ยอดสตรีฉางอิ๋ง – ตอนที่ 168-1 เรื่องแต่งงานของฉางเฟิง

ตอนที่ 168-1 เรื่องแต่งงานของฉางเฟิง

“น้องสะใภ้สามเจ้าได้ยินแล้วหรือไม่? จี้อ๋องถวายฎีกาขออยู่เฝ้าพระศพพระมารดาจี้อ๋องสามปี เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญู” บ่ายวันนี้มีหิมะตกปรอยๆ ภายในลานบ้านมีเกล็ดหิมะขาวดังเศษหยกปลิดปลิวไปทั่ว สาวใช้ตัวน้อยสองสามคนพากันไปปั้นตุ๊กตาหิมะพลางส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจไปหมด นางหลิวพาคุณหนูหลานคนโตเสิ่นซูจิ่งมาหา ทักทายไปสองสามคำ แล้วให้เสิ่นซูจิ่งไปเล่นกับนกแก้ว ส่วนตนเองก็บอกว่าจะไปเล่นหมากรุกกับเว่ยฉางอิ๋ง เพิ่งเดินไปได้ไม่ถึงสองตา นางก็ทิ้งตัวหมากรุก เงยหน้าขึ้นมา “เวลานี้ท่านแม่เป็นกังวลนักแล้ว!”

เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าบ้านเสิ่นกำลังวางแผนโค่นล้มผู้สืบราชบัลลังก์ แรกเริ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นตระกูลเสิ่นวางแผนจะให้จี้อ๋องเป็นตัวเลือกผู้มาแทนที่องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันหรือไม่ เพราะอย่างไรเสิ่นจั้งซิ่ว พระชายาจี้อ๋องก็เป็นบุตรสาวคนโตของเสิ่นเซวียน แต่แล้วสองสามวันก่อนก็มีข่าวออกมาว่า เสิ่นเซวียนล้มป่วย เวลานี้นอกจาก เสิ่นจั้งเฟิงที่อยู่ไกลถึงซีเหลียงแล้ว เสิ่นจั้งลี่และบุตรชายคนอื่นๆ ต่างต้องมาสลับเวรยามอยู่ปฏิบัติงานต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ …เพราะเป็นสตรีจึงไม่สะดวกจะไปสอบถามพ่อสามีเป็นการภายในได้ แต่ดูจากท่าทีครานี้ก็คล้ายว่าจะล้มป่วยไม่เบาทีเดียว

ฉะนั้นเวลานี้นางเองก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวมีแนวโน้มเป็นเช่นใดกันแน่ ครานี้ได้ยินคำของนางหลิวก็ถอนหายใจ กล่าวว่า วานนี้ลูกผู้พี่หญิงใหญ่ซูมาเยี่ยมข้าและบอกความเคลื่อนไหวบางอย่างในระยะนี้แก่ข้า นอกจากจี้อ๋องแล้ว คล้ายว่าหลายวันมานี้อีอ๋องก็เทียวไปเทียวมาคฤหาสน์จี้อยู่บ่อยครั้ง?”

นางหลิวเองก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ก็มิใช่หรอกรึ? ข้าคิดว่าบ้านแม่เจ้ามีสัมพันธ์อันดีต่อจี้ชวี่ปิ้ง เวลานี้เจ้าก็กำลังตั้งท้อง เรื่องเหล่านี้อย่าได้ให้เจ้าต้องมาเป็นกังวลด้วย จึงไม่ได้มาบอก ไม่คิดว่าเจ้าก็รู้แล้ว …ได้ยินว่าอีอ๋องไปถวายอาลัยพระมารดาจี้อ๋องครานี้ก็พลันหวนนึกถึงความเศร้าเสียใจในอดีต นึกถึงโจวเป่าหลินที่เสียไปนานแล้ว รู้สึกเสียอกเสียใจเพราะ ‘ลูกอยากปรนนิบัติแต่บิดามารดากลับไม่อยู่เสียแล้ว’ ขึ้นมาอย่างยิ่ง จึงเข้าไปขอพระราชทานอภัยกับฮ่องเต้และท่านหญิงเจินอี้ ว่าตนรู้สึกสำนึกเสียใจที่ก่อนนี้ไม่กตัญญูต่อฮ่องเต้และท่านหญิงเจินอี้เพียงพอ เห็นหรือไม่ ท่านหญิงเจินอี้แม่เลี้ยงของเขาล้มป่วยมานานปี เขาจึงคิดจะไปเชิญจี้ชวี่ปิ้งมาตรวจรักษา ท่านหญิงเจินอี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังขอฮ่องเต้ว่าหลังจากเขาอภิเษกแล้วจะพาท่านหญิงเจินอี้ไปปรนนิบัติที่แคว้นศักดินาด้วย!”

เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “แม้ข้าจะเคยเห็นท่านหญิงเจินอี้อยู่ไกลๆ ในงานเลี้ยงสองสามหน และตนเองก็มิได้รู้เรื่องการแพทย์ใด ก็ยังมองออกว่าอาการป่วยของท่านหญิงผู้นี้ โดยมากแล้วน่าจะมีสาเหตุจากไข้ใจ ต่อให้จี้ชวี่ปิ้งมีฝีมือแพทย์ล้ำเลิศปานใด ทว่าไข้ใจก็มีเพียงยาใจที่รักษาได้เท่านั้นกระมัง?”

เพราะเวลานี้คนในห้องรวมทั้งนางหวงล้วนออกไปหมดแล้ว และระยะนี้นางหลิวก็ไปมาหาสู่กับเว่ยฉางอิ๋งอยู่บ่อยครั้ง จึงสนทนากับนางได้ตามใจ นางวางหมากตัวหนึ่งอย่างผ่อนคลาย แล้วขบเมล็ดแตงสองสามเม็ด จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แม้จี้ชวี่ปิ้งจะรักษาโรคของท่านหญิงเจินอี้ได้ เจ้าลองคิดดูว่านางไม่เป็นที่รักมาตั้งกี่ปีแล้ว? โดยพื้นฐานก็คงจะล้มป่วยเพราะเรื่องที่นางไม่เป็นที่รักแล้ว ว่ากันว่ายามโรคภัยถาโถมมาดังภูเขาทลาย ยามโรคภัยไปน้อยนิดดังด้ายรันจากผ้า อาการเจ็บป่วยของนางมาจากไข้ใจ มาภายหลังเมื่อไม่เป็นที่รักแล้วอาการจึงยิ่งทรุดหนัก ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โรคที่สั่งสมมาหลายปีดังนี้ นอกเสียจากเป็นเทวดา หาไม่แล้วผู้ใดจะทำให้นางหายขึ้นมาได้โดยทันใด?”

“ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้พระมารดาจี้อ๋องก็เพิ่งจะเสียไป ตามธรรมเนียมการไว้ทุกข์ให้แก่มารดาเลี้ยง อีอ๋องก็ต้องไว้ทุกข์เก้าเดือน” นางหลิวคายเปลือกแตงออกมาแล้วว่า “หลักจากเก้าเดือน เขาก็จะอภิเษก ถึงยามนั้นก็จะไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ไปจากเมืองหลวงแล้ว ไม่แน่ว่าท่านหญิงเจินอี้ผู้นี้ก็คือเหตุผลที่เขาตระเตรียมเอาไว้เป็นอย่างดีด้วยกระมัง? ด้วยกลัวว่าถึงยามนั้นแล้วจู่ๆ เกิดกตัญญูขึ้นมาก็จะดูปุบปับเกินไป”

เว่ยฉางอิ๋งจิบน้ำร้อนคำหนึ่ง เอ่ยเสียงหนักว่า “ท่านหญิงเจินอี้น่ะหรือ… องค์หญิงอันจี๋มิได้ไปหาเรื่องได้โดยง่าย!”

“อย่างไรนางก็มีกำลังบางเบานัก!” นางหลิวกล่าว “คนเช่นพวกเราเกรงกลัวนาง ก็มิใช่เพราะเรื่องที่นางถือสาล้วนเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง อีกประการ การไปตอบโต้นางก็ไม่มีประโยชน์อันใด! ก่อนนี้เมื่อท่านหญิงเจินอี้และองค์หญิงอันจี๋มิได้ไปขวางทางผู้ใด ก็ไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์เท่าใดนัก แต่มาภายหลังนี้ก็พูดยากแล้ว”

“อีอ๋องอยากจะอยู่ในเมืองหลวง เกรงว่าทั้งฮองเฮาและองค์รัชทายาทจะต้องไม่นิ่งดูอยู่เฉยๆ กระมังเจ้าคะ?” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกว่าหากองค์หญิงอันจี๋สัมผัสได้ถึงแผนการของอีอ๋อง นางจะต้องไปเข้าข้างฮองเฮาเป็นแน่ เพื่อหาทางให้สองแม่ลูกมีชีวิตรอด

นางหลิวได้ยินคำว่า ‘องค์รัชทายาท’ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นิ่งงันอยู่เนิ่นนานจึงบอกว่า “มีคนมาเพิ่มในตำหนักขององค์รัชทายาทอีกแล้ว”

เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าครั้งข้ายังอยู่ที่เฟิ่งโจวก็เคยได้ยินว่าท่านในตำหนักตะวันออกมัวเมาในกามรมย์ขนานหนัก เวลานี้เขาจะเอาคนมาเพิ่มแล้วมีสิ่งใดน่าแปลก? แต่นางรู้ว่านางหลิวเป็นห่วงหลิวรั่วอวี้พระชายาองค์รัชทายาท จึงปลอบโยนไปว่า “ก็เพียงแค่สนมไม่กี่คน จะว่าไปก็ล้วนเป็นเพียงเครื่องเล่นเท่านั้น จะมาช่วยน้องรั่วอวี้ถือรองเท้าก็ยังไม่คู่ควรเลย พี่สะใภ้ใหญ่อย่าเป็นกังวลไปเลยเจ้าค่ะ ท่านลองคิดดูว่า หากินด้วยความงาม งามร่วงโรยรักโรยรา สนมเหล่านี้ก็มิใช่แค่เพียงดอกโบตั๋นบานชั่วข้ามคืนเท่านั้น?”

“หากเป็นเพียงสนมทั่วไปก็ยังแล้วไป” นางหลิวถอนหายใจแล้วว่า “เจ้าไม่รู้ว่าที่รับมาครานี้เป็นอนุชายาผู้หนึ่ง และพระชายารองผู้หนึ่ง อนุชายานั้นคือเฉียนมั่วเอ๋อร์ บุตรีในสายห่างๆ ของตระกูลเฉียนแห่งซิ่งเหอนั่นก็ยังแล้วไป แต่พระชายารองผู้นั้น กลับเป็นถึงหลานสาวร่วมตระกูลขององค์ฮองเฮา แม้จะเป็นเพียงบุตรีจากอนุ แต่อย่างไรก็มีสายเลือดเดียวกับองค์ฮองเฮาเชียวนะ! เดิมทีองค์รัชทายาทก็…อยู่แล้ว เจ้าว่าวันหน้าองค์ฮองเฮาจะไม่ดีต่อหลานสาวของตนเองหรือ?”

“เฉียนมั่วเอ๋อร์รึ?” เว่ยฉางอิ๋งสะดุ้ง คิดอยู่สักพักก็ยังคงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าตนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “คุณหนูตระกูลกู้แห่งหงโจวที่มาเป็นพระชายารองที่ท่านว่านั้น ก็คือกู้เม่ยเม่ยใช่หรือไม่เจ้าค่ะ?”

นางหลิวบอกว่า “น้องสะใภ้สามก็รู้เรื่องนี้แล้วหรือ?”

“ในวันประสูติขององค์หญิงหลินชวนเมื่อปีก่อน เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้าวัง ระหว่างนั้น องค์หญิงหลินชวนไปทรงอักษรในหอเชียนชิว ข้าก็ตามไปร่วมวงด้วย ปรากฏว่าระหว่างทางกลับ เฉียนมั่วเอ๋อร์ผู้นั้นเอ่ยวาจาลบหลู่ข้า คล้ายว่าจะถูกกู้เม่ยเม่ยยุยงส่งเสริมเอาเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งบอก “แรกเริ่มข้าได้ยินแต่ชื่อเฉียนมั่วเอ๋อร์ ภายหลังเป็นน้องหญิงสี่บอกให้ข้าฟัง ข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วกู้เม่ยเม่ยเป็นหลานสาวของฮองเฮา”

นางหลิวมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าพวกนางร่วมมือกันจัดการรั่วอวี้รึ?”

“พี่สะใภ้ใหญ่ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป” เว่ยฉางอิ๋งรีบเอ่ย “ท่านลองคิดดู ไม่ว่าจะพวกนางร่วมมือกันอีกมากมายเท่าใด จะอย่างไรก็เป็นเพียงอนุ เรียกขานว่าพระชายารองก็เพื่อให้น่าฟังเท่านั้น ที่สุดแล้วก็มิใช่บ้านใหญ่ หากเทียบกับพวกนางสนมที่ถูกทิ้งแล้ว อย่างดีก็เป็นอนุชายาออกหน้าออกตาขององค์รัชทายาทเท่านั้น ทว่าเมื่อเทียบกับน้องรั่วอวี้แล้วจะนับเป็นสิ่งใดได้? อีกประการหากองค์ฮองเฮารักใคร่หลานสาวของตนมากว่าน้องรั่วอวี้จริงๆ แล้วไยไม่ไปสู่ขอบุตรีตระกูลกู้มาเป็นพระชายาเอกเสียแต่แรกเล่า?”

นางหลิวขบริมฝีปาก ยิ้มเจื่อนๆ พลางว่า “เฮ่อ ข้าเองก็จะไม่ปิดบังน้องสะใภ้สามเจ้า! ความคิดอ่านของรั่วอวี้… เวลานี้ข้าก็ไม่เข้าใจแม้สักน้อย เจ้าไม่รู้ แม้ก่อนนี้ องค์รัชทายาทจะมีคนโปรดอยู่ภายในตำหนักอยู่มากมาย ทว่าแต่ไรมาก็ไม่เคยให้ตำแหน่งใดอย่างเป็นทางการ เฉียนมั่วเอ๋อร์และกู้เม่ยเม่ยเป็นสองคนแรกที่มีตำแหน่งขึ้นมา ข้าจึงได้รู้เรื่องนี้ และคิดหาหนทางให้คนฝากความไปเตือน ให้นางคอยระวังไว้สักหน่อย อย่าให้สองคนนั่นให้กำเนิดองค์ชายก่อนหน้านางเป็นอันขาด! แล้วให้นางผูกมัดจิตใจคุณชายสองสามพระองค์ขององค์รัชทายาทเอาไว้ให้จงดี โดยเฉพาะคุณชายเล็กที่องค์ฮองเฮาโปรดปรานเป็นที่สุด ปรากฏว่านาง…”

————————————

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

Status: Ongoing
“ตอนนั้นท่านปู่จัดการหมั้นข้ากับสามีฝ่ายบู๊เพราะชะตาต้องกันเพียงคราเดียว!
ข้าไม่ร้องไห้โฮออกมาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะให้มีความสุขทั้งสองฝ่าย?
ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ วันเวลาแสนหวานชื่นในอนาคตที่ข้าคิดว่าจะมีได้
ก็คือตีจนกว่าเขาจะต้องเชื่อฟังข้าไปทั้งชีวิต และไม่ทำให้ข้าต้องโมโห!
มีความสุขทั้งสองฝ่าย…ข้าจะไปชอบสามีเยี่ยมยุทธ์อย่างนั้นได้อย่างไร!
ข้ายังไม่ชอบเขา แล้วการที่เขาจะชอบข้าหรือไม่ ยังจะสำคัญหรือ?
ที่สำคัญก็คือ เขาต้องเชื่อฟังข้า!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท