ยอดสตรีฉางอิ๋ง – ตอนที่ 90 อาจารย์และศิษย์หมอเทวดา

ตอนที่ 90 อาจารย์และศิษย์หมอเทวดา

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 90 อาจารย์และศิษย์หมอเทวดา
ตอนที่ 90 อาจารย์และศิษย์หมอเทวดา
โดย
Xiaobei
เมื่อเข้าไปในลานบ้าน ก็รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมของยาตลบอบอวลไปหมด ในกลิ่นนั้นยังมีกลิ่นไอสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าผสานเข้ามาด้วย แต่แม้ว่ากลิ่นจะผสมปนเปกัน ทว่าเพราะล้วนเป็นกลิ่นของธรรมชาติจึงหาได้เหม็นหรือฉุนไม่ แต่กลับทำให้รู้สึกว่าในเมื่อเป็นที่พำนักของหมอเลื่องชื่อแล้วจะไม่ให้มีกลิ่นยาสักน้อยนิดได้อย่างไร

ในลานบ้านไม่ได้ปูหินคราม เพียงใช้กรวดเม็ดกลมเทเป็นทางเดินเล็กๆ คดโค้งเล็กน้อยตรงไปยังระเบียงทางเดิน สองข้างทางปลูกดอกไม้ต้นไม้เอาไว้เต็มไปหมด ซึ่งในนั้นก็ไม่ขาดสมุนไพรที่พบเห็นได้บ่อยจำนวนหนึ่งด้วย

นอกตัวอาคารมองเห็นดอกรุ่งอรุณที่เกาะปีนอยู่เต็มกำแพงสองข้างประตู ตัวดอกสีเหลืองโบกไหวอยู่ภายใต้แสงแดดจ้ายิ่งทำให้เป็นสีเหลืองทองเจิดจ้า น่าชมเป็นนักหนา …ซึ่งจะว่าไปแล้วดอกรุ่งอรุณก็เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ดูไปแล้วจี้ชวี่ปิ้งทำให้ลานบ้านของใช้ประโยชน์ได้สองประการพร้อมๆ กันนั่นเอง

เมื่อเดินผ่านระเบียงทางเดิน ก็เห็นประตูโค้งวงพระจันทร์บานหนึ่ง ข้างหลังประตูมีต้นฮวายฮวาที่มีขนาดทั่วไปปลูกอยู่ซ้ายขวาข้างละต้น เวลานี้ดอกฮวายฮวายังไม่บาน ทว่ามีต้นคอนสวรรค์เกาะอยู่บนต้นของมันและห้อยย้อยระย้าลงมาเต็มไปหมด สีเขียวสดของยอดอ่อน แซมด้วยดอกเล็กๆ รูปดาวสีแดงและขาว ดูสดใสครึกครื้นนัก

เว่ยฉางอิ๋งถูกดึงดูดจนอดเหลียวมองหลายหนไม่ได้ นางหัวเราะเสียงต่ำบอกว่า “เหตุใดจึงเอาต้นคอนสวรรค์มาอยู่บนต้นฮวายฮวาเล่า? ทำเช่นนี้มิใช่จะรัดต้นฮวายฮวาจนตายหรอกหรือ?”

“เวยเวยน้อย เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่? แม้แต่ฮูหยินน้อยที่สิบนิ้วไม่เคยต้องธารน้ำเย็นที่ท่านย่าของเจ้าคอยปรนนิบัติอยู่ยังเข้าใจหลักการนี้เลย แต่เจ้าก็ยังจะเอาต้นคอนสวรรค์มาไว้ข้างบนอีก หากว่ารัดต้นฮวายฮวาที่ท่านอาจารย์ชอบที่สุดจนตาย ดูซิว่าต่อไปเจ้าจะบอกท่านอาจารย์ว่าอย่างไร” เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งจะพูดจบก็ได้ยินเสียงเอ้อระเหยลอยชายเสียงหนึ่งดังมาจากที่ไม่ไกลนัก

ทุกคนพากันหันมองตามเสียงไป กลับเห็นว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกับเว่ยฉางอิ๋ง นางไม่แต่งหน้าแต่งตาและคล้องตะกร้าเก็บสมุนไพรใบเล็กๆ ที่สานจากกิ่งหลิวอยู่ที่แขน อีกมือหนึ่งกำลังคัดเลือกของในกระจาดยาที่ตากเอาไว้ในลานบ้าน… ลานบ้านในส่วนที่เข้ามาภายในตัวเรือนแล้วกว้างใหญ่ยิ่งกว่าข้างหน้ามาก นอกจากตรงต้นฮวายฮวาสองต้นและต้นดอกคอนสวรรค์สองต้นตอนเข้ามาถึงแล้ว บริเวณอื่นๆ ล้วนปูด้วยหินคราม วันนี้แดดดี จึงถือโอกาสนี้เอากระจาดสมุนไพรออกมาตาก

ไม่เพียงแค่ในลานบ้านเท่านั้น ในระเบียงทางเดินมีผ้าม่านยาวครึ่งบานห้อยอยู่เพื่อบังแสงแดดไม่ให้เข้าไปภายใน ข้างบนม่านหน้าต่างครึ่งบานยังมีกระจาดสมุนไพรวางอยู่ด้วยเช่นกัน คงจะเป็นสมุนไพรพวกที่ไม่เหมาะมาตากแดดแต่จะตากลมให้แห้งเท่านั้น

ก่อนจะเข้ามาในประตูมีกลิ่นสมุนไพรจางๆ แต่เมื่อถึงตรงนี้กลิ่นยาก็กลับแรงขึ้นมาจนแทบจะทำให้คนสำลัก คิดไปแล้วแม้ว่าหลายปีมานี้จี้ชวี่ปิ้งจะไม่ยอมไปรักษาคนโดยง่าย ทว่าเมื่อเป็นหมอ จึงไม่เคยหยุดเก็บสะสมยาเลย

เพราะนางหวงบอกไว้แล้วว่าบุตรชายคนรองและสะใภ้รองของนางล้วนดูแลรับใช้จี้ชวี่ปิ้งอยู่ที่นี่และไม่ได้เอ่ยถึงคนอื่นอีก คาดว่าคฤหาสน์หลังนี้ก็คงจะสงบเงียบ ทั้งจี้ชวี่ปิ้งก็ยังอยู่ตัวคนเดียว และไม่ชอบบ่าวที่ไม่คุ้นเคยด้วย อย่างนั้นก็ควรจะมีเพียงหนีเทาสองผัวเมียอยู่ปรนนิบัติ และมีหนีเวยอีเป็นเด็กรับใช้ตัวน้อยคอยต้อนรับที่หน้าประตูคนหนึ่งเท่านั้น

เช่นนั้นหญิงสาวที่กำลังจัดแจงสมุนไพรอยู่ในตอนนี้ ทั้งยังมีกริยาวาจาที่ผ่อนคลายสบายใจ แม้นางจะตอบความมาแต่ดวงตากลับยังคงจดจ้องไปยังสมุนไพรที่ดูเหมือนเปลือกไม้ธรรมดาชิ้นหนึ่งไม่วางตา แล้วใช้มีดเล็กที่เหน็บไว้ที่เอวตัดชิ้นเล็กๆ มาชิมดู โดยที่ไม่ได้สนใจเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งเลยแม้แต่น้อย… คาดว่านอกจากตวนมู่ซินเหมี่ยว คุณหนูแปดบ้านตวนมู่ซึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญของจี้ชวี่ปิ้งแล้วก็คงไม่มีใครอื่นอีก

ปรากฏว่าเมื่อนางหวงได้ยินคำก็หันไปถลึงตาแรงๆ ใสหนีเวยอีที่หลบอยู่ข้างหลังตนหนึ่ง แต่เมื่อหันหน้ามาหาหญิงสาวผู้นี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้คุณหนูแปดก็มาด้วยหรือเจ้าคะ? ท่านหมอเทวดาอยู่ข้างในใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

“อยู่สิ เจ้าพาพวกเขาเข้าไปเถิด ท่านอาจารย์ดื่มชาไปสองกาแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าเข้าไปช่วยดูยาให้ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ยังบอกว่าเหตุใดยังไม่มาสักที” ตวนมู่ซินเหมี่ยววางเปลือกไม้ลง…เอ่อ เปลือกไม้สมุนไพรลง และหันมามองทุกคนเสียที… ศิษย์ผู้ถ่ายทอดวิชาแพทย์ของแพทย์เลื่องชื่อแห่งดินแดนแถบทะเลผู้นี้มีรูปโฉมงดงาม ดวงตามเมล็ดท้อแก้มสีท้อ แม้จะสวมเสื้อสางหรูแขนแคบสีขาวบริสุทธิ์เนื้อผ้าหยาบที่ไม่มีลวดลายใดๆ คาดกระโปรงหลิวฉวินสีเขียวที่หญิงชาวบ้านยากจนทั่วไปก็มี บนหัวก็ยังมีผ้าหยาบๆ ห่อผมเอาไว้เหมือนกับที่เว่ยฉางอิ๋งเห็นเฉาอิงเม่ยคาดครั้งไปที่ทะเลสาบหญ้าใบไม้ผลิเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวก เครื่องแต่งกายอย่างหญิงสาวชาวบ้านที่ยากจนทั้งตัวนี้ ยามเมื่อสวมอยู่บนตัวนางกลับทำให้รู้สึกว่าเสื้อกระโปรงเนื้อหยาบนั้นไม่อาจบดบังความงามตามธรรมชาติของนางได้เลย

เพียงแต่ในเสียงร่ำลือบอกว่าจี้ชวี่ปิ้งเป็นคนอารมณ์ร้ายยิ่งนัก ศิษย์ของเขาก็คงจะได้รับอิทธิพลมาจากอาจารย์มาไม่มากก็น้อย นางจึงดูไม่มีความอ่อนโยนเหมือนเด็กสาวทั่วไปเลยแม้สักน้อย คำที่นางพูดมานี้จึงทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง

นางหวงกระแอมหนหนึ่งแล้วเอ่ยกับเว่ยฉางอิ๋งเบาๆ ว่า “ฮูหยินน้อย พวกเราเข้าไปกับคุณชายเถิดเจ้าค่ะ”

ทุกคนจึงพากันเดินอ้อมตวนมู่ซินเหมี่ยวไป จนไปถึงบนระเบียง นางหวงจึงมองไปที่หนีเวยอีหนหนึ่ง หนีเวยอีเดินเข้าไปข้างในอย่างเชื่อฟัง จากนั้นสักพักจึงออกมาบอกว่า “ท่านปู่หมอเทวดาเชิญคุณชายกับฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ”

…ยังไม่ทันสิ้นเสียงนาง ก็ได้ยินผู้ชายคนหนึ่งแค่นเสียงหึออกมาจากข้างในว่า “ข้าบอกว่า ‘มาได้สักที’ ต่างหากเล่า!”

ไม่ว่าอย่างไร ชื่อเสียงว่าจี้ชวี่ปิ้งเป็นคนอารมณ์ร้ายเกรงว่าจะไม่มีใครในเมืองหลวงที่ไม่รู้อยู่แล้ว แม้แต่ญาติผู้ใหญ่ร่วมตระกูล เขาก็ยังไม่มองอยู่ในสายตา ทั้งยังกล้าตวาดใส่หน้าผู้มีอำนาจอิทธิพลทั้งหลายว่า “ยอมตายแต่ไม่ยอมรักษาให้” …ทั้งเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งจึงวางท่าสงบแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดนี้เสีย

เมื่อเข้าประตูไปแล้วก็เห็นว่าด้านหน้าฉากกั้นแปดพับปักรูปปลาหลีฮื้อเย้าดอกบัว มีแจกันคู่หนึ่งขนาดสูงเท่าตัวคน บนตัวแจกันเขียนลายที่มีอักษรสีทองคำว่าอายุยืน ซึ่งจัดวางไว้สองข้างเก้าอี้ขาไขว้ตัวหนึ่ง เวลานี้มีคนผู้หนึ่งบนหัวใส่ครอบมวยผมสานจากไม้ไผ่ สวมเสื้อสีครามนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้ากี้ขาไขว้ มือหนึ่งค้ำโต๊ะ กำมือค้ำหัวเอาไว้ อีกมือหนึ่งค่อยตบไปตามขอบโต๊ะ เห็นชัดว่ากำลังอดรนทนไม่ไหวอย่างหนัก

คนชุดครามนี้คาดว่าก็คือจี้ชวี่ปิ้ง …หากนับดูเขาก็อายุสี่สิบสี่แล้ว ซึ่งยังสามารถยอเขาได้ประโยคหนึ่งว่ากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะก่อนนี้เขาเคยต้องทุกทรมานมามายมายเกินไป หรือว่าหลังจากที่บ้านแตกสาแหรกขาดแล้วได้รับความกระทบกระเทือนใจมากมายเกินไป ทำให้ตอนนี้ผมเกือบครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีเทาและขาวแล้ว

ดูจากเค้าโครงหน้าแล้ว ครั้งหมอเลื่องชื่อผู้นี้ยังหนุ่มจะต้องหน้าตาไม่เลวเลย จนวันนี้ผิวหน้าของเขาก็ยังขาวเนียนเกลี้ยงเกลา เครายาวใต้คางงดงาม แต่สิ่งที่ทำให้คนสนใจก็คือแววตาใต้คิ้วเข้มตรงที่เป็นดังคบเพลิงคู่นี้ ทั้งแวววาวและทรงพลัง… ทรงพลังจนถึงขั้นคมกริบ

แววตาของเสิ่นจั้งเฟิงก็เฉียบคมหนักหนา เพียงแต่ความคมกริบของจี้ชวี่ปิ้งนี้ไม่เหมือนกับความเฉียบคมของบุตรหลานตระกูลเลื่องชื่อในวัยหนุ่มเช่นของเสิ่นจั้งเฟิง เสิ่นจั้งเฟิงมีความสง่างามด้วยตัวเขามีชาติกำเนิดสูงส่งและเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูล กล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรค์และความเหนื่อยยากทั้งปวง เฉียบคมแต่กลับมีพลังที่ล้ำลึก ส่วนความคมกริบของจี้ชวี่ปิ้งนั้นคือใบมีดที่หล่อหลอมออกมาหลังจากต้องผจญกับความผกผันต่างๆ มาตามกาลเวลา คล้ายว่ามีสามส่วนที่เป็นความเหยียดหยามและเย้ยหยันผู้คนทั่วหล้าอยู่ทุกชั่วขณะจิต เรียกได้ว่ามีความจงเกลียดจงชังใต้หล้านี้อย่างสุดจิตสุดใจ

แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด คนที่มีสายตาคมกริบจนคนปกติไม่กล้าสบตาเช่นนี้ล้วนมีคุณลักษณะที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือความไม่เกรงกริ่ง ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ร่ำรวย กำลังอำนาจล้วนไม่อาจสั่นคลอนได้ …อย่างน้อยก็ไม่ใช่ความยากจน ร่ำรวย และกำลังอำนาจทั่วๆ ไปจะสามารถสั่นคอนได้

ดังนั้น แม้ว่านางหวงจะแจ้งฐานะของคนมาขอรับการรักษากับจี้ชวี่ปิ้งในวันนี้แล้ว และจะว่าไปแล้ว สมัยนั้นตระกูลเว่ยก็เคยมีบุญคุณกับเขา ทว่าตอนนี้เขากลับมิได้มีท่าทีจะเกรงใจอันใดเป็นพิเศษเพราะเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นบุตรสาวสายหลักของตระกูลเว่ย เมื่อเห็นพวกเขาเข้าประตูมา ก็เพียงกวาดตาไปมองผ่านๆ หนหนึ่ง ทั้งยังคงนั่งค่ำบนโต๊ะด้วยท่าทีเอ้อระเหยลอยชาย… และภาพของเขาซึ่งมีผมยาวสีเทาครึ่งหนึ่งสีดำครึ่งหนึ่ง ใช้กว้านครอบมวยผมมัดผมครึ่งหนึ่งเอาไว้ที่กลางหัว ปล่อยผมอีกครึ่งหนึ่งให้ระลงมาบนบ่า สวมเสื้อสีครามนั่งอยู่เพียงลำพังบนเก้าอี้ขาไขว้ ในฤดูร้อนที่แสนจืดจางเช่นนี้ หากใครไม่รู้ยังทำให้คนนึกถึงคำกล่าวประโยคหนึ่งว่า

กลางหิมะเต็มภูเขา ผู้สูงส่งเอนหลังนอน

เว่ยฉางอิ๋งที่ถูกตามใจมาแต่เล็ก ยังรู้สึกสยบต่อท่าทีของเขา และไม่กล้าชักช้า นางโค้งตัวคำนับกล่าวว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ สามีของ…”

“เป็นไอ้หนุ่มนี่มารักษารึ? เข้ามาเร็ว!” จี้ชวี่ปิ้งสมเป็นคนที่ไม่มีไมตรีต่อใครจริงๆ เขาไม่ยอมปล่อยให้นางพูดจบก็ชี้นิ้วมาที่เสิ่นจั้งเฟิง แล้วตะโกนขึ้นมาด้วยท่าทีเอาแต่ใจไร้มารยาทสิ้นดี เห็นชัดว่าเขาทะนงในวิชาแพทย์ของตน ไม่เกรงกลัวผู้ใด ไม่นอบน้อมกับใคร

“…เจ้าเข้าไปเถิด” เว่ยฉางอิ๋งสำลัก อย่างไรเสียก็ต้องให้เขาตรวจดูสามีตนแล้วจึงจะวางใจได้ นางจึงไม่กล้าโต้แย้ง ทำได้เพียงผลักเสิ่นจั้งเฟิงที่มีท่าทีไม่ยินยอมอย่างล้นเหลือเข้าไปอย่างจนใจ

เสิ่นจั้งเฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ขาไขว้อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะตามที่จี้ชวี่ปิ้งชี้บอก จี้ชวี่ปิ้งหรี่ตามองเขา แล้วเอ่ยอย่างเอ้อระเหยลอยชายและแสนใจเย็นว่า “ข้าดูเจ้ามีเลือดลมเพียงพอ ฝีเท้ามีพลัง ทั้งยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ก็ไม่เหมือนกับคนที่ ‘ไม่ขึ้น’ นี่! เป็นเพราะเจ้าไม่ชอบภรรยาคนนี้ของเจ้า แล้วไปทำงานอื่นข้างนอกเพื่อเลี้ยงดูผู้หญิงนอกบ้านที่ไม่ใช่มีแค่คนเดียว แล้วคร้านจะกลับบ้านไปทำพอลวกๆ จึงได้พูดเท็จใช่หรือไม่?”

“…!!!” พลันทำให้ทั้งเสิ่นจั้งเฟิง เว่ยฉางอิ๋งและบ่าวทุกคนพากันตกตะลึงและมีแววตาที่ยากจะอธิบายได้ นางหวงอยากจะร้องไห้ออกมาแต่กลับไม่มีน้ำตา แทบจะถลาเข้าไปดึงแขนวิงวอนจี้ชวี่ปิ้ง “ท่านหมอเทวดาจี้เจ้าคะ ข้าน้อยบอกว่าครั้งท่านเขยได้รับบาดเจ็บทำให้ในตอนนั้นยกแขนไม่ขึ้น ท่านอย่าได้รวบรัดตัดคำสิเจ้าคะ!”

สวรรค์เมตตาที่ท่านเขยยังอยู่ปกติ! อีกประการหนึ่ง หรือต่อให้ท่านเขยมีเรื่องซ่อนเร้นยากเอ่ยคำจริงๆ ก็น่าจะให้คนอื่นออกไปก่อนตรวจรักษานี่! ไยท่านหมอเทวดาจึงพูดเช่นนี้! นี่ไม่ใช่ตั้งใจแกล้งคนให้ตายหรอกหรือ!

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของนางหวง เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งก็เกือบจะกระอักเลือดออกมา!!

ความคิดว่า “หมอเทวดาบอกว่าไม่เป็นไรจึงจะไม่เป็นไร” ที่เว่ยฉางอิ๋งยึดมั่นตลอดมาล้วนสั่นคลอนไปหมดแล้ว… เจ้าหมอนี่ เหตุใดจึงรู้สึกว่าแม้แต่กู้หน่ายเจิงก็ยังไม่เลวร้ายเท่าเขา?!

“ตื่นเต้นอันใด!” จี้ชวี่ปิ้งเอามือลูบเครายาวของเขาด้วยท่าทีสบายอุรา “ข้าก็เห็นว่าร่างกายของเจ้าหนุ่มนี่ดียิ่งนัก คาดว่าคงไม่ได้มีโรคร้ายอันใด ให้หมอทั่วไปตรวจรักษาก็พอแล้ว ปรากฏว่าพวกเจ้าก็กลับทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ต้องให้ข้ามาตรวจรักษา คาดว่าพวกเจ้าก็คงจะตื่นเต้นกันนัก จึงพูดเล่นสักหน่อย ให้พวกเจ้าผ่อนคลายบ้าง เพื่อมิให้กลายเป็นว่าความจริงแล้วเจ้าหนุ่มนี่ไม่เป็นไร แต่คนอื่นกลับพากันล้มป่วยเพราะเป็นกังวลกับเขา”

เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งอยากกระอักเลือดอีกหน ท่านอยากจะพูดล้อเล่น หากเพียงแค่พูดเล่นก็แล้วไป! แล้วท่านมาพูดเช่นนี้เพื่อเหตุใด!

ในขณะที่สองสามีภรรยาสบตากันและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่นั่นเอง จี้ชวี่ปิ้งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างราบเรียบว่า “เอาล่ะ พูดเล่นจบแล้ว และพวกเจ้าก็ไม่ให้ความร่วมมือ…เช่นนั้นก็มาตรวจกันเถิด เจ้าหนุ่มเสิ่น ยื่นมือมา ข้าจะตรวจชีพจรสักหน่อย”

…จะ…เจ้านี่… เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะด่าเขาอย่างไรดี เจ้ามาพูดต่อหน้าว่าสามีข้า ‘ไม่ขึ้น’ แล้วยังจะมาหวังให้พวกเราให้ความร่วมมือหัวเราะออกมา?! นี่มันคนประเภทใดกัน! หากมิใช่มีเสียงเล่าลือตามถนนหนทางว่าจี้ชวี่ปิ้งมีตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นศิษย์เพียงคนเดียว เว่ยฉางอิ๋งจะต้องสงสัยว่าผู้สืบทอดตัวจริงของเขาคือกู้หน่ายเจิงแน่ๆ!

เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มเจื่อนๆ พลางยื่นข้อมือออกไป จี้ชวี่ปิ้งเอื้อมนิ้วไปแตะ ลูบเครายาวไปพลาง และหลับตาพิจารณาอย่างละเอียด… ทุกคนสงบนิ่งรออยู่พักใหญ่ และรออีกพักใหญ่ เห็นแต่สีหน้าของจี้ชวี่ปิ้งไม่น่าดูเข้าไปทุกที จึงพากันเป็นกังวลขึ้นมา…

เว่ยฉางอิ๋งไม่มีเวลาจะมาถือสาเรื่องก่อนหน้านี้ พลันเอ่ยถามไปด้วยความหวาดกลัวเป็นนักหนาว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ บาดแผลของสามีข้า?” นางเพียงคิดจะระแวดระวังเอาไว้ก่อน อย่าได้กลายเป็นทายถูกเข้าให้จริงๆ เล่า!

แล้วเห็นว่าจี้ชวี่ปิ้งลืมตาขึ้น ถามเสียงหนักว่า “บาดแผลนี้เจ้าได้มาเมื่อใด?”

แม้เสิ่นจั้งเฟิงจะนึกคิดไปเองว่าหายดีและไม่เป็นไรแล้ว ทว่าเพราะชื่อเสียงของจี้ชวี่ปิ้งเลื่องลือนัก และทุกคนในห้องเวลานี้ล้วนมีท่าทีเตรียมตัวรับฟังข่าวร้ายเอาไว้แล้ว ตัวเขาเองจึงรู้สึกหวั่นๆ ขึ้นมา แล้วเอ่ยไปอย่างระมัดระวังวา “เมื่อวันชูอิกปีก่อน ในงานเลี้ยงพระราชทานในวังขอรับ”

“ตอนนั้นง่ามนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ฉีก ยากยกแขนขึ้นไหว ภายหลังอีกนานเท่าใดจึงหายแล้ว?” จี้ชวี่ปิ้งถาม

เสิ่นจั้งเฟิงตอบไปด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม “ประมาณสามวันห้าวันก็เกือบจะหายแล้ว และแผลที่ง่ามนิ้วมือก็ตกสะเก็ดแล้วขอรับ”

สีหน้าของจี้ชวี่ปิ้งยิ่งแย่เข้าไปอีก “จากนั้นเล่า?”

“จากนั้นท่านแม่ข้าไม่วางใจจึงเชิญแพทย์หลวงมาตรวจรักษา แพทย์หลวงแนะนำว่าให้พักฟื้นสักระยะจะได้ปลอดภัย ดังนั้นท่านแม่ข้าจึงให้พักฟื้นมาถึงเพลานี้ขอรับ” เสิ่นจั้งเฟิงรู้ว่าจี้ชวี่ปิ้งไม่ถูกกับตระกูลจี้ จึงปกปิดแซ่ของแพทย์หลวงเอาไว้ หลังจากพูดจบเขาก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงลองสอบถามไปว่า “ท่านหมอเทวดาจี้ขอรับ ตลอดหลายเดือนมานี้ จั้งเฟิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เจ็บป่วยอันใด คงไม่ถึงกับมีบาดแผลภายในที่ยังไม่หายสนิทกระมังขอรับ?”

เขาไม่ได้รู้สึกเลยจริงๆ ว่ามีที่ใดไม่สบายนี่? แต่เหตุใดหมอเทวดาฟังแล้วยิ่งมีสีหน้าไม่น่าดูเสียยิ่งกว่าเก่า จนดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมาแล้ว?

พลันเห็นจี้ชวี่ปิ้งระเบิดอารมณ์ออกมาจริงๆ แล้ว… เขาเก็บสองนิ้วจากข้อมือของเสิ่นจั้งเฟิงกลับไป แล้วตบที่เก้าอี้ขาไขว้ครั้งหนึ่งไปอย่างแรงจนเกิดเสียงดังลั่น จนทำให้หนีเวยอีซึ่งเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในนั้นตกใจใหญ่และขยับไปหลบข้างหลัง จี้ชวี่ปิ้งถามตำหนิไปด้วยโทสะเดือดดาลและไม่อาจระงับไว้ได้ว่า “ในเมื่้อเจ้าก็รู้ว่าแม้แต่บาดแผลเล็กๆ ก็ยังไม่มี แล้วยังวิ่งแร่มาทำสิ่งใด? คงมิใช่ว่าจงใจมาฆ่าเวลากับข้าหรอกนะ!”

แล้วด่าทอไปอีกว่า “ก็เพราะง่ามนิ้วฉีกออก เส้นลมปราณที่แขนจึงถูกกระทบกระเทือนอย่างเฉียบพลันทำให้ยกแขนไม่ขึ้นก็มิใช่เป็นเรื่องปกติวิสัยหรอกรึ! ดูเจ้าก็เป็นคนฝึกวรยุทธนี่ หรือว่าในยามปกติก็ฝึกแต่ท่าทางสวยๆ เอาไว้เล่นปาหี่?! จนไม่เคยบาดเจ็บสักหน?! บาดเจ็บเล็กน้องเพียงนี้ คุณหนูแสนบอบบางในคฤหาสน์พักฟื้นแค่สิบวันหรือครึ่งเดือนก็ยังพอทำเนา แต่เจ้าเป็นชายชาตรี นี่มันก็ครึ่งปีแล้วแต่กลับยังคงพักฟื้นอยู่อีก เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเป็นเต้าหู้หรือไร? เช่นนั้นชาตินี้เจ้าก็ไปนอนอยู่บนกองผ้าแพรไม่ต้องลุกขึ้นมาเสียเลยไม่ใช่จะยิ่งปลอดภัยกว่ารึ!”

จี้ชวี่ปิ้งแค่นเสียงหึแล้วเอ่ยทิ้งท้ายประโยคหนึ่งว่า “ไร้เหตุผลสิ้นดี!” แล้วสะบัดแขนเสื้อ เดินเข้าไปข้างใน จากไปทันที

______________________________________

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

Status: Ongoing
“ตอนนั้นท่านปู่จัดการหมั้นข้ากับสามีฝ่ายบู๊เพราะชะตาต้องกันเพียงคราเดียว!
ข้าไม่ร้องไห้โฮออกมาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะให้มีความสุขทั้งสองฝ่าย?
ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ วันเวลาแสนหวานชื่นในอนาคตที่ข้าคิดว่าจะมีได้
ก็คือตีจนกว่าเขาจะต้องเชื่อฟังข้าไปทั้งชีวิต และไม่ทำให้ข้าต้องโมโห!
มีความสุขทั้งสองฝ่าย…ข้าจะไปชอบสามีเยี่ยมยุทธ์อย่างนั้นได้อย่างไร!
ข้ายังไม่ชอบเขา แล้วการที่เขาจะชอบข้าหรือไม่ ยังจะสำคัญหรือ?
ที่สำคัญก็คือ เขาต้องเชื่อฟังข้า!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท