ตอนที่ 136-2 หมิ่นอีนั่ว หลิวรั่วอวี้
Xiaobei
หมิ่นอีนั่วเห็นนางยังคงมีใจเป็นปรปักษ์กับเว่ยฉางอิ๋งอยู่ จึงเอ่ยเตือนสติว่า “น้องลืมที่ข้าเพิ่งจะบอกกับเจ้าแล้วหรือ? ต่อให้วันนี้น้องทำให้ลูกผู้พี่ของน้องไม่มีทางจะลง แต่ภายหลังหากนางเขียนจดหมายกลับไปเฟิ่งโจว ในเมื่อท่านย่าของน้องก็รักใคร่นางเพียงนั้น แล้วจะไม่ไปตำหนิท่านพ่อท่านแม่ของน้องให้นางหรือ? ดังนี้แล้ว ท่านย่าของน้องจะไม่คิดว่าน้องไม่เคารพลูกผู้พี่ และจะไม่กลายเป็นยิ่งช่วยยิ่งสร้างปัญหาให้ท่านพ่อของน้องหรอกหรือ?”
เว่ยฉางเจวียนพลันมีสีหน้าเป็นทุกข์ กล่าวว่า “เฮ่อ เมื่อครูนี้พี่หลิวก็บอกเช่นนี้ ต้องโทษที่ข้ายังเยาว์นัก คิดการไม่รอบคอบ ยามนี้จะทำเช่นดีเล่า? เดิมทีข้าจะรอให้พี่หลิวกลับมาช่วยข้าออกความคิด ยามนี้มีพี่หมิ่นท่านอยู่ มิสู้ให้พี่หมิ่นช่วยข้าคิดสักหน่อย?”
“เกรงว่าเวลานี้น้องเว่ยเจ็ดของเจ้า คงกำลังรอให้เจ้ากลับไปออกความคิดดีๆ ให้นางอยู่กระมัง?” ภายในห้องในเรือนหลังของจวนซูซึ่งจัดเตรียมเอาไว้ให้แขกล้างหน้าล้างตาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าระหว่างงานเลี้ยง หลิวรั่วอวี้เพิ่งจะล้างหน้าเสร็จ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ไม่แต่งแต้มแป้งหรือชาดช่างขาวกระจ่างนัก และเห็นว่ายังคงมีอาการเจ็บป่วยอยู่ แต่เมื่อเทียบกับเมื่อหลายเดือนก่อนกลับสดใสขึ้นกว่าเก่ามากนัก เห็นชัดว่าร่างกายของนางดีขึ้นแล้ว ฉะนั้นลมปราณส่วนกลางก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นแล้วเช่นเดียวกัน
นางยกกระจกมาส่องดู ค่อยๆ รับหอยไส้ดำจากมือของสาวใช้มาเขียนคิ้วอย่างเอ้อระเหยลอยชาย ส่องกระจกไปพลางและพูดไปพลาง
หลิวรั่วเหยีย ยืนอยู่ข้างโต๊ะแต่งหน้าของนาง ได้ยินคำจึงเอ่ยไปอย่างเรียบๆ ว่า “พี่สิบท่านพูดสิ่งใด?”
“แสร้งทำเลอะเลือนอันใด?” หลิวรั่วอวี้เขียนคิ้วให้ตัวเองอย่างชำนิชำนาญ เพียงลากไปก็เขียนเสร็จในอึดใจเดียว แล้วเอ่ยไปอย่างใจเย็น “เจ้าก็ยังคงใช้ลูกไม้เดิม ตั้งแต่เว่ยฉางอิ๋งยังไม่มา เจ้าก็เอาเรื่องนั้นไปยุยงให้เว่ยฉางเจวียนไม่พอใจเว่ยฉางอิ๋ง …เรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งหามเจียงเจิง องครักษ์ซึ่งเป็นบ่าวติดตามไปพักประตูคฤหาสน์จี้ แม้แต่ข้าเองก็ยังได้ยินเลย ประสาอะไรกับเจ้า? จากนั้นก็หาข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆของเว่ยฉางอิ๋ง …หากต้องการให้ร้ายก็ไม่กลัวว่าจะหาความผิดให้ไม่ได้ ลูกไม้เช่นนี้เกรงว่าพวกเจ้าแม่ลูกคงจะคล่องไม้คล่องมือเป็นที่สุดมาแต่ชาติปางก่อนแล้ว เมื่อทำให้เว่ยฉางเจวียนนั่นนึกว่าตนจับผิดเว่ยฉางอิ๋งได้แล้ว เจ้าก็หาเหตุผลจากไปก่อน ให้ เว่ยฉางเจวียนไปหาเรื่องกับเว่ยฉางอิ๋ง ดีชั่วไม่ว่าพี่น้องสองคนนี้ผู้ใดจะชนะ อย่างไรก็เป็นเรื่องดีสำหรับเจ้า”
หลิวรั่วเหยียเอ่ยชมนางไปคำหนึ่งก่อนว่า “พี่สิบเขียนคิ้วได้งามจริงๆ” แล้วจึงค่อยยิ้มอ่อนๆ กล่าวว่า “คำพูดของพี่สิบนี้น่าขันนัก ข้าไม่ได้มีความแค้นใดกับพี่น้องบ้านเว่ย จักไปยุยงพวกนางพี่น้องให้แตกคอกันทำสิ่งใด?”
หลิวรั่วอวี้ก็ตอบเรื่องที่นางชมตนว่าเขียนคิ้วได้งดงามไปก่อนว่า “บ่าวที่จางเสากวงมอบให้ข้าเมื่อก่อนนี้ นอกจากท่านอาลู่แม่นมของข้าแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่ยอมทำการทำงานเลย ครั้งนั้นข้าเป็นคนอ่อนแอขี้ขลาดไม่กล้ากำราบพวกนาง จึงทำได้เพียงต้องพยายามทำทุกอย่างด้วยตนเอง โดยเฉพาะหอยไส้ดำนี้ จางเสากวงฉลาดเพียงใด! โดยนามแล้วนางยกให้ข้า แต่ภายหลังก็ให้สาวใช้มาเอาไปเสีย ได้ทั้งหน้าได้ทั้งความสะใจ! จะว่าไปแล้วหอยไส้ดำที่ข้าใช้มาหลายปี นอกจากไปเอามาจากพี่เจ็ดแล้ว ก็ยังมีหอยไส้ดำอันนี้ที่เพิ่งได้ใช้ในปีนี้ ฉะนั้นเวลาใช้หอยไส้ดำ ข้าจึงเขียนคิ้วออกมาได้ดี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหอยไส้ดำนี้มีค่าเทียบทองพันชั่งกว่าจะได้มา”
จางเสากวงเป็นนามของมารดาของหลิวรั่วเหยีย และเป็นแม่เลี้ยงของหลิวรั่วอวี้ เวลานี้หลิวรั่วอวี้เรียกขานนางตรงๆ อย่างไม่ให้ความเคารพ หลิวรั่วเหยียก็กลับไม่ได้โกรธ เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “แต่เรื่องนี้จะช่วยอันใดได้เล่า? พี่สิบ ท่านก็บอกเองว่า นั่นเพราะก่อนนี้ท่านเป็นคนอ่อนแอขี้ขลาด ท่านแม่มอบสาวใช้ให้ท่านตามธรรมเนียม ในเมื่อท่านดูแลพวกนางไม่ได้ ก็กลับไม่ไปบอกกับท่านแม่ หรือบอกกับท่านพ่อ นั่นก็เพราะพี่สิบโง่เกินไป มิใช่หรือ?”
หลิวรั่วอวี้เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ก็มิใช่รึ? ทุกครั้งที่ข้านึกถึงวันคืนเหล่านั้น คิดไปแล้วก็อดคิดอยากจะตบหน้าตนเองสักหนไม่ได้ …เหตุใดข้าจึงได้โง่ปานนั้น? ว่ามาดังนี้ ปีนั้นที่รั่ววั่วเล่นอยู่ข้างสระน้ำ ข้ายืนดูอยู่ข้างๆ เป็นนาน อยากผลักเขาลงไปแต่ก็กลับเพียงแค่คิดเท่านั้น หากทำให้เขาตายไปให้เร็วกว่านี้สักหน่อย ท่านพ่อก็จะต้องรับอนุมาอีก เพื่อให้ได้ผู้สืบสกุล จางเสากวงนั่นก็คงไม่ได้มีวันคืนที่ดีเช่นในวันนี้แล้ว”
“พี่สิบ ท่านกล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับเอามารดาที่เสียไปแล้วของท่านพี่มาเปรียบกับท่านแม่ข้าแล้ว” หลิวรั่วเหยียยิ้มพลางว่า “มารดาของข้าเป็นเพียงบุตรสาวของอนุ แต่ยามนี้กลับได้นั่งอยู่ในตำแหน่งของมารดาท่าน แม้แต่ตัวท่านเองก็อยู่ในกำมือของนางมาจนบัดนี้! มารดาของท่านเป็นถึงอดีตภรรยาเอกของท่านพ่อเชียวนะ …แล้วถ้าเป็นแค่อนุคนหนึ่งจะนับว่าเป็นอันใดได้? หากมิใช่เพราะครานี้ภายในตระกูลต้องการร่วมมือกับองค์ฮองเฮา และต้องการบุตรจากภรรยาเอกที่มีฐานะสูงส่งเพียงพอเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ที่ใดเล่าท่านพี่จะมาโอหังต่อหน้าข้าได้เพียงนี้? ทว่าเมื่อคิดถึงพฤติกรรมของท่านผู้อยู่ในตำหนักตะวันออก และยังมีเซินหลินพระราชนัดดาที่องค์ฮองเฮาโปรดปรานเป็นนักหนา มารดาของนางก็เป็นสนมที่เป็นที่รักใคร่ขององค์รัชทายาท… พี่สิบ วันดีของท่านก็อีกเพียงไม่กี่วันแล้ว นักโทษประหารใกล้ตายก็ยังต้องให้กินดีสักมือ! ข้ายอมให้ท่านไม่กี่วันนี้ ก็มิเห็นเป็นไร”
หลิวรั่วอวี้เองก็แย้มยิ้ม “น้องสาวแสนดีของข้า ยังกลัวว่าข้าจะไม่เป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาทอีกหรือ? ในเมื่อข้าผู้เป็นพี่สาวหน้าตาอัปลักษณ์นัก ไม่อาจมัดใจองค์รัชทายาทได้ ก็มิใช่ว่ายังมีเจ้า? อ้อใช่ แม้จางเสากวงพอจะมีอายุบ้างแล้ว แต่รูปโฉมก็ยังเหมือนยี่สิบแปด ฮูหยินงดงามเช่นนางก็มีรสชาติไปอีกแบบ ไม่แน่ว่าองค์รัชทายาทก็อาจโปรดปราน? ข้าแต่งเข้าตำหนักตะวันออกเพียงคนเดียว แต่สามารถพาหญิงงามทั้งบ้านเรามาปรนเปรอองค์รัชทายาทได้ ข้าไม่เชื่อว่าเป็นดังนี้แล้วจะยังนั่งตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทได้อย่างไม่มั่นคงอีก”
…สีหน้าของหลิวรั่วเหยียเปลี่ยนไปทันใด เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเอ่ยคำเช่นนี้ออกมา ไม่รู้สึกว่าน่าคลื่นไส้บ้างหรือ?”
“คลื่นไส้?” หลิวรั่วอวี้บรรจงเติมแป้งน้อยๆ ให้ตนเองอย่างใจเย็น จ้องเข้าไปในกระจกและสำรวจดูความเรียบร้อยอย่างละเอียด แล้วเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “เจ้าล้อเล่นอันใดกัน? จางเสากวงยังไม่ทันออกเรือนก็ให้ท่าพี่เขยแล้ว เวลานี้เป็นภรรยาคนมาก็หลายปี จะสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรือ? อีกประการฐานะขององค์รัชทายาทก็สูงส่งเพียงนั้น หากยอมรับหญิงแก่เช่นจางเสากวงไปปรนนิบัติพัดวีก็นับว่าเป็นวาสนาของนางแล้ว ข้าจะบอกกับเจ้าเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ประเดี๋ยวถึงยามขึ้นมาอย่ากลายเป็นว่าให้หน้าตาให้ตาพวกเจ้า แล้วเจ้ากลับไม่เอาเสีย!”
หลิวรั่วเหยียเอ่ยอย่างเย็นเฉียบว่า “ท่านแม่ข้าก็เป็นภรรยาของท่านพ่อของเจ้า! เจ้าอยากให้ท่านพ่อทนถูกลบหลู่เช่นนี้หรือ?”
“ท่านพ่อสามารถแต่งภรรยาใหม่ได้อีกคน” หลิวรั่วอวี้กล่าวอย่างราบเรียบ “ดีชั่ว ข้าก็มีแม่เลี้ยงแล้ว หากจะมีอีกสักคนสองคนแล้วจะเป็นไร? ด้วยตำแหน่งขุนนางของท่านพ่อของเรา ยังต้องกลัวว่าจะแต่งงานใหม่ไม่ได้รึ? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเมื่อท่านพ่ออยู่ห่างจากจางเสากวงแล้วจะขาดใจตาย?”
นางปรายตาไปมองหลิวรั่วเหยียที่ยามนี้ใบหน้าเขียวคล้ำหนหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่อาทรร้อนใจว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ล้วนเป็นเรื่องหลังจากที่ข้างแต่งเข้าตำหนักตะวันออกแล้ว เจ้าว่าต่อไปสิ ว่าที่เจ้าไปยุยงให้พี่น้องบ้านเว่ยแตกคอกัน เพื่อจะได้หาโอกาสมัดใจเว่ยฉางอิ๋ง แล้วยังคิดเรื่องชั่วใดอีก? คงมิใช่ว่าจะเกี่ยวข้องกับน้องชายสิบแปดที่กำลังอยู่ระหว่างทางกลับมาจากตงหูหรอกนะ? ถ้าไม่ยกรั่ววั่วขึ้นนั่งตำแหน่งได้ พวกเจ้าก็ยังวางใจไม่ได้เลยจริงๆ ใช่หรือไม่?”
_________________________