ยอดสตรีฉางอิ๋ง – ตอนที่ 58

ตอนที่ 58

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 58 ระหว่างน้องสามีและพี่สะใภ้
ตอนที่ 58 ระหว่างน้องสามีและพี่สะใภ้
โดย
Xiaobei
ทั้งสองคนจากกันอย่างไม่สบอารมณ์ จึงพากันกลับไปภายในหอเชียนชิวด้วยหน้าตาบึงตึง เว่ยฉางอิ๋งเดินไปทางซูอวี๋ลี่ ส่วนนางฮั่วก็เดินไปทางคุณหนูฮั่วสิบสี่ลูกผู้น้องของนาง

ซูอวี๋ลี่เคยได้ยินเรื่องความไม่ลงรอยกันระหว่างจือเปิ่นถังและรุ่ยอวี่ถังจากเว่ยเจิงอินมารดาของนางมานานแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกไปด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ แต่ครานี้กลับพากันกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ให้เดาก็เดาถูกว่าทั้งสองคนมิได้สนทนากันอย่างมีความสุขแน่ๆ จึงกระซิบถามเว่ยฉางอิ๋งว่า “มีเรื่องใด?”

“ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ๋งกระพริบตาให้นาง พลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านย่าชังซ่งเหมียนเหอยิ่ง ปีก่อนซ่งเหมียนเหอพาพวกสตรีแห่งจือเปิ่นถังมาที่จวน ทำให้ท่านย่าต้องเสียหน้า ครานั้นข้าก็อยู่ด้วย วันนี้เมื่อได้พบกันข้างนอก เว่ยลิ่งจือผู้นั้นก็แอบมาเอ่ยคำยั่วยุข้า แล้วจากนั้นก็กลับพ่ายแพ้ให้ข้า ครานี้นางฮั่วมาทวงถามแทนนางเจ้าค่ะ”

แม่เฒ่าซ่งเป็นท่านยายแท้ๆ ของซูอวี๋ลี่ แม้จะบอกว่าเคยพบกันมาตั้งแต่ครั้งยังเล็กจนยามนี้ล้วนจำได้ไม่ชัดเจน แต่อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ซูอวี๋ลี่ยังมิทันถามให้ชัดเจนก็ไม่ชอบนางฮั่วไปก่อนแล้ว จึงเอ่ยว่า “บ้านนี้ก็ช่างน่าขันนัก ในเมื่อเป็นน้องสามีนางมาหาเรื่องยั่วยุก่อน เมื่อยั่วยุไม่สำเร็จจึงให้พี่สะใภ้มารึ? หรือว่าเหตุผลต่างๆ ในใต้หล้าล้วนเป็นบ้านนางกำหนดขึ้นเอง จึงยอมให้แต่พวกนางไปหาเรื่องกับผู้อื่นได้ แต่ไม่ยอมให้ผู้อื่นโต้ตอบ?” แล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปถามนางให้เจ้าเอง!”

“เฮ่อ ไม่ต้องเจ้าค่ะ” เว่ยฉางอิ่งรีบรั้งตัวนางเอาไว้พลางเอ่ยเสียเบา “วางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่มีวันเสียท่าหรอก!”

ซูอวี๋ลี่กำลังจะเอ่ยบางสิ่ง เสิ่นจั้งหนิงที่เดิมทีสนทนาหัวร่อต่อกระซิกจ้อกแจ้กจอแจกับซูอวี๋เฟยและซูอวี๋อินอยู่ไม่ไกลออกไปก็เดินเข้ามาร่วมวงด้วย พร้อมวางท่าเอ่ยถามอย่างขึงขังว่า “พี่สะใภ้สาม ดูท่านสิ พอไปคุยกับพี่สะใภ้ฮั่วกลับมาก็มีสีหน้าไม่ใคร่ดี เป็นพี่สะใภ้ฮั่วรังแกท่านใช่หรือไม่?”

เว่ยฉางอิ๋งยื่นนิ้วไปแตะหน้าผากนาง ยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ได้ถูกรังแก เพียงแต่มิได้คุยกันถูกคอ”

“แม้จะบอกว่าท่านอาจางสนทนากับท่านแม่อย่างออกรสออกชาติ แต่เมื่อพี่สะใภ้ฮั่วทำไม่ดีต่อพี่สะใภ้สาม ท่านก็อย่าได้เกรงใจเชียว” เสิ่นจั้งหนิงกำหมัดชกไปมา พลางแค่นเสียงเอ่ยไป “ท่านพ่อเคยบอกว่า อย่าได้ปล่อยให้คนบ้านเราถูกคนข้างนอกรังแก! พี่สะใภ้สามหากท่านไม่สะดวก ก็ให้บอกข้า ข้าจะไปจัดการให้ท่านเอง ดีชั่วอย่างไรข้าก็อายุยังน้อย ทั้งยังสนิทสนมกับองค์หญิงทั้งหลาย หากมีเรื่องขึ้นมา ทางพี่สะใภ้ฮั่วนั้นไม่มีทางจบลงด้วยดีแน่!”

เว่ยฉางอิ๋งเผลอหัวเราะลั่นออกมา กล่าวว่า “น้องสาวที่แสนดี เจ้าดีกับพี่สะใภ้เหลือเกิน ทว่าวันนี้เป็นวันประสูติขององค์หญิง พวกเราก็อย่าได้เป็นคนชั่วที่ทำลายเรื่องมงคลของผู้อื่นเลย… องค์หญิงหลินชวนทางโน้นยังไม่เริ่มเขียนอักษรหรือ?”

“หมิ่นอีนั่วเรียกให้คนไปหยิบภาพวาดของนางมาแล้ว” เสิ่นจั้งหนิงแลบลิ้นออกมาพลางกล่าว “พี่สะใภ้สาม ท่านมิได้ถูกรังแก ข้าก็จะไม่ไปจัดการ หาไม่แล้วไม่จัดการไม่ได้เชียว! พี่สะใภ้สามท่านไม่รู้ ยามท่านพ่อและพี่ชายสามเคืองแค้นคนนอกที่มารังแกคนบ้านเราขึ้นมา คนอื่นๆ ในบ้านเราล้วนไม่ต้องไปสนใจและไม่ต้องไปไถ่ถามอีกแล้ว เพียงแต่คอยดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ เป็นพอ ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ต่อให้ท่านแม่อยู่ที่นี่ก็เป็นดังคำนี้เช่นกัน”

ซูอวี๋ลี่ที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าแล้วว่า “ท่านป้าใหญ่คอยปกป้องคนในบ้านเสมอ ลูกผู้น้องอีกประเดี่ยวเจ้าจงเอาเรื่องนี้ไปบอกแก่ท่านป้าใหญ่เสีย ท่านป้าใหญ่จักต้องจัดการให้เจ้าแน่”

เดิมทีเว่ยฉางอิ๋งก็เตรียมตัวเอาไว้แล้วว่าต่อให้ตายก็ไม่มีวันยอมรับเรื่องที่ตนทำให้จือเปิ่นถังไม่พอใจ และยามนี้ยังมาเห็นลูกผู้พี่และน้องสามีที่ล้วนรักใคร่ตนเช่นนี้ จึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่ในใจ แล้วกำหมัดซัดออกไปหนหนึ่ง พลางกระซิบบอกว่า “วางใจเถิด พวกท่านก็ไม่คิดบ้างว่า ทั้งเว่ยลิ่งจือและนางฮั่วผู้นั้นล้วนเป็นผู้ที่มือไม้ไร้เรี่ยวแรง แล้วจะมารังแกข้าได้อย่างไร?”

เสิ่นจั้งหนิงคิดไปถึงในเรื่องเล่าที่บอกว่าวรยุทธของพี่สะใภ้หาได้อ่อนด้อย ทั้งยังเคยสังหารหัวหน้าพวกลอบทำร้ายต่อหน้ามาแล้ว ห้าวหาญกว่าชายอกสามศอกหลายคนเสียอีก ดังนี้แล้วจึงพึงพอใจนัก กล่าวว่า “เช่นนี้ค่อยดีหน่อย… ท่านพ่อเคยบอกแล้ว เมื่อคนบ้านเรารังแกคนนอก ต่อให้เขาไปด่าทอถวายฎีกาทูลฟ้องต่อเบื้องสูงก็มิเป็นไร แต่ที่น่าแค้นใจที่สุดก็คือคนบ้านเราถูกคนนอกรังแก ต่อให้คนที่มารังแกเรามาขอขมาต่อท่านพ่อ อย่างไรเสียท่านก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี ดังนั้นพี่สะใภ้สาม ยามใดต้องลงมือก็ต้องลงมือ ท่านอย่าได้ยอมทนถูกรังแกเชียว”

…ดังนั้นแล้ว เจ้า…คุณหนูสี่บ้านเสิ่น คราก่อนแม้จะไปรับผิดแทนนางเติ้ง แต่โดยอ้อมแล้วก็กลับทำให้นกแก้วของซูอวี๋อู๋ต้องไปลงเอยที่ห้องครัว แล้วภายหลังก็ยังไปแยกเขี้ยวยิงฟังใส่ซูอวี๋อู๋อย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ อีก นั่นล้วนเป็นการยืนยันว่าพ่อสามีไม่มีทางให้ตนต้องทนถูกรังแกเช่นนั้นใช่หรือไม่?

เว่ยฉางอิ๋งลอบปาดเหงื่อ พลางยิ้มแล้วว่า “ใช่ๆๆ เจ้าวางใจเถิด พี่สะใภ้ไม่มีทางทนถูกรังแกหรอก”

มองเห็นเสิ่นจั้งหนิงกระโดดโหยงเหยงเดินจากไป ซูอวี๋ลี่จึงถามว่า “พวกเราก็เดินเข้าไปใกล้สักหน่อยดีหรือไม่ ดีชั่วอย่างไรก็ล้วนมาร่วมวงแล้ว ก็ควรจะไปแสดงท่าทีกระตือรือร้นสักหน่อย”

อย่างไรเสียการมาที่นี่ก็เพื่อมาแสดงตัวให้องค์หญิงหลินชวนเห็น ในเมื่อมาก็มาแล้ว ก็ย่อมต้องแสดงความกระตือรือร้นสักหน่อยเป็นดี เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าพลางว่า “เจ้าค่ะ”

ทางนี้พี่ลูกผู้พี่ผู้น้องขยับเข้ามาถึงแถวหน้าที่สุดเพื่อรอชมภาพวาดของหมิ่นอีนั่วและองค์หญิงหลินชวนทรงอักษรชื่อภาพ ทางนั้นพี่น้องบ้านฮั่วก็กำลังกระซิบกระซาบกัน นางฮั่วมาอยู่ต่อหน้าน้องสิบสี่ของตนแต่กลับวางท่าสบายอุรา มองไม่ออกแต่อย่างใดว่าก่อนนี้เพิ่งจะทะเลาะกับเว่ยฉางอิ๋งมา “น้องสิบสี่ ต้องขอโทษจริงๆ เมื่อครู่นี้รบกวนพวกเจ้าแล้ว”

“ก็มิเป็นไร ข้ามิได้เร่งร้อนต้องไปทักทายปราศรัยกับคนผู้นั้นหรอก… นางคือฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นหรือเจ้าคะ?” คุณหนูฮั่วสิบสี่โบกพัดเบาๆ ให้นางฮั่วพลางเอ่ยเสียงต่ำ “พี่แปดคล้ายไม่ใคร่ถูกกับนางนัก?”

นางฮั่วถอนหายใจหนหนึ่งแต่กลับเอ่ยออกมาว่า “ก็มิใช่เพราะน้องสามีจอมก่อเรื่อง?”

เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกผู้น้องร่วมตระกูล นางฮั่วก็มิได้มีท่าทีทวงถามแทนน้องสามีเหมือนตอนที่อยู่เพียงลำพังเมื่อครู่นี้เลยแม้แต่น้อย กลับขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโอดครวญเสียเต็มประดาว่า “ปีก่อนไปเฟิ่งโจว ฮูหยินผู้เฒ่าบ้านเราก่อวิวาทะกับฮูหยินผู้เฒ่าของรุ่ยอวี่ถัง นางก็ออกหน้าประจบประแจง แต่ปรากฏว่าสู้เขาไม่ได้ ถูกเว่ยฉางอิ๋งผู้นั้นต่อว่าเสียจนเกือบจะร้องไห้ออกมาทันใด! นี่ยังแล้วไป เจ้าว่าฮูหยินผู้เฒ่าสองท่าน นับแล้วก็ล้วนเป็นคนรุ่นย่าของพวกเรา ยามพวกเขาถกกันเรื่องความบาดหมาง คนเป็นรุ่นหลานอย่างพวกเราไม่มีเรื่องใดแล้วจะไปพูดแทรกทำสิ่งใดกัน! ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเฟิ่งโจวเป็นอาณาเขตของตระกูลสายหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราอยากไปพบฮูหยินผู้เฒ่าแห่งรุ่ยอวี่ถังที่ใดกัน? ก็มิใช่เพราะไม่มีทางเลือกหรอกหรือ? แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังไม่มีทางเลือก ข้าจึงไม่เข้าใจว่าน้องสามีผู้นี้รนหาที่ทำสิ่งใด? เอาล่ะ นางต้องการจะประจบฮูหยินผู้เฒ่า แม้ว่าที่สุดแล้วกลับต้องขายหน้า แต่กลับมาก็ทำให้ข้าถูกแม่สามีต่อว่ายกใหญ่ บอกว่าข้าเหมือนท่อนไม้ ยังต้องให้น้องสามีเป็นคนออกไปช่วยกอบกู้หน้าตา!”

คุณหนูฮั่วสิบสี่กล่าวปลอบโยนว่า “พี่แปดก็อย่างได้โกรธไปเลย ดีชั่วเรื่องนี้ก็ผ่านแล้ว วันนี้…เว่ยลิ่งจือก็…?”

“ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อครู่นี้นางขยับเข้าใกล้เว่ยฉางอิ๋งต่อหน้าสายตาผู้คนแล้วไปพูดจาสิ่งใด?” นางฮั่วกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจ “ข้าเห็นเว่ยฉางอิ๋งลากนางไปก็รู้แล้วว่าไม่ดีแน่ แล้วยามอยู่ต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งนางก็กลับไม่กล้าพูดความจริงออกมา ปรากฏว่าเมื่อมาถึงนอกตำหนักเว่ยยาง แล้วเว่ยฉางอิ๋งตามฮูหยินซูเข้าไปเข้าเฝ้าฯ ก่อน นางก็กลับมาดึงข้าแล้วร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา! แล้ววันนี้แม่สามีก็ไม่ได้เข้าวังเสียอีก นางก็ไม่ไปบอกกับท่านอาสะใภ้รอง แต่กลับมาหาข้า เช่นนี้มิใช่ว่ากำลังบังคับข้าหรอกหรือ?”

แล้วถอนหายใจอีกหน กล่าวว่า แม้ครานี้ข้าจะไปหาเว่ยฉางอิ๋ง แต่หลังจากกลับไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าน้องสามีผู้นี้จะเอาข้าไปฟ้องต่อหน้าแม่สามีอย่างไร! คิดแล้วก็รำคาญนางเสียยิ่งนัก!”

คุณหนูฮั่วสิบสี่จึงเอ่ยเตือนว่า “พี่แปดทำใจให้สบายเถิด ท่านลองคิดดู น้องสามีของท่านผู้นี้ก็อายุเท่านี้แล้ว ช้าเร็วก็ต้องแต่งออกไป ถึงยามแล้วก็คงไม่อาจวิ่งกลับมาบ้านมารดาเพื่อให้ท่านไปช่วยออกหน้าให้นางอีกกระมัง”

“กลับมิใช่ว่าข้ากลัวมีเรื่องมีราวจึงไม่กล้าออกหน้าแทนนาง” นางฮั่วระบาย “เพียงแต่น้องสามีผู้นี้มีจิตใจคับแคบเกินไป หากเจ้าไม่ออกหน้าให้นาง นางก็จะไปฟ้องกับพ่อแม่สามีและพี่ชายนาง บอกว่าคนเป็นพี่สะใภ้เช่นเจ้าไม่รักใคร่นาง! แต่เมื่อเจ้าออกหน้าให้นาง นางก็จะรู้สึกว่าเจ้าต้องการจะแข่งกับนาง เพื่อให้นางเสียหน้า… ว่าตามตรง ล้วนเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเลี้ยงดูนางมาจนโต และฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นบุตรสาวของอนุ…”

เสียงนางพลันต่ำลง “ปีก่อนได้ยินมารดาของเว่ยฉางอิ๋งร้องเอะอะออกมาว่า มารดาของฮูหยินผู้เฒ่านั้นต่ำต้อยยิ่ง ทั้งยังเป็นบุตรสาวของอนุด้วย จึงดูมีพิรุธและอดระแวงอยู่เสมอไม่ได้ว่าคนรอบข้างจะไม่เคารพนางจากใจจริง และมักมองผู้อื่นขัดหูขัดตาไปเสียหมด น้องสามีผู้นี้เติบโตกับมากับท่านย่าของนางจึงถอดแบบนิสัยของนางมาจนหมด กอปรกับแม่สามีข้าผู้นี้ก็เอาแต่ปักใจเชื่อบุตรสาวของนางอย่างหมดจิตหมดใจ เฮ่อ… ยังดีที่สามีข้าพอจะนับได้ว่ามีเหตุมีผล หาไม่แล้วชีวิตข้าก็คงจะอยู่ไม่รอด… ปีก่อนแม่สามีตำหนิว่าข้าไม่ช่วยฮูหยินผู้เฒ่าพูด แต่กลับให้น้องสามีไปออกหน้า ข้าแก้ต่างไปอย่างนอบน้อมสองประโยค แม้สามีก็ชักสีหน้าใส่ แล้วก็เบนประเด็นมาที่เรื่องผู้สืบสกุลของท่านพี่ ก็ไม่คิดดูบ้างว่ายามนี้ท่านพี่อายุยังไม่ถึงสามสิบก็มีบุตรชายจากภรรยาเอกสองคนและจากอนุอีกสองคนรวมเป็นสี่คนแล้ว หรือว่ายังไม่พออีก? อีกประการหนึ่งก็ไม่เห็นว่าแม่สามีจะออกหน้าไปต่อคำช่วยฮูหยินผู้เฒ่าเลย แต่ภายหลังกลับมาด่าทอข้าเสียตั้งหลายวัน ก็มิใช่เพราะกังวลว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะมาตำหนิตน จึงพยายามแสดงออกโดยการมารังแกข้าแทน!”

คุณหนูฮั่วสิบสี่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพี่สาวผู้นี้กับแม่สามีไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนี้คล้ายจะเกี่ยวพันอย่างยิ่งกับเรื่องที่น้องสามีเว่ยลิ่งจือทั้งตั้งใจไม่ตั้งใจเอาเรื่องต่างๆ ไปฟ้องอยู่หลายครั้งนับแต่นางแต่งเข้าบ้านมา นางฮั่วพยายามดำรงตนอยู่ในฐานะสะใภ้ทั้งไม่กล้ากล่าวโทษเรื่องความไม่ดีงามของน้องสามีอย่างเปิดเผย แต่ภายหลังก็ทนดูพฤติกรรมของเว่ยลิ่งจือไม่ไหว

ยามนี้เว่ยลิ่งจือถูกคนรังแกเข้าให้แล้ว แน่นอนว่านางฮั่วจะไม่รู้สึกสงสาร รู้สึกแต่เพียงว่าน้องสามีผู้นี้ช่างชอบหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง

คุณหนูฮั่วสิบสี่เห็นว่านางพูดอยู่เป็นนานแต่ก็ยังมีอาการเคืองโกรธยากสงบลงได้ กระทั่งทำท่าจะค่อยๆ ขุดคุ้ยบัญชีเก่าเมื่อหลายปีก่อนออกมา จึงรีบขัดนางว่า “เช่นนั้นพี่แปด เรื่องในวันนี้จะทำเช่นไรเจ้าคะ?”

นางฮั่วบอกว่า “แล้วจะทำเช่นไรได้? ยามนั้นนางมิได้พูดสิ่งใด รอจนเว่ยฉางอิ๋งตามฮูหยินซูเข้าตำหนักไปถวายบังคมองค์ฮองเฮาและท่านอื่นๆ แล้วจึงได้มาบอกข้า หรือจะให้ข้าวิ่งเข้าไปดึงเว่ยฉางอิ๋งออกมาจากในตำหนัก? วันนี้เป็นวันประสูติของทูลกระหม่อมองค์หญิงหลินชวน หรือว่าข้าไม่ต้องสนใจกาลเทศะแล้ววิ่งเข้าไปตรงหน้าองค์ฮองเฮาขอให้พระนางจัดการเรื่องนี้ให้… ไปรบกวนงานเลี้ยงวันประสูติขององค์หญิงโดยไม่สนใจสิ่งใด เพื่อบุตรสาวสามัญชนผู้หนึ่งที่ถูกคนบีบแขนจนรอบข้อมือช้ำ… ต่อให้ข้าจะออกหน้าทุ่มสุดตัวโดยไม่สนใจสิ่งใดเลย ข้าก็จะไม่มีวันไปออกหน้าแทนทางหรอก!”

นางสูดลมหายใจหนหนึ่งแล้วว่า “ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งไม่ยอมรับสิ่งใดทั้งนั้น นางเองก็มีเหตุผล บอกว่าทุกคนล้วนเห็นว่าเป็นน้องสามีข้าผู้นั้นเข้าไปทักทายนางก่อน จากนั้นเว่ยฉางอิ๋งก็บอกกับพี่สะใภ้นางว่า เพราะน้องสามีข้าอยากจะใกล้ชิดนาง น้องสามีข้ามันโง่เสียปานนั้น นางก็กลับยอมรับไปเช่นนั้นจริงๆ! เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนทั้งกลุ่มได้ยินกับหูจริงๆ! ปรากฏว่ายามนี้นางถูกรังแก เว่ยฉางอิ๋งกัดไม่ปล่อยเรื่องที่พวกเราน้องสามีและพี่สะใภ้ใช้เรื่องเนื้อตัวบาดเจ็บมาวางแผนกลั่นแกล้งนาง นางยังจะไปฟ้องแม่สามีของนางด้วย! ทั้งฮูหยินซู… และท่านราชครูเสิ่นเป็นคนที่ปกป้องคนของตนยิ่งนักมาโดยตลอด ชังเรื่องที่คนในบ้านเสียเปรียบเป็นที่สุด แม้โดยส่วนตัวแล้วฮูหยินซูจะมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านอาสะใภ้รองซึ่งพาพวกเราเข้าวังมาครานี้ แต่นางหรือยอมขัดความต้องการของสามีเพราะเห็นแก่เพื่อนรักที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน?”

คุณหนูฮั่วสิบสี่นิ่งคิดอยู่เป็นนานจึงกล่าวว่า “ดีชั่วพี่แปดก็พยายามทำหน้าที่ของพี่สะใภ้อย่างสุดความสามารถแล้ว…”

“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ แม้ข้าจะรำคาญน้องสามีผู้นี้ แต่มีคราใดที่นางมาหาข้าแล้วข้าไม่พยายามช่วยนางกัน? ยามนี้หนึ่งไม่มีหลักฐานสองไม่มีพยาน แล้วจะให้เข้าไปบอกว่าสะใภ้ในสายหลักของท่านราชครูในรัชสมัยปัจจุบัน ทั้งยังเป็นบุตรสาวสายหลักของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวมารังแกน้องสาวร่วมตระกูล แล้วผู้ใดจักไปเชื่อ?” นางฮั่วพ่นลมหายใจออกมา กล่าวอย่างขัดเคืองว่า “แต่แม่สามีข้าคงไม่คิดเห็นดังนี้… น่าเสียดายก็แต่ระดับของตระกูลฮั่วของพวกเราไม่สู้จือเปิ่นถัง หาไม่แล้วข้าก็จะไปขอให้บ้านฝั่งแม่มาช่วย โดยการหาตำแหน่งงานที่อยู่นอกเมือง ให้ได้ออกไปให้ไกลๆ จากเมืองหลวง จึงนับได้ว่าเป็นอิสระ!”

“เช่นนั้นมิสู้สักพักพี่แปดก็แสร้งทำเป็นว่าถูกรังแกเช่นกัน” ใจจริงแล้วคุณหนูฮั่วสิบสี่ไม่คิดจะสนใจเรื่องไร้สาระเหล่านี้ แต่จนใจเหลือที่คนเป็นพี่ก็มาพูดน้อยอกน้อยใจอยู่เป็นนานสองนาน นางก็ไม่อาจไม่ช่วยแบ่งเบาความทุกข์สักหน่อย จึงกระซิบบอกว่า “ยามนี้ไม่อาจไปรบกวนความสำราญขององค์หญิง หลังจากนี้พี่แปดค่อยเข้าไปร้องห่มร้องไห้กับเว่ยลิ่งจือ ให้เว่ยลิ่งจือ…”

นางฮั่วกลับส่ายหน้า ยิ้มเจื่อนๆ พลางพูดว่า “น้องสิบสี่ เจ้ายังไม่เข้าใจว่าน้องสามีข้าผู้นี้คอยตามรบเร้าเพียงใด ก่อนนี้ข้าเองก็มิใช่ว่าไม่เคยใช้ไม้นี้ ปรากฏว่ากลับถูกนางถากถางเอาอยู่หลายวัน ยามพบผู้ใดในเรือนก็บอกว่าข้าใช้การไม่ได้ แล้วบอกว่าข้าไม่สามารถปกป้องน้องสามี พอตนเองไปออกหน้าก็เป็นต้องเสียหน้ากลับมา… นางผู้นี้…”

คุณหนูฮั่วสิบสี่เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “นะ…นี่ก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้วกระมัง?”

“ผู้ใดจะสนใจนาง?” เมื่อระบายกับน้องสาวอยู่เป็นนาน แม้คุณหนูฮั่วสิบสี่จะมิได้ออกความเห็นดีๆ อันใด แต่จิตใจของนางฮั่งก็กลับผ่อนคลายขึ้นมาบ้างแล้ว จึงแค่นเสียงกล่าวว่า “นางมีนิสัยชอบยั่วยุเสียยิ่งกว่าท่านย่าของนาง แต่กลับไม่มีชั้นเชิงเช่นท่านย่าของนาง… นั่นก็เพราะวันนี้นางยังอยู่ในบ้าน มีบิดามารดาพี่ชายคอยปกป้องรักใคร่ คนเป็นพี่สะใภ้จึงไม่อาจไม่ยอมให้นาง! รอวันหน้าเมื่อนางออกเรือนแล้ว ข้ากลับอยากจะดูนักว่าแม่สามีจะหาแม่สามีเช่นใดให้นาง! พี่น้องของสามีจะรักใคร่นางเช่นบิดามารดาของนางหรือไม่!”

คุณหนูฮั่วสิบสี่มองดูนางทำท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจึงอดจะเอ่ยเตือนนางไม่ได้ว่า “ในเมื่อพี่แปดคิดเห็นเช่นนี้ วันนี้ก็คิดให้ตกสักหน่อยเถิด ดีชั่วต่อให้นางทำให้พี่แปดเดือดร้อนรำคาญอีกปานใด ก็คงจะทำได้อีกไม่นานแล้ว!”

นางฮั่วกำลังจะพยักหน้า กลับได้ยินเสียงใสหวานของสตรีดังมาจากที่ไม่ไกลนักว่า “พี่สะใภ้ฮั่ว พี่ชิงหลิง ไยจึงมาแอบสนทนากันอยู่ที่นี่เล่า? เมื่อครู่นี้ข้าถามพี่เว่ยจึงรู้ว่าพวกท่านอยู่ที่นี่”

พี่น้องสองนางเงยหน้ามองไป จึงเห็นบุตรสาวจากภรรยาเอกบ้านห้าของตระกูลหลิวแห่งตงหู…หลิวรั่วเหยีย นางสวมเสื้อส้างหรูคอป้ายสีน้ำทะเล คาดกระโปรงสีทองขมิ้น ทำผมทรงก้นหอยคู่ พันไว้ด้วยแถบผ้าหลากสี กำลังยิ้มแย้มและเดินเข้ามาหา

_______________________________

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

Status: Ongoing
“ตอนนั้นท่านปู่จัดการหมั้นข้ากับสามีฝ่ายบู๊เพราะชะตาต้องกันเพียงคราเดียว!
ข้าไม่ร้องไห้โฮออกมาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะให้มีความสุขทั้งสองฝ่าย?
ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ วันเวลาแสนหวานชื่นในอนาคตที่ข้าคิดว่าจะมีได้
ก็คือตีจนกว่าเขาจะต้องเชื่อฟังข้าไปทั้งชีวิต และไม่ทำให้ข้าต้องโมโห!
มีความสุขทั้งสองฝ่าย…ข้าจะไปชอบสามีเยี่ยมยุทธ์อย่างนั้นได้อย่างไร!
ข้ายังไม่ชอบเขา แล้วการที่เขาจะชอบข้าหรือไม่ ยังจะสำคัญหรือ?
ที่สำคัญก็คือ เขาต้องเชื่อฟังข้า!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท