็นคนเช่นนี้ แต่แรกนั้นข้าก็จะไม่มีทางให้ท่านแม่ไปสืบเสาะดูว่ามีหนทางใดจะทำลายสัญญาแต่งงานของเขากับตระกูลเว่ยหรอก! หากเป็นพวกที่ลุ่มหลงแต่ในรูปร่างหน้าตา แล้วจักมีวันก้าวหน้าได้ที่ใด? และจักควรค่าให้ข้าไปสิ้นเปลืองสมองที่ใด? ท่านในตำหนักตะวันออกนั่นเป็นผู้ที่ใช้ตัณหาเลือกสรรคน เจ้าลองดูคุณหนูใหญ่ตระกูลซ่งซึ่งเป็นว่าที่พระชายาองค์รัชทายาทคนก่อนสิ นางยอมสร้างเรื่องทำลายโฉมตนและยอมเป็นตัวอัปมงคลก็ยังไม่ยอมแต่งเข้าวัง… ก็มีแต่เพียงบ้านเรา นอกจากพี่สิบแล้ว มีบุตรสาวบ้านใหญ่ในสายใกล้เคียงคนใดที่ยอมไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาท?”
นางเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “อุตส่าห์พาพวกเจ้ามาพบเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้เป็นการเฉพาะ แล้วตาของพวกเจ้ากลับเอาแต่มองว่านางงามหรือไม่เช่นนั้นรึ? ข้าจักบอกพวกเจ้า ครานั้นฮูหยินหลี่เกิดในตระกูลสังคีต ทั้งยังเข้าใจหลักการ ‘ใช้ความงามยั่วยวนผู้อื่น ยามความงามโรยรารักนั่นย่อมเลืองราง’ เจ้านึกจริงๆ หรือว่าเกิดมางดงาม ก็จะไม่มีที่ใดไม่มีชัย? ไม่เคยได้ยินหรือว่าคนงามอายุสั้น?!”
หลิวรั่วเหยียยื่นนิ้วไปกวาดผ่านหน้านุ่มนวลของไป่ฮวาจนเกิดเป็นรอยแดงที่แจ่มชัดเส้นหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากเอ่ยถึงเรื่องรูปโฉมงดงาม เจ้าก็มิได้มีหน้าตาเลวร้าย ข้าว่าเมื่อเจ้าเทียบกับพี่สิบของข้าแล้วต่างคนต่างก็มีดีกันไปคนละอย่าง แล้วถึงแม้ว่าท่านแม่ไม่ได้รักใคร่นาง แต่ไยนางกลับได้เป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท ส่วนเจ้าหากเข้าไปในตำหนักตะวันออก แม้แต่จะให้มีลูกก็ยังต้องดูว่ามีเล่ห์เหลี่ยมเพียงใด? ข้าจักบอกพวกเจ้า ผู้ที่สนใจแต่เพียงรูปร่างหน้าตาจักไม่วันทำการใหญ่สำเร็จ! วันหน้าหากพวกเจ้ายังคิดจะอยู่กับข้าต่อไปก็จงรู้จักฉลาดสักหน่อย!อย่าได้ให้ข้าได้ยินอยู่แต่เช้าจนค่ำว่าพวกเจ้าเหมือนกับสาวใช้ทั่วไป แล้วจักถูกครหาเอาว่าคุณหนูบ้านใดกันมีหน้าตางดงาม แต่สาวใช้บ้านใดชอบปากมากพูดจาแต่เรื่องไร้สาระ! จงใช้สมองกันให้มากสักหน่อย!”
ไป่ฮวารู้สึกแต่เพียงแสบร้อนบนใบหน้า แต่กลับไม่กล้าหลบเลี่ยงหรือยกมือขึ้นกันเอาไว้ ได้แต่กล่าวขอขมาด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ “ข้าน้อยรู้ผิดแล้ว!”
ไป่หลิงสาวใช้อีกคนเห็นไป่ฮวายอมรับผิดแล้ว นางคิดสักพักจึงกล้าเอ่ยปาก “ข้าน้อยรู้สึกว่าฮูหยินน้อยเว่ยผู้นี้ก็ไม่เหมือนเป็นคนฉลาดเท่าใด วันนี้คุณหนูลงมือตามแผนการ ก็มิใช่ว่าพูดจนนางหักหลังฝ่ายตนแล้วหรือเจ้าคะ? น่าขันคุณหนูเจ็ดและคุณหนูสิบ นึกว่าเมื่อมีฮูหยินน้อยเว่ยเป็นพวกก็จะสามารถมาต่อกรกับคุณหนูได้หรือ?”
“ตาข้างใดของเจ้าเห็นว่านางหักหลังฝ่ายตน?” หลิวรั่วเหยียย้อนถาม
ไป่หลิงรีบขออภัย “ข้าน้อยโง่นัก เพียงแค่เห็นว่าภายหลังฮูหยินน้อยเว่ย…”
“ภายหลัง?” หลิวรั่วเหยียเอื้อมมือไปบิดแก้มนางด้วยความเหลืออดที่สาวใช้ไม่ได้ดังใจ ไป่หลิงรู้สึกเจ็บ ได้แต่กัดฟันทนเอาไว้ แล้วได้ยินหลิวรั่วเหยียกล่าวเยาะหยันว่า “ก่อนนี้ไปสอบถามจากพี่ชายสิบหกมา วรยุทธ์ของเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้ไม่เบาเลย นางสามารถซัดปิ่นไปสังหารงู ทั้งสังหารหัวหน้าพวกลอบทำร้ายต่อหน้าธารกำนัล และปกป้องน้องชายร่วมกับองครักษ์จนหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย… เดิมทีข้าคิดว่าที่นางถูกโจมตีและครหานินทาเมื่อก่อนนี้อย่างไรเสียก็คงจะทิ้งเงามืดดำอยู่ในใจนางบ้าง ยามนี้ไม่ว่าจะแสดงความนับถือเรื่องวรยุทธ์และความห้าวหาญของนางเพียงใด ทั้งยังใช้เรื่องการปกป้องพิทักษ์แผ่นดินมาโน้มน้าวนาง อย่างไรเสียก็น่าจะสามารถทำให้คล้อยตามได้บ้าง แต่พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้ว แม้วรยุทธ์ของเว่ยฉางอิ๋งจะแก่กล้า แต่กลับมิใช่จอมยุทธ์หญิงที่เอาแต่ตีรันฟันแทงแต่ไม่เชี่ยวชาญการวางกลยุทธ์ด้วยปัญญา!”
เมื่อรับน้ำชาที่ไป่ฮวาส่งมาให้และดื่มไปหนึ่งอึก หลิวรั่วเหยียจึงหลับตาลง เอนตัวไปอิงหมอนที่อยู่ทางด้านหลังแล้วพูดต่อว่า “มองแต่เพียงที่ข้าเอ่ยถึงคำสอนของบรรพบุรุษ หรือเรื่องดินแดนของต้าเว่ยพวกนั้นนางก็ลับมิได้ประทับใจใดๆ ก็รู้ได้แล้วว่าหาใช่คนที่ไม่มีชั้นเชิงใดๆ ไม่ว่าจะได้รับการสอนสั่งจากผู้ใหญ่มาหรือเป็นนิสัยดั้งเดิมของนางก็ตามที พวกเจ้าลองคิดดูสิว่า ก่อนนี้นางก็สุขุมถึงเพียงนั้น ทั้งวันนี้ยังเป็นการพบกับข้าหนแรก แล้วข้าจะสามารถดึงนางมาอยู่ฝั่งข้าได้อย่างง่ายดายหรือ? หากนับกันตามอายุนางก็โตกว่าข้าสักหน่อย ไม่แน่ว่านางอาจจะวางแผนดึงข้าไปอยู่ฝั่งนาง!”
ไป่ฮวาเอ่ยถามไปอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้น… จักลงมือกับฮูหยินน้อยเว่ยผู้นี้เช่นเดียวกับที่ทำกับคุณหนูสิบหรือไม่เจ้าคะ? คราหน้ายามมีโอกาสได้พบกับฮูหยินน้อยเว่ยอีกหน พวกเราจักได้พกยามาด้วย?”
“โง่เง่า!” หลิวรั่วเหยียเบิกตาโต แล้วมองสาวใช้ทั้งสองคนที่นึกว่ากำลังแสดงท่าทีเอาอกเอาใจตนอยู่ด้วยสายตาเย้ยหยันหนหนึ่ง และกล่าวเสียงต่ำว่า “หากเว่ยฉางอิ๋งผู้นี้ยังไม่แต่งเข้าบ้าน ในเมื่อข้าหมายปองเสิ่นย้าวเหยี่ยแล้ว ย่อมใช้ทุกวิถีทางกำจัดนาง! แต่ยามนี้แต่งงานนางก็แต่งไปแล้ว ต่อให้นางตายแล้วข้าค่อยแต่งเข้าไป ก็เป็นแค่เพียงการแต่งงานอีกครั้ง! อย่างไรก็ยังต้องก้มหัวให้นาง…ถือดีอย่างไร?”
ไป่ฮวาเสนอความคิดเห็นไปสองครั้งก็ล้วนถูกตำหนิ นางอดจะกระอั่กกระอ่วนใจไม่ได้จึงเอาแต่ก้มหน้าหดตัวอยู่ที่มุมรถไม่กล้าส่งเสียงอีก ไป่หลิงเอ่ยถามอย่างขลาดกลัวว่า “เช่นนั้น.. ต่อไปคุณหนูจะทำเช่นไรกับฮูหยินน้อยเว่ยเจ้าคะ?”
“ดีชั่วข้าก็จะไม่มีวันไปเป็นตัวสำรองของผู้ใด” หลิวรั่วเหยียแค่นเสียงเยาะหนหนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องลงมือกับเว่ยฉางอิ๋ง วันนี้มาลบล้างความเป็นศัตรูและความเคลือบแคลงของนาง เราก็ทำทีเกรงอกเกรงใจไปก่อนเถิด! ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจมีที่ใดจะพอใช้นางได้!”
แล้วสั่งสอนสาวใช้ทั้งสองว่า “ก่อนทำการใดต้องรู้จักใช้สมองเสียบ้าง! ให้ผู้อื่นเสียประโยชน์เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตน แม้นไม่ถูกธรรมนองคลองธรรม แต่อย่างไรก็ยังมีข้อดี! แต่ต้องให้ข้อดีนั้นมีมากกว่าการทำเรื่องไม่ถูกธรรมนองคลองธรรมจึงค่อยลงมือทำ …ทำให้ผู้อื่นเสียประโยชน์แต่มิได้เอื้อประโยชน์แก่ตน… ทำเช่นนี้ไม่ใช่บ้าแล้วจะเรียกว่าเป็นสิ่งใด? ผู้ทำการค้าล้วนรู้ดีกว่าไม่อาจทำการค้าที่ขาดทุน แล้วประสาอะไรกับพวกเรา?!”
ไป่ฮวา ไป่หลิงคำนับรับคำอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยจักทำตามคำสั่งของคุณหนูอย่างเคร่งครัดเจ้าค่ะ!”
_______________________