ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 94 มิใช่ยังมีคุณชาย ท่านเองหรอกหรือ
ตอนที่ 94 มิใช่ยังมีคุณชาย ท่านเองหรอกหรือ
โดย
Xiaobei
เสิ่นจั้งเฟิงเดินกลับไปกลับมาอยู่ข้างหลังประตู และคอยแต่ถามหนีเวยอีบ่อยครั้งว่า “เหตุใดยังไม่ออกมาอีก?”
เมื่อไม่มีท่านย่าอยู่ตรงหน้า หนีเวยอีก็ร่าเริงยิ่งกว่าเดิม นางหัวเราะฮิๆ กล่าวว่า “คุณชายอย่าใจร้อนสิเจ้าคะ เมื่อครู่นี้ฮูหยินน้อยไม่พอใจเช่นนั้น ก็มิใช่ว่าท่านย่าไปพูดก็จะสำเร็จในทันใดนี่!”
แล้วบอกอีกว่า “อีกประการหนึ่งข้าน้อยได้ยินท่านย่าบอกว่าฮูหยินน้อยฝึกวรยุทธมาแต่เล็ก ท่านอาตวนมู่นอกจากรู้วิชาวางยาพิษแล้ว นางจะต่อสู้ชนะฮูหยินน้อยได้อย่างไร? ดังนั้นคุณชายวางใจเถิดเจ่าค่ะ ฮูหยินน้อยไม่มีทางเสียท่าแน่นอนเจ้าค่ะ”
เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำว่า “วางยาพิษ” สองคำนี้ก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย จึงหยุดเดินแล้วกล่าวว่า “จริงด้วย คุณหนูแปดผู้นี้เป็นศิษย์เองของจี้ชวี่ปิ้ง คนในตระกูลแพทย์ย่อมต้องชำนาญการใช้ยา และในลานบ้านก็มียาสมุนไพรตั้งมากมาย… อิ๋งเอ๋อร์อย่าได้พลาดท่าเสียทีเข้าเล่า!” ว่าก็แล้วกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน
หนีเวยอีรีบยกชายกระโปรงวิ่งไปข้างหน้าเขาแล้วกางแขนกั้นเขาเอาไว้ “คุณชายเข้าไปข้างในไม่ได้เจ้าค่ะ! ฮูหยินน้อยเพิ่งบอกว่าจะทึ้งเสื้อผ้าท่านอาตวนมู่ออกจนหมด หากทำเช่นนั้นจริงๆ ขึ้นมาแล้วคุณชายเข้าไปเห็น แล้วจะทำเช่นใดเล่าเจ้าคะ? หรือว่าจะต้องให้ท่านอาตวนมู่เข้าไปอยู่ในเรือนหลังของคุณชายจริงๆ เจ้าคะ? เช่นนั้นท่านย่าไม่ตีข้าตายก็แปลกแล้ว!”
อย่างไรก็ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย พอลนลานขึ้นมา แม้แต่คำว่า ‘ข้าน้อย’ ก็ยังไม่พูดแล้ว
ด้วยชาติกำเนิดของเสิ่นจั้งเฟิง เขาจึงฝึกปรือเรื่องการควบคุมอารมณ์ทางสีหน้ามาแต่เล็ก ทั้งดวงตาก็ยังเฉียบคมยิ่งนัก มีท่าทีสง่าแข็งแกร่งยิ่ง แต่ไรมาเมื่อเขาคิดอ่านสิ่งใด พวกบ่าวจึงกล้าเพียงเอ่ยเตือนเขา น้อยนักจะมีคนกล้าขัดเขาตรงๆ ต่อหน้า …ดังเช่นคราก่อนที่เขาบอกว่าตนเองเป็นเขยตระกูลเว่ยและขืนบุกเข้าไปในรุ่ยอวี่ถัง ทำให้ทุกคนในรุ่ยอวี่ถังล้วนเกรงกลัวเขา แม้แต่จดหมายยืนยันตัวก็ยังไม่ได้ขอจากเขาก็พากันมือไม้สั่นและปล่อยเขาตรงเข้ามาพบแม่เฒ่าซ่ง และเพิ่งจะมาถูกขวางเอาไว้ตรงนั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องมีคนมากางแขนกั้นอยู่ข้างหน้าอย่างไร้มารยาทอย่างเช่นที่หนีเวยอีทำเลย
มองดูหนีเวยอีซึ่งเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยนิดที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน แต่กลับต้องการจะขวางตนไว้ด้วยสีหน้าจริงจัง เสิ่นจั้งเฟิงก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี จึงกล่าวไปกว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เข้าไปดูให้ข้าก่อน?”
หนีเวยอีกางแขนสองข้างออก เงยหน้ามองเขาแล้วส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ท่านย่าให้ข้าน้อยรออยู่เป็นเพื่อนคุณชายที่นี่ มิได้เรียกให้ข้าน้อยเข้าไปเจ้าค่ะ”
“ท่านย่าของเจ้าก็เป็นบ่าวติดตามของภรรยาข้า” เสิ่นจั้งเฟิงถูกนางเตือนสติก็รู้สึกว่าตนเองคงจะเข้าไปตรงๆ อย่างง่ายดายไม่ได้ จึงกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงฟังคำท่านย่าเจ้าแต่ไม่ฟังคำข้าเล่า? เจ้าก็เข้าไปสอบถามดูสักหน่อย แล้วออกมารายงานให้ข้ารู้”
หนีเวยอีลังเลสักพัก แขนตกลงเล็กน้อย เสิ่นจั้งเฟิงนึกว่านางหวั่นไหวแล้ว ไม่คิดว่าหนีเวยอีคิดไปคิดมาก็ยื่นแขนสองข้างให้ตรงอีกครั้ง แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “ข้าน้อยไม่ฟังคำท่านย่าก็ต้องถูกท่านย่าตี ภายหลังท่านพ่อท่านแม่รู้เข้าก็จะมาต่อว่าข้าน้อย แต่หากไม่ฟังคำคุณชาย… ข้าน้อยเคยได้ยินท่านย่าเอ่ยกับพวกท่านอาท่านลุงว่าคุณชายเป็นคนใจกว้างที่สุด ล้วนไม่เคยถือสาหาความกับพวกบ่าวที่ข้าน้อยต้องเรียกว่าท่านอาและพี่สาวเลย ประสาอะไรกับข้าน้อยตัวเล็กเพียงเท่านี้เอง?”
เสิ่นจั้งเฟิงรู้สึกว่าบ่าวตัวน้อยนี้ช่างน่าสนใจนัก จึงอดจะกระเซ้านางไม่ได้ “สมมติว่าข้าจะต้องถือสาหาความเจ้าให้ได้เล่า?”
ว่าแล้วหนีเวยอีจึงหันไปยิ้มหวานให้เขา “ข้าน้อยก็อุตส่าห์ชมคุณชายว่าใจกว้างยิ่งนักแล้วนี่เจ้าคะ!”
“…” เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเสียงลั่นแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวเล็กๆ ของนาง “แม่นางน้อยจอมเจ้าเล่ห์ นี่ล้วนเป็นผู้ใดสอนเจ้ามา? ท่านอาหวงรึ?”
หนีเวยอีทำปากจู๋มองเขาขยับมือออก แล้วพึมพำว่า “เช้านี้ท่านอาสะใภ้รองเพิ่งจะหวีผมให้ข้าน้อย พอท่านปู่หมอเทวดาเห็นแล้วก็มาดึงเปียของข้าน้อย พอท่านอาตวนมู่มาก็ดึงแถบผ้าบนผมข้าน้อย เวลานี้คุณชายท่านก็มาจับไปเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ อีก สักพักท่านอาสะใภ้รองเห็นว่าเปียข้าหลุดหลวมไปหมดแล้ว ก็จะต้องนึกว่าเป็นเพราะข้าน้อยห่วงแต่เล่นเอาแต่กระโดดโลดเต้น เช่นนี้ข้าน้อยก็จะถูกใส่ความเกินไปสักหน่อย!”
เสิ่นจั้งเฟิงถูกนางพูดใส่ดังนั้นก็มีสีหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมาน้อยๆ จึงรีบกระแอมไอแห้งๆ สองหนเป็นการกลบเกลื่อน
ยามนี้จึงเพิ่งได้ยินหนีเวยอีพูดเสียงดังขึ้นมาสักหน่อยว่า “ท่านย่าไม่มีเวลาว่างมาสอนข้าน้อยเรื่องใดหรอกเจ้าค่ะ! ท่านย่าต้องคอยอยู่รอบตัวฮูหยินน้อยทั้งวัน เป็นท่านปู่หมอเทวดาสอนข้าน้อย ท่านปู่หมอเทวดาบอกว่าบุตรหลานตระกูลเลื่องชื่อรักหน้าตาเป็นที่สุด ดังนั้นหากข้าน้อยไปล่วงเกินผู้ใดเข้าก็ให้พยายามพูดดีๆ เข้าไว้ ให้สถานการณ์เย็นลง ข้าน้อยอายุยังน้อย แม้เขายังคงขุ่นเคือง ทว่าเพื่อหน้าตาแล้วก็จะไม่กล้าทำให้ข้าน้อยลำบากหรอก”
ด้วยเหตุที่เสิ่นจั้งเฟิงอยู่ที่เมืองหลวงมาโดยตลอด จึงมักเคยได้ยินได้ฟังเรื่องที่จี้ชวี่ปิ้งเคยประสบมาในหลายปีนี้ จึงไม่แปลกใจที่จี้ชวี่ปิ้งจะรู้สึกรังเกียจและเหยียดหยันบุตรหลานตระกูลเลื่องชื่อ เขาจึงยิ้มพลางเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น หากภายหลังยังคงหาเรื่องเจ้าเป็นการส่วนตัวเล่า?”
“เมื่อไกล่เกลี่ยต่อหน้าได้แล้ว ข้าน้อยก็กลับมาหาท่านปู่หมอเทวดาให้ช่วยน่ะสิเจ้าค่ะ!” หนีเวยอีแลบลิ้น พลางเอ่ยยิ้มๆ
เสิ่นจั้งเฟิงแกล้งนางต่อไป ยิ้มพลางว่า “แล้วหากท่านปู่หมอเทวดาของเจ้าช่วยเจ้าไม่ได้เล่า?”
ครานี้หนีเวยอีมองเขาด้วยสายตาประหลาด “ก็มิใช่ว่ายังมีคุณชายท่าน และฮูหยินน้อยหรอกหรือเจ้าคะ? ตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวล้วนเป็นตระกูลเลื่องชื่อชั้นแนวหน้าในเขตทะเล บุตรหลานบ้านใดจักกล้าไม่ไว้หน้าคุณชายและฮูหยินน้อยเล่าเจ้าคะ?”
เมื่อเห็นเสิ่นจั้งเฟิงมีอาการแทบจะสำลัก หนีเวยอีจึงเอ่ยด้วยความระวังตัวว่า “แม้ข้าน้อยจะอยู่ที่คฤหาสน์จี้ ทว่าก็เป็นคนที่อยู่ในบัญชีบ่าวติดตามของฮูหยินน้อย! หรือว่าคุณชายจะไม่อยากยอมรับข้าน้อย บ่าวผู้นี้เจ้าคะ?
พวกสาวใช้ฉินเกอ เจวี๋ยเกอ และพวกของเสิ่นจวี้ที่ตามเสิ่นเตี๋ยซึ่งวันนี้ลางานกับหัวหน้าองครักษ์มา ทุกคนต่างพากันปิดปากหัวเราะ
เสิ่นจั้งเฟิงคิดไม่ถึงว่าตนเองคิดอยากกระเซ้าหนีเวยอี แต่กลายเป็นว่าถูกดึงเข้าพัวพันด้วยเสียแล้ว จึงทำได้แต่เพียงยิ้มเจื่อนแล้วว่า “ย่อมต้องยอมรับอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็มิใช่ว่าถูกแล้วหรือเจ้าคะ?” หนีเวยอีเก็บแขนสองข้างกลับไป เอามือเท้าสะเอวข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งกำหมัดเหวี่ยงไปมาน้อยๆ แล้วเอ่ยอย่างมีพลังเต็มที่ว่า “ท่านปู่หมอเทวดาบอกว่า นายของข้าน้อยเก่งกาจยิ่งนัก บอกให้ข้าน้อยอย่าได้เกรงกลัวผู้ใด!”
เสิ่นจั้งเฟิงพลันรู้สึกว่าไม่ใคร่ปกติ…นิ่งคิดสักพักจึงว่า “คนที่มาต้อนรับที่ประตูล้วนเป็นเจ้าใช่หรือไม่? ปกติผู้ที่ไปมาล้วนเป็นผู้ใดบ้าง?”
หนีเวยอีคอยปรนนิบัติจี้ชวี่ปิ้งกับอาและอาสะใภ้อยู่ที่นี่… ดูไปแล้วจี้ชวี่ปิ้งจะชอบเด็กหญิงคนนี้มาก จึงให้นางเรียกว่าท่านปู่หมอเทวดาคำแล้วคำเล่า ทั้งยังไปดึงหางเปียหยอกนางด้วย… และจี้ชวี่ปิ้งเองก็ได้รับความเชื่อถือจากหนีเวยอีเป็นอย่างสูง ยิ่งไปกว่านั้นยังใส่ความคิดว่าตัวนางเองมีนายที่แข็งแกร่งคอยอยู่หนุนหลัง… หนีเวยอีคอยเฝ้าอยู่ที่ประตูคฤหาสน์จี้แห่งนี้ หากมีคนมาขอรับการรักษาก็จะเป็นนางออกไปต้อนรับ… หนีเวยอีทะนงในนายของตนยิ่งจึงไม่เคารพต่อแขกที่มา!
…เอ่อ มิใช่บอกว่าจี้ชวี่ปิ้งสำนึกในบุญคุณที่สมัยนั้นตระกูลเว่ยเคยช่วยชีวิตเขาไว้นั้นเป็นนักหนาหรอกหรือ? หรือว่านิสัยของจี้ชวี่ปิ้งจะย่ำแย่จนถึงขั้นเอาความแค้นตอบแทนคุณคน?
เขากำลังคิดจะหลอกถามเอาจากปากของหนีเวยอี เพื่อให้แน่ใจว่านางหวงให้หลานสาวตัวน้อยเพียงนี้มาคอยอยู่รับใช้ที่นี้เป็นเรื่องถูกหรือผิด แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากหลังประตูวงพระจันทร์… เพราะเขากำลังคอยคำนึงถึงภรรยาอยู่จึงเลิกห่วงเรื่องกระเซ้าหนีเวยอี และรีบเงยหน้าขึ้นมา
เสิ่นจั้งเฟิงมองไปครานี้พลันสะดุ้งขึ้นมาทันใด เขากลับมองเห็นตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเปลี่ยนมาใส่เสื้อส้างหรูสีขาวนวล ยังคงมีผ้าโพกหัวอยู่ แต่งกายกึ่งหรูหรากึ่งซ่อมซ่อดูแล้วครึ่งๆ กลางๆ กำลังเดินเคียงไหล่มากับเว่ยฉางอิ๋ง และมีนางหวงเดินตามมาข้างหลัง
สิ่งที่ทำให้เสิ่นจั้งเฟิงประหลาดใจก็คือ คนสองคนที่เมื่อครู่นี้ยังลงไม้ลงมือกันอย่างไม่สนใจฐานะของตน คนหนึ่งบอกออกมาว่าจะเปลื้องผ้าอีกฝ่าย อีกคนหนึ่งก็บอกว่าจะหาโอกาสทำให้อีกฝ่ายตาย แต่ยามนี้ไม่เพียงเดินเคียงไหล่กันออกมาอย่างปรองดองแล้ว กระทั่งยังจูงมือกัน สนทนาหัวร่อต่อกระซิก เข้ากันเป็นอย่างดีประหนึ่งพี่น้องแท้ๆ หรือไม่ก็คนที่รู้จักคบหากันมาหลายสิบปีเช่นนั้น!
เมื่อมาใกล้ๆ ตรงหน้า ตวนมู่ซินเหมี่ยวยังนำชากุหลาบที่ห่อเรียบร้อยแล้วมอบให้กับมือ “หากรู้แต่แรกว่าพี่เว่ยไม่ชอบชากุหลาบ ข้าก็จะเปลี่ยนเป็นของที่ท่านพี่ชอบดื่มมาให้ แต่กลับบังเอิญต้องมาเป็นวันนี้ ที่ท่านพี่ก็ไม่อาจอยู่ต่ออีกสักพัก จึงจำต้องให้ท่านพี่ฝืนทนสักหน่อยแล้ว”
“ก็เพียงไม่กี่จอก ต่อให้ไม่ชอบเพียงใด แล้วจะดื่มยากกว่าดื่มยาหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งมีสีหน้าเปรมปรีดิ์ เมื่อรับมาแล้วก็มอบต่อให้นางหวง กล่าวว่า “น้องตวนมู่วางใจเถิด เรื่องที่เจ้าเอ่ยนั้น ให้ข้าเป็นคนจัดการ!” ดีชั่วอย่างไรตนเองก็ไม่อาจตัดใจเสียหน้ามาทะเลาะกับคนเช่นนี้ เอาเป็นว่าวางตัวเป็นคนดีและจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยสักหน่อยไปเสียเถิด อย่างไรก็ดีกว่าเมื่อเอาของมาให้แล้วแต่กลับยังมีความแค้นต่อกัน
เว่ยฉางอิ๋งเกิดความคิดสับสนวุ่นวายอยู่ภายในใจ วันหน้านางจะไม่มาที่คฤหาสน์จี้นี่อีกแล้ว!
ดวงตาของตวนมู่ซินเหมี่ยววิบวับเป็นประกาย เอ่ยเสียงหวานว่า “เช่นนั้นข้าก็จะรออยู่ที่นี่ ท่านพี่จักต้องจำให้มั่น รอให้ข้าเก็บยาให้ท่านอาจารย์ที่นี่เสร็จแล้ว จะต้องไปเยี่ยมเยือนท่านแน่นอน!”
“เจ้าวางใจเถิด ข้าลืมไม่ลงหรอก!” เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า แล้วทั้งสองคนก็ร่ำลากันอย่างสนิทสนมไปอีกสองสามประโยค… รอยยิ้มของตวนมู่ซินเหมี่ยวนั้นสดใสเบิกบานเสียจนเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ในฤดูร้อนเสียอีก ก่อนหน้านี้เสิ่นจั้งเฟิงไม่เคยสนใจคุณหนูแปดบ้านตวนมู่ผู้นี้มาก่อน ทว่าก็เคยได้ยินคนเล่าว่านางมิใช่คนที่เป็นมิตรกับผู้ใดนัก ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ยังเคยลงไม้ลงมือกับเว่ยฉางอิ๋ง เวลานี้กลับมามีน้ำจิตน้ำใจกระตือรือร้นเพียงนี้ เขาจึงอดจะรู้สึกระแวงขึ้นมาไม่ได้ พลางมองดูนางไปหลายหน
ไม่คิดว่าจะถูกตวนมู่ซินเหมี่ยวเหลือบมองมาเห็น รอยยิ้มบนใบหน้าของนางพลันหายไปทันใด แล้วเท้าสะเอวตวาดใส่เขาอย่างดุร้ายต่อหน้าเว่ยฉางอิ๋งว่า “เสิ่นสาม! เจ้าแอบมองข้าทำสิ่งใด! คงมิใช่ว่ามีภรรยาแสนดีอย่างพี่เว่ยแล้วยังคิดจะจิตใจโลเลเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอนคอยหาดอกไม้ดอกหญ้ารายทางหรอกนะ?! จึงได้กล้ามาชื่นชมความงามของข้าต่อหน้าพี่เว่ย!”
นางตวาดอกมาดังนี้เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังสะดุ้งตกใจ
“ข้าคิดว่าก่อนหน้านี้คุณหนูตวนมู่เข้าใจผิดภรรยาข้ายิ่งนัก แล้วยามนี้กลับดูกระตือรือร้นเช่นนี้?” เสิ่นจั้งเฟิงบริสุทธิ์ใจ ย่อมไม่กลัวที่นางมาถามเอาตรงๆ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ภรรยาข้าคิดอ่านเรียบง่าย จิตใจดีงาม ข้าย่อมเป็นห่วงว่านางจะถูกเจ้าล่อหลอกเอา จึงได้คอยสังเกตคุณหนูตวนมู่สักหน่อย” เขาไม่นับว่าเป็นคนใจร้าย เพียงแต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวถามมาตรงๆ เสิ่นจั้งเฟิงจึงอดจะตอกกลับนางไปประโยคหนึ่งไม่ได้ “และหากเอ่ยถึงความงาม ข้าคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยาข้า คุณหนูตวนมู่ยังนับไม่ได้ว่างดงาม”
เว่ยฉางอิ๋งอดมีรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้าในทันใดไม่ได้…
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็ถึงลำสัก สัญชาตญาณของนางคิดจะถกเถียงกับเขาว่าเมื่อครู่นี้เป็นใคร ‘เข้าใจผิด’ ใครกันแน่ และตนเองนับว่างดงามหรือไม่ ยิ่งไปว่านั้น แม้ว่าอาจารย์ผู้มีพระคุณคนแรกของเสิ่นจั้งเฟิงจะเสียไปเร็ว แต่เขาก็คงไม่ได้ไม่ร่ำเรียนสิ่งใดเลยจนกระทั่งใช้คำว่า ‘คิดอ่านเรียบง่าย จิตใจดีงาม’ มาอธิบายคนที่ดุดันร้ายกาจเช่นเว่ยฉางอิ๋ง แต่เมื่อนึกย้อนกลับมาว่าเวลานี้ตนเองกำลังขอร้องเว่ยฉางอิ๋งอยู่… และพวกเขาสามีภรรยาคล้ายจะรักใคร่กันดีไม่เลวเลย?
ทว่าเพราะตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นคนที่หลงใหลในวิชาแพทย์และศาสตร์ยา มิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องทั่วๆ ไป จึงคร้านจะไปร่ำไรกับคนตระกูลเสิ่นที่ขึ้นชื่อเรื่องถือหางกัน จึงทำเป็นยอมรับเรื่องเหล่านี้เสีย ทว่าเพราะนางมีนิสัยเช่นนี้ จึงเอามือที่เท้าสะเอวอยู่ลง แต่กลับชี้ไปทางเสิ่นจั้งเฟิง แค่นเสียงหึกล่าวว่า “เป็นหงเป็นห่วงอันใด?! ไม่เคยได้ยินหรือว่าไม่ทะเลาะไม่รู้จักน่ะ? ก่อนนี้ข้ากับพี่เว่ยล้วนเข้าใจผิดกัน! ยามนี้พวกเราพี่น้องต่างพูดกันกระจ่างแล้ว เจ้ายังจะมาคิดเล็กคิดน้อยอันใด? อีตาคนใจแคบ!”
เสิ่นจั้งเฟิงย่อมรู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ… เพียงแต่เห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมิได้อธิบายความต่อ คาดว่าคงไม่สะดวกจะเปิดเผย เขาจึงไม่ไปซักไซ้แล้วเอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งว่า “รบกวนท่านหมอเทวดานานแล้ว พวกเรากลับกันก่อนเถิดดีหรือไม่?”
เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้า ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ขยับเข้ามาใกล้อย่างกระตือรือร้นอีกหนแล้วดึงแขนเสื้อนางกล่าวว่า “พี่เว่ย ท่านจะต้องระวังสามีท่านผู้นี้ให้จงดี ในเมืองหลวงมีคุณหนูผู้ดีจำนวนมากหมายปองเจ้าหมอนี่อยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนคอยคิดถึงเขาอยู่ก็เป็นได้! เวลานี้เขาคล้ายยังดีอยู่ ทว่าเวลายังอีกยาวไกล ผู้ใดจักรู้ว่าเขาจะถูกคนหน้าหนาพวกนั้นยั่วยวนจนความคิดเอนเอียงหรือไม่? ทว่าท่านพี่ท่านโปรดวางใจ หากท่านพบว่าเขากล้าไม่ฟังคำ เพียงส่งคนมาเอายากับข้า! รับรองว่าเพียงใส่ยาไปหนึ่งชุด อยากให้เขาเลือดออกเจ็ดทวารจนตาย เจ้าก็จะไม่มีวัน…”
“น้องตวนมู่!” พื้นที่หน้าประตูเรือนก็ใหญ่เพียงเท่านั้น อีกทั้งทั้งสี่ทิศก็สงบเงียบนัก นางนึกคิดไปเองว่าเป็นเสียงกระซิบแต่ทุกคนก็กลับได้ยินอย่างชัดเจน เว่ยฉางอิ๋งเข้าไปเอามือปิดปากนางทั้งเหงื่อตก แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้ารู้สึกว่าลำบากเจ้ามาส่งถึงตรงนี้ก็ไกลพอแล้ว เมื่อครู่นี้เจ้ากำลังคัดเลือกยาอยู่เป็นนาน เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว! อย่างไรเสียยามนี้ก็รีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด… คนที่เจ้าต้องการ ข้ากลับไปก็จะไปบอกให้!”
นางพูดไปก็เดินออกไปข้างนอกไปด้วย ดึงตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวมาจนถึงข้างธรณีประตูจึงหยุดลง แล้วส่งสัญญาณให้ทุกคนออกไปก่อน… รอจนทุกคนนอกจากหนีเวยอีออกไปจากประตูแล้ว นางจึงคลายมือ แล้วรีบเอ่ยไปประโยคหนึ่งว่า “ข้ากลับแล้ว น้องตวนมู่โปรดหยุดอยู่ตรงนี้อย่าไปส่งอีก!” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เว่ยฉางอิ๋งก็ใช้วิชาตัวเบาวิ่งหนีไปจนไม่เห็นตัวแล้ว… ท่าทีกลัวว่านางจะตามมาเช่นนั้น เป็นผู้ใดก็มองออกทั้งนั้น
ตวนมู่ซินเหมี่ยวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปากตนเอง แล้วเอ่ยอย่างเคืองแค้นว่า “หากมิใช่ว่าข้าอยากให้เจ้าช่วยสักหน่อย ให้เจ้าดีใจสักหน่อยเจ้าจะได้ช่วยข้ามากสักหน่อยหรอกหรือ? หาไม่แล้วผู้ใดจะอดทนเสียเวลาเก็บยามาประจบเอาใจพวกเจ้ากัน!”
แล้วเห็นหนีเวยอีเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ข้างๆ คล้ายเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย ดวงตาที่แบ่งแยกตาดำและตาขาวชัดเจนมองมาที่ตนพร้อมรอยยิ้มจนตาหยี นางทำท่าเงื้อมือจะตี “เวยเวยน้อย มองข้าทำสิ่งใด? เมื่อครู่นี้เห็นฮูหยินน้อยบ้านเจ้ารังแกข้าก็ไม่ช่วยพูดให้ข้าสักคำ!”
“ท่านอาตวนมู่ก็บอกเองแล้วว่านั่นคือฮูหยินน้อยบ้านข้า แล้วเวลาอยู่ต่อหน้านางข้าจะช่วยพูดให้ผู้อื่นได้อย่างไร?” หนีเวยอีแลบลิ้นใส่นาง หัวเราะฮิๆ กล่าวว่า “อีกประการ ท่านอาท่านก็ไม่น่ารักเลยสักน้อย กลับเลียนแบบท่านย่าข้าเรียกข้าว่าเวยเวย และยังเติมคำว่าน้อยใส่ไปอีก… ข้าน่ะ ไม่ช่วยท่านหรอก!”
“เจ้ามันเวยเวยตัวร้าย!” ตวนมู่ซินเหมี่ยวกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจนาง “ดีชั่วอย่างไร ยามข้ามาก็ยังเอาขนมมาให้เจ้า เจ้ายังจะทำเช่นนี้กับเข้า!”
หนีเวยอีแผ่มือออก กล่าวว่า “นั่นก็ช่วยไม่ได้ ยามอยู่ต่อหน้าท่านย่า ข้าจักกล้าไม่ไปอยู่ข้างฮูหยินน้อยได้รึ ต่อให้วันหน้าท่านอาตวนมู่จะเอาขนมมาอีกแปดร้อยอัน แต่ท่านย่าบอกว่าไม่ให้ข้ากิน ข้าก็ไม่กล้ากินหรอก… ดังนั้นนะ ข้าจึงทำได้เพียงขอโทษท่านอาตวนมู่แล้ว!”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวยังไม่ทันพูดสิ่งใด นางก็เปลี่ยนเรื่องไปว่า “เพียงแต่ท่านอาตวนมู่ ท่านมีรูปโฉมงดงามเพียงนี้ ว่ากันว่าใจคนผันตามหน้าตา ท่านอางดงามดังเทพธิดา จนมัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา ต้องมีจิตใจงดงามปานใดจึงได้มีโฉมงดงามอย่างในยามนี้เล่า? ท่านอาก็ใจดีมีเมตตาเพียงนี้ แล้วจะตัดใจมาถือโทษข้าได้อย่างไร? เมื่อไม่ถือโทษข้าแล้ว…ข้าก็จะกินขนมที่ท่านอานำมาได้ต่อไป ฮ่าๆ!”
พูดไปนางก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ปิดประตู ตบมือและกระโดดโลดเต้น “ไอ้เจ้าตัวเล็กแล้งน้ำใจ! ท่านอาจารย์สอนวิธีให้เจ้าจัดการกับผู้อื่น แต่เจ้ากลับเอามาใช้เอาตัวรอดกับข้า! คอยดูนะ ถ้าข้าจับเจ้าได้ ไม่ฝังเข็มเจ้าสิบกว่าเข็มก็ให้มันรู้ไป!”
________________________________________