ว่ากันว่าเป็นห่วงจนว้าวุ่น คืนนี้คนทั้งจวนราชครูล้วนถูกปลุกให้ตื่นกันหมด กระทั่งจวนเซียงหนิงปั๋วที่อยู่ติดกันก็ได้รับข่าวตอนก่อนฟ้าสาง ด้วยเหตุที่เสิ่นจั้งจูเป็นแม่ม่ายกลัวไม่เป็นมงคลจึงไม่ได้ไป นางเผยก็รีบลุกขึ้นมาแต่งตัว พาคนไปสอบถามข่าวคราวด้วยตนเอง …ความจริงแล้วในบรรดาคนมากมายที่ถูกปลุกให้มารวมกันนี้ คนที่เคยคลอดบุตรมาหลายครั้งที่สุดไม่มีใครเทียบตัวฮูหยินซูเอง และไม่มีผู้ใดที่ชำนาญนารีแพทย์ศาสตร์เท่านางหวง แต่ในบรรดาคนตั้งมากมายนั้นกลับไม่มีแม้สักคนที่มองเห็นทะลุปรุโปรงว่าตวนมู่เยี่ยนอวี่หาได้เป็นห่วงความเป็นตายของเว่ยฉางอิ๋งไม่ และคิดแต่จะหาโอกาสให้ตัวเองได้ผลประโยชน์
… ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ตวนมู่เยี่ยนอวี่คาดเดาให้สาวใช้ฟังบนรถม้า แม้เว่ยฉางอิ๋งจะคลอดบุตรครั้งแรก ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนนางจึงตื่นเต้นลนลานอยู่ภายในห้องคลอด กรีดร้องดังลั่น ทำเอาฮูหยินซูที่อยู่ข้างนอกตกใจอกสั่นขวัญแขวน …แต่หลังจากเจ็บปวดอยู่จวบฟ้าใกล้สว่าง หมอตำแยที่ดูแลมาทั้งคืนจนจวนจะหมดแรงก็ร้องออกมาอย่างยินดีว่า “เห็นหัวเด็กแล้ว ฮูหยินน้อยรีบออกแรงเบ่ง! ออกแรงเบ่งแล้วคุณชายน้อยก็จะออกมาแล้ว!”
นางหวงก็รีบเอ่ยให้กำลังใจว่า “ฮูหยินน้อยทำใจให้สบาย จี้ชวี่ปิ้งและคุณหนูตวนมู่แปด ยังมีฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยรองล้วนรออยู่ข้างนอกนะเจ้าคะ! ท่านมีร่างกายแข็งแรง คุณชายน้อยก็ได้ท่านหมอเทวดาคอยดูแลจนแข็งแรง จะต้องคลอดได้อย่างราบรื่นแน่นอน ไม่ต้องกลัวเรื่องใดโดยเด็ดขาดนะเจ้าคะ!”
เว่ยฉางอิ๋งถูกทุกๆ คนปลอบโยนและให้กำลังใจวุ่นวายไปหมด ทั้งได้ยินหมอตำแยขู่แกมเตือนว่า “ฮูหยินน้อยครานี้ห้ามผ่อนแรง หาไม่แล้ว เกรงว่าจะไม่ดีต่อคุณชายน้อยนะเจ้าคะ”
แม่ลูกเชื่อมใจถึงกัน เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ฟังว่าจะไม่ดีต่อลูก นางก็ร้อนรนขึ้นมา แล้วออกแรงเบ่งตามที่หมอตำแยสั่ง ไม่นานจากนั้นก็คลอดออกมาได้อย่างราบรื่น …ฮูหยินซูชะเง้อคอรออยู่ข้างนอกจนคอแทบจะยาวออกมาแล้ว ที่สุดก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กทารกดังขึ้น ฮูหยินซูปลาบปลื้มดีใจจนแทบมีน้ำตา รีบร้องถามเสียงดังไปว่า “เด็กเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นหลานชายใช่หรือไม่?”
ได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างยินดีจากข้างใจดังมาก่อน แล้วมีเสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นมาไม่หยุด ผ่านไปเนินนานจึงได้ยินเสียงนางว่านเอ่ยรายงานผ่านหน้าต่างมาว่า “เรียนฮูหยินเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยสามคลอดคุณชายน้อยเจ้าค่ะ แม่ลูกปลอดภัยดีเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินซูยกภูเขาออกจากอกได้เสียที แล้วสั่งบ่าวข้างกายไปด้วยความยินดีเป็นล้นพ้นว่า “เร็ว! ไปรายงานทุกๆ ที่!” ยามนี้ นางหลิวและนางเผยที่รออยู่ด้วยตลอดเวลาจึงเข้าไปแสดงความยินดี นางเผยรอจนนางหลิวเอ่ยคำแสดงความยินดีแล้ว นางก็แย้มยิ้มพลางพูดคำเป็นสิริมงคลต่อ … เวลานี้ ฮูหยินซูปลาบปลื้มเต็มหัวใจ มองผู้ใดล้วนรื่นหูรื่นตาไปมด แม้จะรู้ว่านางเผยจงใจประจบเอาใจ ทว่าก็ข่มรอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ไม่ได้ ทั้งยังชมนางไปด้วยสีหน้าอ่อนโยนไปสองสามคำ นางเผยรีบอาศัยจังหวะนี้ประคองแขนของนาง
เวลานี้ ฮูหยินซูก็ไม่อาจบอกว่าไม่ให้นางมาประคอง พลันถอนหายใจอยู่ในใจ รู้ว่าเมื่อเป็นดังนี้แล้ว วันหน้าหากคิดจะทำแห้งแล้งเย็นชากับหลานสะใภ้ผู้นี้ต่อไปก็จะไม่ได้แล้ว
แต่ในขณะที่นางกำลังยินดีที่ได้หลานชาย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
ผ่านไปสักพัก หลังจากพวกของนางหวงล้างตัวและห่อหลานชายที่เพิ่งลืมตาดูโลกเรียบร้อยแล้ว ก็อุ้มออกมาให้ทุกคนได้ดู แม้ผิวหนังของเด็กที่เพิ่งเกิดจะเหี่ยวย่น แต่เพราะผูกพันกันทางสายเลือด ไม่ว่าฮูหยินซูจะมองอย่างไรก็น่ารักไปหมด นางเอ่ยเสียงเบาๆ กับทุกคนด้วยใบหน้าและดวงตายิ้มแย้มว่า “พวกเจาดูคิ้วและดวงตาของเด็กคนนี้สิ เหมือนเฟิงเอ๋อร์หรือไม่?”
“สะใภ้เห็นว่าคางของหลานกลับยิ่งเหมือนท่านแม่เจ้าค่ะ” เดิมทีนางตวนมู่อยู่ในห้องโถงข้างนอกเป็นเพื่อนกับตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ไม่ยอมไปยืนรออย่างโง่ๆ ที่นอกห้องคลอดกับคนอื่นๆ เมื่อได้ยินว่า เว่ยฉางอิ๋งคลอดอย่างราบรื่นแล้วเวลานี้จึงเพิ่งจะรีบมา และทันได้พูดจาประจบเอาใจสักคำพอดี
ฮูหยินซูฟังอย่างเบิกบานใจนัก นางอุ้มหลานอย่างระมัดระวัง แล้วจึงคืนให้นางหวงอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วกำชับนางด้วยความเป็นห่วงว่า “”รีบอุ้มกลับเข้าไปเถิด ระวังอย่าให้ลมพัดเข้าไปถูกเด็ก”
รอจนหลานชายที่เพิ่งเกิดถูกอุ้มกลับเข้าไปในห้องแล้ว ฮูหยินซูจึงสังเกตว่ายามนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวนางก็เฝ้าสะใภ้คลอดจนรุ่งเช้า ทว่ากลับไม่รู้สึกว่าเหนื่อยสักนิด เมื่อมองเห็นแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิแสนอบอุ่นที่ทออยู่เต็มลานบ้าน ฮูหยินซูที่เดิมทีก็ยินดีปรีดานักหนาอยู่แล้วก็รู้สึกอย่างยิ่งว่านิมิตหมายและฤกษ์นี้ดีเป็นที่สุด แล้วกลับไปรายงานข่าวดีกับเสิ่นเซวียนด้วยตนเองด้วยความปลาบปลื้ม
บ่าวนำข่าวดีที่บ้านสามได้หลานชายนี้ไปบอกกล่าวกับเสิ่นเซวียนแล้ว ตอนที่ฮูหยินซูเข้าประตูไปนั้นก็เห็นว่าเขาเอาสุราซวงเหลียงที่ปกติหวงแหนไม่ยอมนำมาดื่มออกมา แล้วรินจนเต็มจอกใหญ่ ค่อยๆ จิบดื่มคำเล็กๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า เมื่อเห็นนางเข้ามา จึงรีบถามว่า “หลานชายเราผู้นี้หน้าตาเหมือนผู้ใด?”
“คิ้วและตาเหมือนเฟิงเอ๋อร์ คางเหมือนข้า” ฮูหยินซูอารมณ์ดียกใหญ่ จึงล้อเล่นกับเขาว่า “ความจริงโดยรวมแล้วเขาหน้าตาเหมือนแม่” นางจงใจไม่เอ่ยว่าหน้าตาเหมือนสามี เสิ่นเซวียนกลับลูบเคราแล้วหัวเราะเสียงดังว่า “เฟิงเอ๋อร์เหมือนข้าสิบเต็มสิบ ในเมื่อคิ้วและดวงตาเหมือนเฟิงเอ๋อร์ เช่นนั้นก็มิใช่เหมือนข้าที่เป็นปู่หรอกรึ?”
ฮูหยินซูเอ็ดเขาไปคำหนึ่งว่า “ฤกษ์ที่เด็กคนนี้คลอดออกมาก็ดี เป็นเวลาที่ตะวันขึ้นพอดี ค่ำคืนอันยาวนานผ่านพ้นไป”
เสิ่นเซวียนได้ยินคำจึงว่า “เป็นนิมิตดี คนในรุ่นนี้ข้าให้ขึ้นต้นด้วยตัว ‘ซู’ มิสู้ให้ชื่อว่า ‘ซูกวง[1]’ เถิด”
“ท่านจะตั้งชื่อยามนี้เลยหรือ? นี่เป็นทายาทคนแรกของเฟิงเอ๋อร์เชียวนะ ไม่ถามเขาสักหน่อยหรือ?” ฮูหยินซูเรียกร้องแทนบุตรชาย
เสิ่นเซวียนแค่นเสียงหึๆ แล้วว่า “ยังเหลืออีกสองปีเขาจึงจะกลับมา ไม่อาจให้เด็กไม่มีชื่ออยู่ร่ำไปด้วยเหตุนี้กระมัง? อีกประการคนเป็นปู่เช่นข้าตั้งชื่อให้หลานชายก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ชื่อของซูหมิงก็มิใช่ข้าเป็นคนตั้งหรอกรึ? ชื่อซูกวงนี้มีสิ่งใดไม่ดี เฟิงเอ๋อร์ก็มิใช่คนที่เก่งกาจเรื่องบุ๋นเมื่อใด ข้าว่าเขาก็ตั้งชื่อไปไม่ได้ดีกว่าข้าหรอก”
“ท่านโกงนี่!” ฮูหยินซูไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พลางชี้ไปทางเขา กล่าวว่า “แค่ดังชื่อเท่านั้น ต้องให้เฟิงเอ๋อร์กลับมาด้วยตนเองรึ? เขียนจดหมายก็มิใช่สิ้นเรื่องแล้วหรือ? อีกประการเจ้าเก่งเรื่องบุ๋นรึ? พวกท่านพ่อลูก หากว่ากันเรื่องบู๊ล้วนไม่ต้องพูดถึง แต่หากว่ากันเรื่องบุ๋น พวกท่านสองคนรวมกันยังมีชื่อไม่เท่าซูเหยียนเลยด้วยซ้ำ!”
เสิ่นเซวียนเอ่ยอย่างองอาจว่า “เฟิงเอ๋อร์ไปราชการที่ซีเหลียง แล้วจะคอยเอาเรื่องที่บ้านไปรบกวนเขาอยู่เรื่อยได้อย่างไร? เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ คนเป็นพ่อแม่เช่นพวกเราควรช่วยเขาจัดการทั้งหมด เพื่อให้เขาทุ่มเทแรงใจทั้งหมดสร้างความชอบให้แคว้นจึงจะถูก!”
เขาจึงขืนตัดสินใจเองดังนี้เสียเลย แล้วกำชับฮูหยินซูว่าอย่าเพิ่งพูดออกไป “รอจนเด็กครบเดือน[2]แล้วค่อยบอก ให้เหมือนกับซูหมิง อย่าให้บ้านใหญ่และบ้านสองรู้เข้าแล้วจะไม่พอใจ”
กลับมิใช่เพราะ เสิ่นเซวียนลำเอียงไปทางบ้านสามเป็นพิเศษ แต่ความจริงก็เป็นเพราะหลานชายของตนมีน้อย
ครานั้น หลังจากนางหลิวคลอดคุณหนูหลานคนโตเสิ่นซูจิ่งได้สองปีก็ให้กำเนิดคุณชายหลานคนโตเสิ่นซูหมิงซึ่งเป็นหลานชายคนแรก เสิ่นเซวียนสามีภรรยาก็ย่อมให้ความสำคัญกับหลานชายคนโตที่เกิดมาเป็นอย่างมาก ครานั้นสองสามีภรรยานึกว่าในเมื่อมีหลานชายคนโตแล้ว และบุตรชายคนรองก็แต่งงานแล้ว สะใภ้ต่างก็มีร่างกายแข็งแรงดีไม่เลว ต่อไปก็คาดว่าจะต้องมีหลานชายเกิดมาคนแล้วก็คนเล่า นั่นเพราะเสิ่นเซวียนและฮูหยินซูมีมีบุตรชายถึงหกคน คิดว่าในเมื่อมีบุตรชายหลายคน ก็จะต้องมีหลานชายมากขึ้นไปอีก
ปรากฏว่าครรภ์แรกของนางตวนมู่กลับเป็นคุณหนูหลานรองเสิ่นซูโหรว ฮูหยินซูก็มิได้โทษสะใภ้ ด้วยคิดในใจว่าน่าจะเหมือนกับนางหลิวที่เริ่มผลิดอกก่อนแล้วค่อยออกผลก็ไม่เป็นไร ไม่คิดว่าจนถึงเวลานี้บ้านสองก็ยังไม่มีวี่แวว มีหลานสาวสี่คนหลานชายหนึ่งคน แม้สองสามีภรรยาจะไม่พูด แต่ในใจจะไม่ร้อนรนได้หรือ?
ผ่านไปเกือบสิบปี ระหว่างนั้นมีความหวังมากี่หนก็ผิดหวังมาเท่านั้น ที่สุดก็ได้หลานชายคนที่สองแล้ว เสิ่นเซวียนเองก็ค่อนข้างจะเก็บอาการไว้ไม่อยู่
ในขณะที่เสิ่นเซวียนสามีภรรยายินดีเป็นล้นพ้นและกำลังวางอนาคตให้กับหลานชายคนใหม่อยู่ในเรือนหลัก เว่ยฉางอิ๋งอ่อนล้าหมดแรงและหลับไป รอจนตื่นขึ้นมาเป็นเวลาค่ำแล้ว
เมื่อเห็นนางลืมตา นางหวงรีบเขาไปจับชีพจรให้นาง จากนั้นก็ยิ้มแย้มและบอกกับบ่าวซ้ายขวาว่า “ฮูหยินน้อยปกติดีทุกประการ”
พวกของนางเฮ่อพากันโล่ใจและเข้าไปแสดงความยินดีกับนางพร้อมกัน
ก่อนเว่ยฉางอิ๋งหลับไปนางก็มาดูลูกชายแล้ว เวลานี้เมื่อมองไปซ้ายขวาก็ไม่เห็นว่าอยู่ในห้องจึงเอ่ยถามหาอย่างร้อนใจขึ้นมา
นางหวงรีบปลอบว่า “ฮูหยินน้อยอย่าได้ร้อนใจไป คุณชายน้อยอยู่ห้องข้างๆ นี่เองเจ้าค่ะ พี่ว่านเป็นคนดูแลอยู่เจ้าค่ะ! เมื่อครู่นี้เพิ่งดื่มนมจนอิ่ม เวลานี้กำลังหลับอยู่เจ้าค่ะ พี่ว่านเป็นผู้มีประสบการณ์ คุณชายของพวกเราก็เป็นนางเลี้ยงดูมาจนโต จึงมีประสบการณ์ในการดูแลคุณชายน้อยเป็นที่สุดเจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงย้ายไปห้องข้างๆ เสียแล้ว?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เหตุใดไม่เอามาไว้กับข้าที่นี่?”
“คุณชายน้อยยังเล็ก บางคราก็จะร้องไห้ขึ้นมา หากเอาไว้ในห้องเดียวกับ ฮูหยินน้อยก็เกรงว่าจะเสียงดังรบกวน ฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ” นางหวงอธิบาย “ยิ่งไปกว่านั้นก็มีทั้งแม่นมและคนที่มาดูคุณชายน้อยพากันเข้าๆ ออกๆ ก็เกรงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งพลันเป็นกังวลขึ้นมา กล่าวว่า “เหตุใดคนมาดูลูกข้าจึงมีมากมายนัก? เขายังเล็กเพียงนั้น อย่าไปรบกวนเขา”
“ฮูหยินน้อยท่านวางใจเถิด ล้วนเป็นคนในบ้านเจ้าค่ะ” นางหวงเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “ฮูหยินก็ยังอดจะมาวันละสามสี่รอบไม่ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยใหญ่ก็มาหลายหนแล้ว …คนนอกนั้นอยากมาดูก็ไม่ได้ดูเจ้าค่ะ เพราะฮูหยินไม่อนุญาตเอาไว้ก่อน น่าสงสารคุณหนูสี่คอยรบเร้าฮูหยินอยู่ข้างนอกตั้งนานสองนานก็ยังถูกฮูหยินให้คนพาออกไปแล้ว บอกว่าคุณหนูสี่เสียงดังเอะอะเกินไป กลัวว่านางจะรบกวนคุณชายน้อยเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าแม้ยามปกติน้องหญิงสี่จะซุกซน แต่กลับมิใช่คนไม่รู้ความ”
“นี่เพราะฮูหยินใส่ใจคุณชายน้อยอย่างไรเจ้าคะ!” นางหวงยิ้มแล้วยิ้มอีก เพราะในห้องเวลานี้ล้วนมีแต่บ่าวติดตามคนสนิทของเว่ยฉางอิ๋ง นางจึงเอ่ยเสียงต่ำๆ ไปว่า “จนถึงวันนี้ท่านประมุขและฮูหยินเพิ่งจะได้หลานชายคนที่สอง ทั้งยังเป็นบุตรจากภรรยาเอกทั้งหมด แล้วจะไม่ใส่ใจได้หรือเจ้าคะ? ฮูหยินน้อยท่านโปรดวางใจอยู่เดือน[3]เถิดเจ้าค่ะ เวลานี้ฮูหยินเห็นคุณชายน้อยของเราเป็นดังแก้วตา งานดูแลเรือนทั้งหมดล้วนมอบให้แก่ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองไปจัดการ และเอาแต่มาเยี่ยมพวกเราทางนี้ทั้งวันเชียวเจ้าค่ะ!”
ด้วยกลัวว่าเว่ยฉางอิ๋งจะเป็นกังวลว่านางหลิวและนางตวนมู่จะอาศัยโอกาสนี้ยึดอำนาจ จึงบอกว่า “ด้วยฐานะในอนาคตของคุณชายของเรา เดิมทีก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นฮูหยินน้อยท่านเป็นคนปกครองดูแลบ้าน เวลานี้ท่านก็ให้กำเนิดคุณชายน้อย อย่ามองแค่เพียงว่าเวลานี้ฮูหยินไม่มีแก่จะไปสนใจเรื่องอื่น ล้วนวางมือให้ฮูหยินน้อยใหญ่และฮูหยินน้อยรองไปดูแล ที่แท้ก็เป็นแค่ชั่วขณะเท่านั้นเองเจ้าค่ะ! รอจนฮูหยินน้อยท่านอยู่เดือนเรียบร้อยแล้ว หลังจากครบเดือน ข้าน้อยกล้ารับประกันได้เลยว่าฮูหยินจะต้องให้ท่านดูแลทุกๆ เรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งหาได้คำนึงถึงอำนาจการปกครองบ้าน นางคำนึงถึงบุตรชายก็ยังไม่ทันแล้ว จึงบอกว่า “เรื่องปกครองบ้านเรือนก็ช่างเถิด ขอเพียงลูกข้าแข็งแรง…”
“ฮูหยินน้อยนี่ท่านดีใจจนเลอะเลือนแล้ว จวนแห่งนี้ก็ควรเป็นท่านดูแลมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วท่านจะไม่สนใจได้อย่างไรเจ้าคะ?” นางหวงยิ้มพลางเอ็ดนาง “อีกประการหนึ่งคุณชายน้อยของเราคลอดออกมาเป็นเด็กที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ลำพังเรื่องที่ท่านและคุณชายล้วนมีสุขภาพแข็งแรง แล้วคุณชายน้อยจะไม่แข็งแรงได้อย่างไรเจ้าคะ?”
“จี้ชวี่ปิ้งก็พูดดังนี้หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งไปพึ่งพิงท่านผู้นี้ตามความเคยชินอีกแล้ว พวกนางเฮ่ออดพากันมองเหม่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรบอกกับนางในเวลานี้ดีหรือไม่
กลายเป็นนางหวงที่เอ่ยไปด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงว่า “ท่านหมอเทวดาจี้บอกว่าฟังแค่เสียงร้องไห้ก็ไม่ต้องดูแล้ว ฮูหยินกลัวว่าเขาจะพูดจาไม่น่าฟัง จึงไม่อุ้มมาตรงหน้าเขาเสียเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อนึกถึงคำพูดกระแนะกระแหนของจี้ชวี่ปิ้ง เว่ยฉางอิ๋งเองพอจะทนได้ แต่หากวันใดไปยั่วโมโหเขาขึ้นมา แล้วเกิดพูดคำไม่ดีเกี่ยวกับบุตรชายของตนเล่า …เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบบอกว่า “ท่านอากล่าวถูกต้องยิ่งนัก”
บุตรชายมีท่านย่าของเขาคอยดูแลเอาใจใส่ ทั้งนอกและในเรือนจินถงก็มีพวกของนางหวงคอยดูแล เว่ยฉางอิ๋งอยู่เดือนอย่างสบายใจ เรื่องที่เป็นห่วงเพียงเรื่องเดียวก็คืออาการ ‘หนาวสั่น’ ของอาหญิงรองเว่ยเจิ้งอินที่ไม่ดีขึ้นสักที จึงไม่อาจมาเยี่ยมตนเองได้
______________________
[1] กวง แปลว่า แสง ลำแสง แสงสว่าง
[2] ตั้งชื่อเด็กตอนครบเดือน ความจริงแล้วในสมัยนั้นจะตั้งชื่อให้เด็กตอนครบสามเดือน แต่ผู้เขียนให้ตั้งชื่อตอนครบเดือนเพื่อให้สะดวกในการเรียกชื่อในนิยาย
[3] อยู่เดือน หมายถึง การดูแลร่างกายฟักฟื้นหลังคลอดให้ครบหนึ่งเดือน ซึ่งมีข้อปฏิบัติต่างกันไปตามท้องถิ่น