ตอนที่ 105 ฝากฝั่งอีกทอด
โดย
Xiaobei
แม้ในห้องจะมีเพียงสองสามีภรรยา ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงก็ยังคงกดเสียงลงต่ำ แล้วขยับเข้าไปกระซิบแทบจะติดหูของภรรยาว่า “เรื่องระหว่างพระสนมเกและฮองเฮาเหมือนน้ำกับไฟ เสียงจือเป็นที่รักของพระสนมเอกยิ่งนัก จึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้อย่างมากเสียตั้งนานแล้ว หากให้ลูกผู้น้องของพวกเราแต่งงานกับเสียงจือ วันหน้าหากวันใดพระสนมเอกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ยากจะไม่พลอยได้รับเคราะห์ไปด้วย แล้วไยต้องไปเกี่ยวข้องด้วยเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินพลันสะดุ้ง กล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าพระสนมเอกจะพ่านแพ้เล่า?” นางกลับไม่เพียงแค่เป็นกังวลถึงเติ้งจงฉี ต้องรู้เสียก่อนว่าเรื่องที่ซ่งไจ้สุ่ยล้มเลิกการแต่งงานกับราชสำนักก็ได้ร่วมมือกันกับตระกูลเติ้ง และครั้งนั้นตระกูลเว่ยก็ยังมีส่วนร่วมด้วย …แม้ไม่อาจบอกได้ว่าเพราะเป็นเช่นนี้ตระกูลซ่งและเว่ยจึงเท่ากับยืนอยู่ข้างพระสนมเอก ทว่าก็โน้มเอียงไปทางพระสนมเอกนั่นเอง
โดยเฉพาะเรื่องการถอนหมั้นของซ่งไจ้สุ่ย ฉากหน้านั้นดูงดงามไม่มีสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ล่วงเกินฮองเฮาและองค์รัชทายาทไปแล้วไม่มากก็น้อย! ในสถานการณ์เช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งย่อมหวังว่าฮองเฮากู้จะเป็นฝ่ายล้ม จนทำให้องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันถูกปลดไปด้วยนางจึงจะวางใจได้
แต่เมื่อมาฟังน้ำเสียงของเสิ่นจั้งเฟิงในยามนี้… ว่าเขากลับไม่ได้เห็นดีกับทางพระสนมเอก? เสิ่นจั้งเฟิงถวายงานหน้าพระพักตร์มาหลายปี เป็นที่วางพระทัยของฮองเต้นัก ความเห็นของเขาย่อมมีน้ำหนักเป็นอย่างยิ่ง เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่กล้าเพิกเฉย รีบผลักมือเขาออก “ไยเจ้าจึงคิดเห็นเช่นนี้?”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางลูบแก้มนาง กล่าวว่า “เจ้าอย่างเพิ่งร้อนใจ… ความจริงแล้วหากเป็นเมื่อสิบปีก่อน ข้ากลับไม่คิดว่าหนทางข้างหน้าของเสียงจือไม่ดีนัก แต่ยามนี้กลับไม่เหมือนกัน” เขาใคร่ครวญพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ฮ่องเต้พระชนมายุกว่าหกรอบแล้ว แม้จะบอกว่าทรงมีพระพลานามัยดีเสมอมา ทว่าอย่างไรก็สูงวัยแล้ว”
“แม้ฮ่องเต้จะทรงออกว่าราชการน้อยนัก และไม่เอ่ยถามถึงเรื่องราชกิจบ่อยครั้งนัก แต่อย่างไรก็ตามในใต้หล้านี้ล้วนอยู่พระหัตถ์ของฮ่องเต้” เพราะเสิ่นจั้งเฟิงต้องใคร่ครวญเลือกใช้ถ้อยคำจึงพูดช้ายิ่งนัก “หลายเดือนก่อน ข้าเคยได้ยินฮ่องเต้ตรัสกับพระโอษฐ์ว่า แต่โบราณมาผู้ที่ทะนงว่าตนเป็นใหญ่ที่สามารถมีอายุยืนยาวนั่นมีกี่คน? ฮ่องเต้ทรงคิดว่าในบรรดากษัตริย์แต่โบราณมา นับว่าเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาใหญ่หลวงนัก”
เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจว่า “ยามนี้ฮ่องเต้… โปรดอยู่เงียบๆ ไม่โปรดให้มีการเคลื่อนไหวใด?”
“เป็นดังนั้น” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ดังนั้นจึงบอกว่า จะอย่างไรลูกผู้น้องของเราก็ไม่ควรแต่งกับเสียงจือเป็นดี”
ฮ่องเต้ไม่ได้หนุ่มแน่นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องทั้งหน้าวังหลังวังในรัชสมัยนี้ล้วนไม่สงบ …แม้อดีตฮองเฮาหลิวจะไม่ได้ถูกปลด แต่ฮองเฮาทั้งสององค์ต่อมาก็ทำให้ต้องปลดองค์รัชทายาทถึงสองพระองค์ มีครั้งใดที่มิใช่เรื่องใหญ่โตสั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้า
เพียงแต่ครั้งองค์รัชทายาททั้งสองพระองค์ถูกปลดนั้น ฮ่องเต้ยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ แม้การปลดองค์รัชทายาทไปอย่างง่ายดายจะทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างแต่ก็ทรงกดเรื่องนี้เอาไว้ได้ แต่ยามนี้ ฮ่องเต้ทรงสูงวัยแล้ว… บางที ฮ่องเต้อาจยังทรงพอจะปลดองค์รัชทายาทได้อีกสักพระองค์ แต่พระทัยของฮ่องเต้ก็ทรงอ่อนล้าแล้ว ฮ่องเต้เองทรงคิดว่าเมื่อเทียบกับฮ่องเต้ทุกพระองค์แต่โบราณมาที่นับว่าเป็นผู้มีบุญวาสนาสูงส่ง ก็เห็นชัดว่าพระองค์เตรียมตัวสละราชบัลลังก์เอาไว้พร้อมแล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ ฮ่องเต้ย่อมไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากขึ้นอีก แม้ องค์รัชทายาทจะเหลวไหลเลอะเลือน ทว่าฮองเฮากู้ก็เป็นผู้ที่มีฝีไม้ลายมือล้ำเลิศ หากคิดจะสั่นคลอนตำแหน่งของฮองเฮาและองค์รัชทายาท ที่ใดจะทำได้อย่างง่ายดาย? นอกเสียจากมีหลักฐานชัดเจนว่านางกระทำความผิดอันใหญ่หลวง ทว่าฮองเฮากู้ก็หาใช่คนโง่ ฮ่องเต้ทรงพระชนมายุมากเพียงนี้แล้ว พระโอรสของนางก็เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์อย่างเต็มศักดิ์เต็มสิทธิ์ ยิ่งไปกว่ายังก็ยังหนุ่มแน่น… ตัวนางเองก็ยังเยาว์กว่าสนมเติ้ง แล้วไยนางต้องร้อนใจ? ผู้ที่ควรร้อนใจจึงควรเป็นสนมเอกเติ้งต่างหาก
เมื่อคาดเดาตามนี้แล้ว สถานการณ์ของสนมเอกเติ้งจึงไม่ดีจริงๆ
เว่ยฉางอิ๋งจึงถอนหายใจ กล่าวว่า “ปีก่อนได้คุณชายเติ้งช่วยเอาไว้บนเขาไผ่น้อย ข้ารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขายิ่งนักเรื่อยมา แต่กลับไม่คิดว่ายามนี้ตัวเขากำลังตกอยู่ในฐานะลำบาก น่าสงสารจริงๆ”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเองก็ซาบซึ้งในน้ำใจของเขายิ่งเช่นกัน” แล้วเอ่ยปลอบว่า “เสียงจือมีหน้าตาคล้ายองค์ชายหกยิ่งนัก สนมเอกเติ้งรักใคร่เขาอย่างจริงใจเสมอมา หากวันหนึ่งเรื่องราวไม่เป็นดังหวังขึ้นมาจริงๆ ก็จักต้องวางแผนหาหนทางในภายหลังให้แก่เขา จะอย่างไรตระกูลเติ้งก็เป็นตระกูลใหญ่ ฮองเฮาจึงไม่อาจทำสิ่งใดกับเขาได้”
คำพูดว่าไปเช่นนี้ ทว่าบิดามารดาของเติ้งจงฉีล้วนเสียไปแล้ว ทั้งบิดาก็ยังมีความแค้นกับคนในตระกูลโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่านลุงใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำตระกูล ที่พักพิงเดียวเขาเขาก็คือสนมเอกเติ้ง วันใดหากสนมเอกเติ้งล้มลง แล้วเติ้งจงฉีจะไม่พลอยรับเคราะห์ไปด้วยก็แปลกแล้ว! ถึงยามนั้นคนในตระกูลก็จะไม่มีทางไปปกป้องเขา อีกทั้งยังเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการส่งตัวเขาออกไป จะสามารถแลกกับความสงบสุขและมั่งคั่งของตระกูลได้
เพียงแต่เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแม้เว่ยฉางอิ๋งจะรู้สึกขอบคุณในบุญคุณที่เติ้งจงฉียื่นมือเข้ามาช่วยในวันนั้น ทว่าก็มิได้ถึงขั้นเป็นทุกข์เป็นร้อนหนักหนา เมื่อปลงอนิจจังไปหนหนึ่ง ก็กลับมายังหัวข้อเรื่องหาสามีดีๆ ให้แก่ซ่งซีเยวี่ยและซ่งหรูเซวียน “เมื่อว่ามาดังนี้คุณชายเติ้งก็ไม่ใคร่เหมาะแล้ว เดิมทีท่านอาหญิงใหญ่ของข้าก็ไร้บุตรชายอยู่แล้ว ได้ยินว่าเป็นเพราะบ้านนางค่อนข้างมีฐานะจึงถูกคนในตระกูลบีบบังคับเสียอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าลูกผู้น้องทั้งสองของข้าควรจะเลือกคนที่มีนิสัยซื่อๆ ตรงๆ ทั้งเป็นคนที่มีตระกูลสักหน่อยเป็นดี เพื่อมิให้วันหน้าถูกพี่ชายหรือน้องชายที่รับมาเป็นบุตรบุญธรรมห่มเหงรังแกเอา”
ด้วยเหตุที่เรื่องคนในตระกูลบีบคั้นนางนั้นเป็นเรื่องภายในของตระกูลซ่ง เสิ่นจั้งเฟิงเองก็ไม่เหมาะจะเอ่ยสิ่งใด จึงได้แต่พูดเตือนไปว่า “ไยเจ้าไม่ลองนำเรื่องนี้ไปพูดกับท่านแม่ดูเล่า? ท่านแม่พอจะคุ้นเคยกับคนในตระกูลต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงแทบไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่านแม่”
“วันนี้เอาแต่พูดเรื่องผลึกหอมจึงกลับลืมไปเสียได้” เว่ยฉางอิ๋งขบริมฝีปาก กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นน้องหญิงสี่ก็ยังไม่มีคู่หมาย…” ฮูหยินซูเองก็มีบุตรสาวแท้ๆ ต้องคอยดูแล หากมีคนดีๆ ก็ย่อมต้องเลือกให้บุตรสาวแท้ๆ ของตนก่อน ลูกผู้น้องของสะใภ้นับเป็นความเกี่ยวดองที่ห่างออกไปอีกหลายชั้น แม้จะฝืนรับคำไปเพื่อรักษาหน้าตา แล้วจะเอาใจใส่ให้มากน้อยเพียงใด?
“แล้วจั้งหนิงจะแต่งกับใครได้สักกี่คน?” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “อีกประการเจ้าเองก็รู้จักนิสัยของจั้งหนิง เพื่อให้วันหน้านางสามารถอยู่กับสามีได้อย่างเป็นสุข แม้จะมีตัวเลือกจำนวนมากที่ไม่เลวเลย แต่ท่านแม่ก็ไม่อาจวางใจยกนางให้ไป”
ก่อนไปร่วมงานวันประสูติขององค์หญิงหลินชวน เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่าเสิ่นจั้งหนิงผู้เป็นน้องของสามีมีนิสัยนอกรีตนอกรอยไปหน่อย ทั้งยังเป็นคนฉลาดแกมโกงประหลาดๆ เข้าใกล้ได้ยาก ทว่ายังไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เสิ่นจั้งหนิงคอยดูแลปกป้องตนเองซึ่งเป็นพี่สะใภ้ในทุกเรื่องครั้งอยู่ในวัง เมื่อได้พบกับองค์ชายสิบเอ็ดในอุทยานกับลูกผู้พี่ซูอวี๋เฟยและซูอวี๋อินทั้งสองคน และนางถูกองค์ชายสิบเอ็ดซึ่งเป็นคนมีนิสัยโหดร้ายสอบถามถึงความเป็นมาของซูอวี๋เฟย เสิ่นจั้งหนิงก็ตอบโต้เขาไปได้อย่างเยือกเย็น ลวงว่าซูอวี๋เฟยคือเว่ยลิ่งเยวี่ย …สิ่งที่หาได้ยากเป็นที่สุดก็คือการที่เสิ่นจั้งหนิงทำเช่นนี้ มิได้เป็นเพราะนางกล้าหาญบ้าบิ่นไม่กลัวฟ้าดินอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ในเวลาเพียงชั่วพริบตานั้นนางกลับนึกถึงผลลัพธ์ต่างๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว และสามารถช่วยแก้ไขวิกฤตที่ซูอวี๋เฟยลูกผู้พี่ของนางจะถูกองค์ชายสิบเอ็ดขอไปอภิเษกได้อย่างสบายๆ
นับแต่นั้น เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกมาโดยตลอดว่าดูไปแล้วเสิ่นจั้งหนิงเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทว่าภายในใจนางกลับกระจ่างชัดประหนึ่งกระจกใส จึงไม่กล้าดูแคลนน้องสามีผู้นี้อีก ยามนี้จึงช่วยแก้ต่างแทนเสิ่นจั้งหนิงไปว่า “ข้าเห็นว่าน้องหญิงสี่เป็นคนดีนัก”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “เรื่องใหญ่โตนั้นนางไม่เลอะเลือน ทว่าเรื่องเล็กๆ กลับออกจะเอาแต่ใจ ทุกคนในบ้านล้วนเอาใจนาง ทว่าเมื่อออกเรือนแล้ว สามีของนางหาได้อดทนและยอมให้นางเช่นนี้ไม่ ดังนั้นท่านแม่จึงคิดว่าอย่างไรก็หาคนที่ซื่อตรงสักหน่อยให้นางเป็นดี” แล้วทอดถอนใจว่า “ไม่เพียงแต่เจ้าที่รู้สึกว่าเติ้งเสียงจือไม่เลว หากมิใช่เพราะเขาเกี่ยวพันกับสนมเอกเติ้งลึกซึ้งเกินไป ข้าเองก็คิดจะยกจั้งหนิงให้เขา”
“โธ่!” เว่ยฉางอิ๋งถอนใจหนหนึ่ง สองสามีภรรยาสนทนากันอีกสองสามคำ ได้ยินเสียงฆ้องดังมาจากข้างนอก ไกลๆ คล้ายจะเป็นยามสาม[1]แล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้าคุยกับสามีต่อ ด้วยกลัวว่าวันพรุ่งเข้าไปทำงานแล้วจะไม่สดชื่น จึงว่า “ดึกแล้ว พวกเรานอนกันเถิด”
ตื่นเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อ เว่ยฉางอิ๋งไปคารวะแม่สามี จึงเอ่ยเรื่องแต่งงานของ ลูกผู้น้องหญิงทั้งสองคนต่อฮูหยินซูว่า “แม้ท่านอาหญิงใหญ่จะเกิดและเติบโตที่เมืองหลวง ทว่าก่อนหน้านี้สิบกว่าปีล้วนติดตามสามีไปรับตำแหน่ง ลูกผู้น้องทั้งสองคนก็เพิ่งได้กลับมาเมืองหลวงในคราวนี้ ยามนี้ก็ไม่มีคนรู้จักที่ใด ท่านอาหญิงใหญ่จึงฝากฝั่งเรื่องนี้กับข้า เพียงแต่ว่า แม้สะใภ้อยากทำให้ท่านอาหญิงใหญ่สบายใจจึงตกปากรับคำในเรื่องนี้ ทว่าตนเองก็เพิ่งแต่งเข้ามาไม่นาน แล้วจะสามารถทำเรื่องใดได้? จึงต้องขอให้ท่านแม่สงสารสะใภ้ ช่วยสะใภ้ครานี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ! หาไม่แล้ว สะใภ้ก็ไม่ทราบว่าจะไปบอกกับท่านอาหญิงใหญ่เช่นได้เจ้าค่ะ!”
ด้วยเหตุที่วานนี้นางหลิวและนางตวนมู่เพิ่งจะได้รับเครื่องหอมที่เว่ยฉางอิ๋งแบ่งให้ นี่ก็เพิ่งจะผ่านมาหนึ่งคืน ไม่เหมาะจะมาค่อนแคะน้องสะใภ้ จึงพากันมาช่วยพูดให้ พวกนางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเราล้วนได้ผลประโยชน์มา จึงต้องขอร้องพร้อมๆ กับน้องสะใภ้สามว่าขอให้ท่านแม่ช่วยด้วยเจ้าค่ะ”
“ทั้งสามคนร่วมมือ ทั้งยังพูดเป็นเสียงเดียวกัน ดูท่าว่าหากข้าไม่รับปากก็คงไม่ได้แล้ว?” ฮูหยินซูเห็นดังนั้นก็หัวเราะออกมา กล่าวว่า “ผลึกหอมกล่องเมื่อวานนั้น คงมิใช่เป็นของกำนัลขอบคุณที่ท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าให้ไว้ล่วงหน้าหรอกนะ?”
เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าแม่สามีอารมณ์ดีไม่เลว จึงเอ่ยล้อเล่นไปว่า “เรียนท่านแม่ มิใช่จริงๆ เจ้าค่ะ! เพียงแต่ท่านอาเห็นว่าสะใภ้เกิดความสงสัยผลึกหอมนี้ จึงบอกว่าในเมื่อสะใภ้มีญาติผู้ใหญ่อยู่ในเรือน จึงไม่สมควรข้ามหูข้ามตา ไม่ให้ผู้ใหญ่ใช้เครื่องหอมประหลาดนี้ด้วย จึงแบ่งมาให้สะใภ้สองกล่องเจ้าค่ะ เพียงแต่สะใภ้ขอรับรองกับท่านแม่ว่า ผู้ที่ท่านอาหญิงใหญ่เป็นห่วงที่สุดก็คือลูกผู้น้องทั้งสองของสะใภ้ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง หากท่านแม่ช่วยเหลือท่านอาหญิงใหญ่ครานี้ ไม่ว่าอย่างไรท่านอาหญิงใหญ่ก็จักต้องมาคารวะขอบคุณท่านแม่ด้วยตนเองแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้ารู้จักธรรมเนียมดียิ่งนัก!” ฮูหยินซูยิ้มพลางว่า “ต่อให้นางใส่กล่องหนึ่งกล่องมาให้เจ้า ก็คิดว่าเด็กเช่นเจ้ากลับมาก็จะไม่นำไปใช้คนเดียวหรอก แต่นางก็ยังอบรมเจ้าก่อนมาหน้า ทว่าครั้งท่านย่าของเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงก็ขึ้นชื่อเรื่องจัดการบ้านเรือนอย่างเข้มงวดนัก กริยามารยาทของท่านอาหญิงสองสามคนของเจ้าครั้งยังสาวล้วนเป็นสิ่งที่บุตรสาวแต่ละบ้านสอนสั่งกันเป็นการภายในว่าต้องเอาอย่างพวกนาง ก็มิน่าเล่าท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าจึงกล่าวเช่นนี้”
นางหลิวและนางตวนมู่ล้วนยิ้มแย้ม กล่าวว่า “เพียงได้ฟังเรื่องการวางตัวของท่านอาหญิงใหญ่ของน้องสะใภ้สามแล้วก็รู้ว่าการอบรมสั่งสอนของฮูหยินผู้เฒ่าซ่งในสมัยนั้นต้องเข้มงวดนัก มิน่าเล่าใครๆ จึงชื่นชอบน้องสะใภ้สามเช่นนี้ ก็เพราะได้แม่เฒ่าซ่งที่เคร่งครัดในกฏระเบียบยิ่งนักอบรมสอนสั่งมาด้วยตนเองนี่เอง จึงแตกต่างจากสตรีมีตระกูลทั่วไป”
เว่ยฉางอิ๋งเชื่อแน่นอนว่าท่านย่าจัดการบ้านเรือนอย่างเข้มงวดนัก …ดังนั้นจนทุกวันนี้ แม่เฒ่าซ่งก็ยังสามารถดูแลรุ่ยอวี่ถังครึ่งหนึ่งได้ เพียงแต่ไม่คิดว่าท่านย่าจะจัดการบ้านเรือนอย่างเข้มงวดเสียจนทำให้ท่านอาหญิงสองสามคนล้วนกลายเป็นต้นแบบของสตรีมีตระกูลในเมืองหลวงสมัยนั้น ก็มิน่าเล่าตั้งหลายปีผ่านมาแล้ว แบบอย่างอันสูงสุดในดวงใจของท่านอาหญิงใหญ่ก็ยังคงเป็นแม่ใหญ่ของนาง กระทั่งอบรมบุตรสาวทั้งสองให้จินตนาการว่าท่านยายผู้นี้ก็คือความสมบูรณ์แบบไร้เทียบเทียมที่ยังมีอยู่จริงๆ
นางใคร่ครวญว่าเมื่อเขียนจดหมายกลับบ้านคราหน้า จะต้องเอาเรื่องนี้เขียนลงไปด้วย ให้ท่านย่าได้มีความสุขยิ่งกว่ามีความสุข ทว่าปากกลับเอ่ยถ่อมตนกับพี่สะใภ้ทั้งสองว่า “คำของพี่สะใภ้ทั้งสองข้ากลับไม่กล้ารับเจ้าค่ะ จะว่าไปแล้วท่านย่าเป็นคนเคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมนัก เพียงแต่ท่านย่ารักใคร่ข้ามาโดยตลอด หากจะเอ่ยถึงธรรมเนียมต่างๆ ข้ายังคงห่างไกลกับพี่สะใภ้ทั้งสองคนยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“น้องสะใภ้สามนี่ถ่อมตัวจริงๆ” นางหลิวเอ่ยยิ้มๆ “ลำพังแค่การถ่อมตนเช่นนี้ สตรีมีตระกูลตั้งมากมายก็ยังเทียบไม่ได้เลย แล้วยังบอกว่าตนไม่ได้ร่ำเรียนเรื่องธรรมเนียมมาได้หรือ?”
นางตวนมู่เอ่ยว่า “ต่อให้ถ่อมตนอีกเท่าใดก็ไม่เป็นผล ธรรมเนียมต่างๆ เรียงรายอยู่ที่นี่ พวกเราล้วนมองเห็นอยู่ชัดเจน!”
เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “หากจะเอ่ยเรื่องธรรมเนียมนี้ เรื่องที่ข้าต้องเรียนรู้จากพี่สะใภ้ทั้งสองยังมีอีกมากมายนักเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ทั้งสองหาได้มิใช่บุตรสาวตระกูลใหญ่โต? ดังนั้น คำชมเช่นนี้ หากเป็นสตรีในตระกูลใหญ่เอ่ย ข้าก็ยังพอจะฟังอย่างอายๆ ได้บ้าง ทว่าเมื่อเป็นท่านแม่และพี่สะใภ้ทั้งสองท่านกล่าวมา ข้ากลับไม่กล้ายอมรับเจ้าค่ะ ยามอยู่ต่อหน้าท่านแม่แล พี่สะใภ้ทั้งสอง ข้าก็เป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้นเจ้าค่ะ”
สะใภ้ทั้งสามพากันหัวเราะขึ้นมา แล้วต่างบอกว่าอีกฝ่ายถ่อมตน
ในระหว่างนั้น ฮูหยินซูหันกลับไปพึมพำกับแม่นมเถาสองสามคำ พอหันหน้ากลับมาก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อรับเครื่องหอมทองพันชั่งมาแล้ว เรื่องเล็กๆ เพียงนี้จะไม่ช่วยได้อย่างไร? บุตรหลานแต่ละตระกูลในเมืองหลวง โดยมากแล้วข้าล้วนเคยได้ยินได้ฟังมา เพียงแต่พี่หญิงใหญ่ พี่หญิงรองของพวกเจ้าล้วนออกเรือนมาหลายปีแล้ว ส่วนจั้งหนิงนั้น นิสัยเช่นนาง หากไม่ขัดเกลาสักหน่อยข้าก็ไม่มีหน้าไปดูผู้ใดให้นางจริงๆ …ในสองปีนี้กลับไม่ได้สอบถามใดๆ เลย ลูกผู้น้องทั้งสองคนของเจ้านี้อายุเท่าใดแล้ว? หน้าตา นิสัยใจคอเป็นเช่นใด? แล้วท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าอยากหาคนเช่นใดให้พวกนาง?”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มแล้วขอบคุณ ฮูหยินซูไปสองประโยค แล้วเอ่ยชมเสิ่นจั้งหนิงไปสองสามคำ จึงเข้าเรื่องว่า “ลูกผู้น้องคนโตนามว่าซีเยวี่ย เวลานี้อายุสิบหกเจ้าค่ะเ ลูกผู้น้องคนรองนามว่าหรูเซวียน ยังไม่ปักปิ่น แต่กลับอายุเท่ากับน้องหญิงสี่เจ้าค่ะ รูปโฉมล้วนงดงาม ไม่ปิดบังท่านแม่ ลูกผู้น้องคนโตมีเค้าหน้าคล้ายสะใภ้มาก แต่กลับงดงามกว่าสะใภ้นัก ลูกผู้น้องคนรองก็เป็นหญิงงามคนหนึ่ง ลูกผู้น้องทั้งสองล้วนเป็นคนอ่อนโยนเรียบร้อย ส่วนต้องการหาคนเช่นใด ท่านอาหญิงใหญ่บอกว่า ขอเพียงมีฐานะทัดเทียมกัน ผู้ใหญ่ฝั่งนั้นใจกว้าง ตัวเขาเองเป็นคนซื่อตรง และหากมีความสามารถสักหน่อยก็จะยิ่งดีเจ้าค่ะ”
ฮูหยินซูยิ้มพลางว่า “เค้าหน้าคล้ายเจ้า เช่นนั้นก็เป็นหญิงงามน่ะสิ!”
นางหลิวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ แค่น้องสะใภ้สามบอกเพียงประโยคเดียวว่า ลูกผู้น้องคนโตของเจ้าหน้าตาเหมือนเจ้า พวกเราก็รู้แล้วว่านางงดงามเพียงใด”
“ยามเอ่ยถึงลูกผู้น้องรองก็ไม่ต้องเอ่ยให้มากความ เพียงบอกว่าเมื่อเทียบกับเจ้าแล้วเป็นเช่นใด ขอเพียงไม่ได้ห่างไกลกับเจ้าราวฟ้ากับดิน เช่นนั้นก็จักต้องงดงามหาตัวจับได้ยากแล้ว” นางตวนมู่เอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
เว่ยฉางอิ๋งอายจนหน้าแดง “พี่สะใภ้ทั้งสองต่างหากที่เป็นคนงามเจ้าค่ะ แต่กลับมาล้อข้าเล่น”
นางหลิวและนางตวนมู่กำลังจะตอบความ ฮูหยินซูก็ยิ้มแล้วว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้ข้ารับไว้แล้ว เจ้าให้ข้าคิดดูให้ละเอียด วันพรุ่งจะทำรายชื่อมาให้เจ้าดู แล้วค่อยพูดรายละเอียดกับเจ้าอีกครั้ง”
“สะใภ้ขอขอบคุณท่านแม่แทนท่านอาหญิงใหญ่เจ้าค่ะ!” เว่ยฉางอิ๋งรีบประสานมือคำนับ พลางเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
_________________________________________
[1] ยามสาม ช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.