ยอดสตรีฉางอิ๋ง – ตอนที่ 126 ซูอวี๋หลี

ตอนที่ 126 ซูอวี๋หลี

ตอนนี้ 126 ซูอวี๋หลี
Xiaobei
พลันได้ยินเสียงสาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างนอกนางหนึ่งเอ่ยอย่างกลัวๆ ว่า “คุณหนูใหญ่เจ้าคะ คุณหนูรองมาเจ้าค่ะ บอกว่าจะมาขอขมาฮูหยินและคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ!”

ซูอวี๋ลี่ตกตะลึงอยู่น้อยๆ จากนั้นก็มองไปทางตั่งพลางยิ้มเจื่อนๆ แล้วกดเสียงลงต่ำ กล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านดูสิเจ้าคะ น้องหญิงรองมาขอขมาแล้ว หากท่านไม่เห็นแก่สิ่งใด ก็โปรดเห็นแก่หน้าน้องหญิงรองเถิดเจ้าค่ะ เพราะอย่างไรน้องหญิงรองก็ให้ความสนิทสนมและเคารพพวกเราเสมอมา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยล่วงเกินพวกเรา ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจความหมายในคำพูดนางว่า นางเฉียนทำเรื่องผิดต่อบ้านสามมากมาย ซึ่งทุกคนในตระกูลซูล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา แต่ซูอวี๋หลีก็กลับให้ความเคารพและมีไมตรีจิตต่อคนทั้งบ้านท่านอาสาม หาได้เข้าไปร่วมการต่อสู้ระหว่างซูอวี๋เหลียงและซูอวี๋อู๋หรือรู้สึกขัดหูขัดตาบ้านสามเหมือนมารดาของนางไม่

หลานสาวที่เป็นคนเช่นนี้ และยังมาขอขมาด้วยตนเอง หากเว่ยเจิ้งอินซึ่งเป็นอาสะใภ้ยังคงถือสาหาความต่อไป เช่นนั้นก็ไม่ต่างอันใดกับนางเฉียนที่แอบให้ร้ายซูอวี๋ลี่อยู่เงียบๆ แล้ว

จากนั้น เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยเตือนไปด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “เวลานี้ลูกผู้พี่หญิงก็เสียเปรียบไปแล้ว หากท่านอาไม่ช่วยลูกผู้น้องชายห้าเอาคืนมาสักน้อย เช่นนั้นที่ลูกผู้พี่หญิงทนยอมเสียเปรียบครานี้ก็มิใช่ว่าเสียเปล่าแล้วหรอกหรือเจ้าคะ?”

เว่ยเจิ้งอินตั้งสติอยู่หลายอึดใจ สูดหายใจลึกเป็นที่สุดแล้วถอนหายใจ กล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กดี มองทุกอย่างได้ชัดเจนเสียยิ่งกว่าข้าอีก! กลับเป็นข้าที่เลอะเลือนนัก”

“ท่านแม่ ท่านกล่าวสิ่งใดเจ้าคะ? ล้วนเป็นเพราะท่านรักลูก ลูกเข้าใจเจ้าค่ะ” ซูอวี๋ลี่รีบเอ่ย

เว่ยฉางอิ๋งก็บอกว่า “ความรักที่ท่านอามีต่อบุตรสาว จะบอกว่าเป็นการเลอะเลือนได้อย่างไรเจ้าคะ? ส่วนลูกผู้พี่หญิงก็สงสารท่านอา นับว่าเป็นมารดามีเมตตาบุตรสาวยอดกตัญญูจริงๆ เจ้าค่ะ! จะว่าไปแล้วข้าก็หวนนึกถึงภาพครั้งข้ายังอยู่ในเรือนตน พลันรู้สึกผิดจนไม่รู้จะเอ่ยเช่นใด ข้าเป็นลูกที่ห่างไกลกว่าที่ลูกผู้พี่เป็นมากมายนัก มักทำให้ท่านแม่เป็นทุกข์ ที่ใดจะน่ารักรู้ความได้สักหนึ่งในสิบของ ลูกผู้พี่หญิงเล่าเจ้าคะ?”

“เพียงจากคำพูดนี้ของเจ้า ครั้งเจ้าเป็นลูกก็คงไม่ต่างกันเท่าใด” เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “เจ้าพูดถูกต้องยิ่งนัก ข้ามีบุตรสาวที่ใจคอกว้างขวางเช่นนี้ ทั้งยังเหนือกว่าข้ามากมายนัก อันดับตระกูลกู้แห้งเมืองหลวงไม่สู้ตระกูลซูแห่งชิงโจวของข้า แล้วข้ายังต้องเป็นห่วงนางเรื่องใดอีก?”

ซูอวี๋ลี่เม้มปากยิ้ม กล่าวว่า “ก็มิใช่เป็นท่านแม่อบรมสอนสั่งลูกมาจนโตหรือเจ้าคะ? ยิ่งไปกว่านั้นวันหน้าลูกยังมีเรื่องที่ต้องให้ท่านแม่สอนสั่งอีกมากเจ้าค่ะ จะเหนือกว่าท่านแม่ที่ใดเจ้าคะ?”

นางสือโล่งใจ จึงยิ้มและเอ่ยเตือนว่า “ในเมื่อ ฮูหยินตัดสินใจได้แล้ว มิสู้เชิญคุณหนูรองเข้ามาพบ หาไม่แล้ว หากคุณหนูรองอยู่ข้างนอกผู้เดียวจะกลัวเอานะเจ้าคะ”

“เป็นดังนั้น” เว่ยเจิ้งอินพยักหน้า ยิ้มอย่างเย็นชาหนหนึ่ง กล่าวว่า “นางเฉียนให้บุตรสาวของนางมาขอขมา ก็มิใช่เพราะคิดว่าข้าจะไม่รักไม่สงสารหลานสาวเช่นเดียวกับนางหรอกรึ? ข้าก็จะไม่ไปพาลโกรธอวี่หลี นอกจากไม่พาลนางแล้ว ข้ายังจะให้อภัยนางให้มาก ให้นางมาอย่างหวั่นใจ แต่กลับไปอย่างวางใจ!”

จากนั้น คุณหนูรองซูอวี๋หลีก็เข้ามาขอขมาด้วยท่าทีหวั่นใจจริงดังว่า “ได้ยินว่าท่านอาสะใภ้สามล้มป่วย? ล้วนเพราะหลานไม่ดี เพราะลูกผู้พี่จะต้องไปตงหู จนทำให้พี่หญิงใหญ่ต้องออกเรือนเร็วขึ้น และทำให้ท่านอาสะใภ้…”

นางยังไมทันพูดจบ เว่ยเจิ้งอินที่นอนหนุนหมอนสองอันก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากแล้วไอไปสองหน พูดด้วยเสียงแหบว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ข้าก็คิดว่าเจ้าก็ดีๆ อยู่จะมาขอขมาอันใด? ที่แท้ก็ด้วยเรื่องนี้? เจ้าก็คิดมากเกินไปแล้ว ที่ข้าล้มป่วยกลับเป็นเพราะว่าสองวันนี้วางน้ำแข็งในห้องมากเกินไป รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย จึงต้องนอนพักสักหน่อย แล้วจะไปโทษเจ้าได้อย่างไร?”

ซูอวี๋หลีตะลึงงัน กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น พลันไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใด ซูอวี๋ลี่จึงว่า “จริงด้วย น้องหญิงรอง เจ้าคิดไปถึงที่ใดกัน? ท่านแม่นอนมาหนึ่งวัน เวลานี้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ลูกผู้น้องก็พาท่านอาหวงมา เจ้าก็รู้ว่าท่านอาหวงเคยร่ำเรียนวิชาแพทย์จากท่านหมอเทวดาจี้มาบ้าง อีกสักพักขอให้นางสั่งยาให้ คาดว่าวันพรุ่งท่านแม่ก็จะอาการดีขึ้นอย่างมากเป็นแน่”

“…หลานได้ยินว่าท่านแพทย์หลวงจี้ไม่อาจวินิจฉัยอาการป่วยของท่านอาสะใภ้สามได้ จึงนึกว่า…” เห็นชัดวา ซูอวี๋หลีเป็นคนซื่อๆ โกหกไม่เก่ง เพราะคำตอบของเว่ยเจิ้งอินแม่ลูกไม่เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ นางจึงจับต้นชนปลายไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ พูดไปครึ่งหนึ่งจึงพบว่าไม่ถูกต้อง พลันรู้สึกขัดเขินจนหน้าแดงไปหมด ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ทั้งลนลานไม่รู้ว่าควรทำเช่นใด

เมื่อเห็นว่าหลานสาวอ่อนต่อโลกเช่นนี้ เว่ยเจิ้งอินยิ่งรู้สึกภูมิใจในสายตาอันหลักแหลมของบุตรสาวตน ทั้งยังเกิดความรู้สึกสงสารหลานสาวคนซื่อที่ไม่เหมือนกับนางเฉียนผู้นี้ขึ้นมา กลับกลายเป็นว่าไม่อาจพาลโกรธนางได้จริงๆ นางกระแอมไอไปหนหนึ่ง และเป็นฝ่ายพูดไปเองว่า “ข้ารู้แล้ว สองวันก่อนพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้มาแจ้งกับข้าและท่านอาสามของเจ้าก็ส่งคนไปหารือกับตระกูลกู้เพื่อให้เปลี่ยนกำหนดวันแต่งงาน แล้วเจ้าก็นึกว่าที่ข้าป่วยนี้ เพราะข้าถือสาเรื่องนี้?”

ซูอวี๋หลีหน้าแดงไปทั้งหน้า พยักหน้าก็ไม่ใช่ส่ายหน้าก็ไม่เชิง เพียงแต่พูดอ้ำๆ อึ้งๆ ไปว่า “ล้วนเป็นเพราะหลาน หากไม่ใช่เพราะหลานแล้ว ท่านแม่ นางก็…พี่หญิงใหญ่ก็จะไม่… หลาน… สรุปก็คือเป็นเพราะหลาน จึงทำให้พี่หญิงใหญ่…”

เว่ยเจิ้งอินขัดคำพูดที่สับสนไปมาของนาง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “โอกาสไปสร้างผลงานที่ชายแดนในครานี้ เป็นหลายตระกูลร่วมมือกันจึงสามารถช่วงชิงเอามาได้ พี่ชายห้าของพวกเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วข้าจะไม่เข้าใจหัวอกของญาติผู้ใหญ่ตระกูลเฉียนได้อย่างไร? ตามหลักแล้วก็ควรเลื่อนกำหนดแต่งงานให้เร็วขึ้น เพื่อไม่เป็นการถ่วงเวลาทั้งเขาถ่วงเวลาทั้งเจ้า เพราะอย่างไรเมื่อจากกันครานี้ก็ต้องจากถึงสามปี ยามนี้เจ้าก็อายุสิบเก้าแล้ว อีกสามปีก็จะยี่สิบสอง หากปีนี้ไม่แต่งงาน แล้วค่อยมาออกเรือนอีกสามปีข้างหน้าก็จะช้าเกินไป เพียงแต่เรื่องใหญ่ในชีวิตของอวี๋ลี่หากต้องไปพูดกับตระกูลกู้ อย่างไรก็ตามพี่สะใภ้ใหญ่ก็ควรจะมาบอกกล่าวกับข้าและท่านอาสามของเจ้าสักคำ …ตัวข้า… ตอนที่รู้เรื่องหนแรกก็ไม่พอใจจริงๆ หาไม่ก็คงไม่ไปสอบถามเอากับแม่เจ้าที่บ้านใหญ่หรอก”

ซูอวี๋หลีได้ยินคำนี้ก็ยิ่งมีท่าทีไม่สงบเข้าไปอีก พลันคอตก กล่าวว่า “ท่านอาสะใภ้สาม หลานขอโทษท่านและพี่หญิงใหญ่ หากมิใช่เพราะกำหนดแต่งงานของหลาน ท่านแม่ก็จะไม่…”

“เจ้าฟังข้าให้จบก่อน” เว่ยเจิ้งอินส่ายหน้าให้นาง สูดหายใจสองสามหนจึงพูดต่อว่า “ไม่พอใจนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่แม่เจ้าก็จัดการเรื่องนี้ไปแล้ว ทางตระกูลกู้ล้วนรับปากว่าจะรับพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเข้าบ้านให้เร็วขึ้นแล้ว แต่ข้าจะไปพูดอีกไม่ได้หรือ? ทว่าหากทำเช่นนั้นก็จะถ่วงเวลาเจ้า และทำให้ตระกูลกู้รู้ว่าพวกเราสองบ้านมีเรื่องบาดหมางกัน แล้วจะทำไปไย? พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้าก็เสียเปรียบไปแล้ว ย่อมไม่อาจให้เจ้าต้องเสียเปรียบอีกคน… คุณหนูสองคนในบ้านเราต้องมาเสียเปรียบด้วยกัน กลับทำให้คนภายนอกหัวเราะเยาะเอา มันคุ้มกันหรือ?”

ซูอวี๋ลี่เม้มปากยิ้ม กล่าวว่า “ครานี้ กู้จื่อหมิงแห่งตระกูลกู้ก็ต้องไปชายแดนล่าช้า เพราะต้องสมรสกับพระธิดาเฉิงเสียนก่อน ลูกคิดว่าเวลานี้ตระกูลกู้จะต้องสงสารลูกเป็นแน่ เรื่องนี้หากว่ากันตรงๆ แล้ว คนที่มีเหตุผลก็จะเข้าใจได้ ส่วนคนที่ไม่มีเหตุผล ลูกก็จะทำเป็นไม่ได้ยินเป็นพอแล้วเจ้าค่ะ”

ซูอวี๋หลีกลับรู้สึกผิดจนเกือบร้องไห้ออกมา “พี่หญิงใหญ่…”

“สรุปก็คือ ข้าคิดว่าไม้ก็กลายเป็นเรือแล้ว เรื่องนี้ก็ให้เป็นดังนี้เถิด” เว่ยเจิ้งอินบอกออกมาก่อนว่าบุตรสาวของนางต้องทนเสียเปรียบเพื่อซูอวี๋หลี จากนั้นก็กลับกลายมาปลอบนางว่า “ดีที่ตระกูลกู้แห่งเมืองหลวงก็เป็นเพียงตระกูลใหญ่เท่านั้น พี่หญิงใหญ่ของพวกเข้ากลับเป็นถึงบุตรสาวสายหลักแห่งตระกูลสูงศักดิ์ มีฐานะตระกูลของบ้านเราค้ำคออยู่ คิดว่าโดยส่วนตัวแล้ว พวกคนตระกูลกู้คงแค่พูดนั่นนี่สักคำสองคำ คงไม่ถึงกับกล้ามารังแกนางหรอก”

แล้วว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนซื่อ มีผู้ใดไปบอกเจ้าใช่หรือไม่ว่าอาสะใภ้สามโกรธด้วยเรื่องนี้จนล้มป่วย เจ้าจึงได้มา?”

ซูอวี๋หลีรีบตอบว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เป็นหลาน…”

“อย่าไปใส่ใจคำคนพวกนี้” เว่ยเจิ้งอินเอ่ยอย่างเป็นห่วงเป็นใย “พวกเราล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน! แม้จะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้าง ก็เพราะว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ ล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงลำบาก เมื่อครู่นี้เจ้าก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่า แม่ของเจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า คำนี้ถูกต้องนัก ข้าไม่ได้ถือสาเรื่องนี้ ว่ากันตามตรงก็ล้วนเพื่ออวี๋ลี่และอวี๋อู่ …พวกเจ้าเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่เติบโตมาด้วยกัน ย่อมไม่มีเหตุผลใดให้ต้องมาแตกหักกันด้วยเรื่องเสียเปรียบเพียงเรื่องสองเรื่อง หากต่างฝ่ายต่างไม่ถอยไม่ยอมให้กัน แล้วจะเป็นคนครอบครัวเดียวกันได้อย่างไร? เจ้าว่าใช่หรือไม่?”

“ท่านอาสะใภ้สามกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ” ซูอวี๋หลีก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา แล้วพลันน้ำตาร่วงลงมาหนึ่งหยด ตกลงบนหลังมือนาง

เว่ยเจิ้งอินจึงว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดจึงมาร้องไห้เสียแล้ว?” แล้วถอนหายใจ กล่าวว่า “เอาล่ะ ที่ข้าพูดเรื่องนี้กับเจ้า ก็เพื่อไม่ให้เจ้าต้องไปคิดมากอีกแล้ว กลับมิใช่เพราะเรื่องอื่นใด ยามนี้เจ้าก็จวนจะออกเรือนแล้ว อาสะใภ้สามเองก็เป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ต่อให้เป็นคนที่ปกติแล้วมีจิตใจกว้างขวางเพียงใด แต่ยามใกล้ออกเรือนก็มักจะคิดเล็กคิดน้อยไปหมด เมื่อครู่นี้ ลูกผู้น้องเว่ยของเจ้าก็เพิ่งจะเล่าความรู้สึกก่อนนางออกเรือนให้อวี๋ลี่ฟังไปสองสามคำ จนทำให้อวี๋ลี่ร้องไห้เสียแล้ว!”

“เคยอยู่กับตักสิบกว่าปี พริบตาแต่งเข้าบ้านผู้อื่น นับแต่นี้ไปก็น้อยนักจะได้มาอยู่ปรนนิบัติต่อหน้าบิดามารดา ย่อมต้องรู้สึกสะท้อนใจยากสงบ” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยพลางถอนหายใจ “ดีที่ลูกผู้พี่ทั้งสองล้วนแต่งอยู่ที่เมืองหลวง อยู่ใกล้บ้านนัก ไปมาสะดวก ดีกว่าข้ามากนัก”

“เรื่องของเจ้านั้นก็มีเหตุผลอยู่” เว่ยเจิ้งอินเอ่ย “ท่านพ่อเกิดป่วยกะทันหัน หาไม่แล้วยามนี้ก็คงยังไม่เกษียณตัวเอง หากเจ้าจะกลับบ้านก็สะดวกนัก”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านอากล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ จวนเว่ยห่างจากจวนราชครูไปไม่ไกลจริงๆ เจ้าค่ะ”

อาหลานทั้งสองหัวร่อต่อกระซิกกันสองสามคำ ซูอวี๋ลี่อาศัยจังหวะนี้ลากซูอวี๋หลีไปปลอบข้างๆ

รอจนซูอวี๋หลีสงบลงแล้ว เว่ยเจิ้งอินจึงเรียกนางเข้ามาสั่งความว่า “เจ้าจงทำใจให้สบาย ฟังข้าว่า เพราะกำหนดแต่งงานเลื่อนเข้ามา ทั้งยังติดต่อกันสองงาน ในบ้านต้องวุ่นวายมากๆ ดังนั้นเกรงว่าทั้งแม่เจ้าและข้าจะไม่ทันมีเวลามาอบรมพวกเจ้า คนเช่นบ้านเราไม่เหมือนกับตระกูลทั่วๆ ไป พิธีออกเรือนต้องจัดออกมาอย่างยิ่งใหญ่ ถึงวันนั้น ทั้งชุดแต่งงานและมงกุฎดอกไม้ของพวกเจ้าก็จะหนักนัก แต่กลับต้องใส่ไว้ทั้งวัน ยิ่งไปกว่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องขัดเขิน วันนั้นก็ต้องน้ำสักหยดไม่แตะข้าวสักเม็ดไม่ต้อง หากไม่ดูแลร่างกายให้ดี แล้วต้องประคองตัวไว้ทั้งวันก็ย่อมลำบากอย่างยิ่ง”

เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ซึ้งเป็นที่สุด จะว่าไปข้าก็ฝึกวรยุทธมาแต่เล็ก นึกว่าจะมีเรี่ยวแรงดีกว่าสตรีทั่วไป ปรากฏว่าในวันที่ออกจากบ้านที่เฟิ่งโจววันนั้น หากมิได้พี่ชายแบกข้าไว้ข้างหลังแล้วส่งขึ้นเกี้ยว ข้าเดินไปแค่ครึ่งหนึ่งก็เดินไม่ไหวแล้ว ภายหลัง ระหว่างทางข้าก็บังคับให้พวกท่านอายอมรับปากให้ข้าสวมเสื้อผ้าธรรมดา เมื่อมาถึงเมืองหลวง ในวันเข้าบ้านก็ทำเอาข้าเหนื่อยแทบแย่! ยามท่านพี่ออกไปคารวะสุรา แล้วพวกพี่สะใภ้และน้องสามีมาอยู่เป็นเพื่อน พี่สะใภ้ใหญ่ถามข้าว่าอยากกินอะไรสักเล็กน้อยหรือไม่ อย่าว่าแต่ปฏิเสธเลย แม้แต่คำพูดเกรงอกเกรงใจข้าก็ยังไม่สนใจ อดรนทนไม่ไหวและรีบร้องบอกว่าอยากในทันใดเชียว!”

คำพูดนี้ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมา ซูอวี๋หลีเองก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เหนื่อยเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ?”

“ลำพังแค่มงกุฎดอกไม้ทองคำแท้ฝังอัญมณีก็นักหลายสิบจินแล้ว ยังไม่นับเครื่องประดับอื่นๆ และดอกไม้อัญมณีแต่งผมอีก” เว่ยฉางอิ๋งบอก “ชุดแต่งงานอย่างน้อยก็นักหลายสิบจิน และยังมีเครื่องประดับอื่นๆ อีก เมื่อสวมใส่จนครบก็แทบจะยกแขนไม่ขึ้น ยิ่งไม่ต้องบอกว่าวันนั้นต้องตื่นมาแต่งหน้าทำผมตั้งแต่เช้ามืด แล้วยังกินอะไรไม่อีก …ท้องว่างๆ แล้วต้องเข้าทำพิธีต่างๆ ทั้งวัน ก็มิใช่ว่าต้องทั้งเหนื่อย ทั้งง่วง ทั้งหิวหรอกหรือ?”

“พวกเจ้าก็อย่างถูกนางทำให้ตกใจเสียเล่า” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของซูอวี๋ลี่และซูอวี๋หลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เว่ยเจิ้งอินจึงเอ่ยต่อไปว่า “ฉางอิ๋งบอกว่าเรี่ยวแรงและความอดทนของนางแข็งแกร่งกว่าสตรีทั่วไปเพราะนางฝึกวรยุทธ นี่เป็นเรื่องจริง แต่พวกเจ้าลองคิดดูว่าในใต้หล้านี้มีคนตั้งมากมายออกเรือน ในตระกูลสูงศักดิ์ของพวกเราก็มีอยู่ไม่น้อย ก็มิเห็นว่ามีเจ้าสาวบ้านใดที่เกิดเรื่องระหว่างงานนี้? ดังนั้นต่อให้พวกเจ้าเป็นคุณหนูผู้ดีที่บอบบางก็จะทนได้แน่”

ซูอวี๋หลีอดไม่ไหว จึงบอกว่า “แต่ว่าน้องฉางอิ๋งล้วนบอกว่าเหน็ดเหนื่อยนัก แล้วพวกเราจะทนไหวได้อย่างไรเจ้าคะ?”

“มีคำกล่าวว่ายามคนเราเจอเรื่องน่ายินดีก็จะสดใสกระปรี้กระเปร่า” เว่ยเจิ้งอินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ฉะนั้น ในวันงานไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเหน็ดเหนื่อยทั้งสิ้น แต่ว่า ทุกคนล้วนอดทนไหว!”

คำพูดนี้ทำเอาซูอวี๋ลี่และซูอวี๋หลีพากันหาแดงหูแดงไปหมด ซูอวี๋หลีร้องเบาๆ ไปว่า “ท่านอาสะใภ้สาม!”

“แต่ก็ต้องบำรุงร่างกายให้ดี เจ้าดูข้าสิ สองวันมานี้เอาแต่อยากให้เย็นเกินไป ใช้น้ำแข็งมากไป ก็มิใช่ว่าปวดหัวเสียแล้ว?” เว่ยเจิ้งอินกล่าวว่า “ดีที่ไม่หนักหนา! ดังนั้นพอท่านแพทย์หลวงจี้มา แล้วข้านึกถึงน้ำขมๆ ขึ้นมาก็รู้สึกเบื่อ จึงรำคาญจะให้เขามาตรวจดู …อวี๋ลี่ก็เป็นกังวล จะต้องให้ห้องครัวไปต้มยามาให้ได้ ทำเสียจนทั้งห้องมีแต่กลิ่นยา ข้ายิ่งไม่อยากดื่มเสียยิ่งกว่าเก่า! โชคดีที่ยามนี้ฉางอิ๋งพานางหวงมา หากมีทางที่ไม่ต้องดื่มยาได้ก็จะดี …สองวันมานี้อาการร้อนอบอ้าวนัก พวกเจ้าอย่าเอาอย่างข้าเชียว อดทนสักหน่อย อย่ามาล้มป่วยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เอาได้ รู้แล้วหรือไม่?” พอดีถือโอกาสกลบเกลื่อนเรื่องที่ซูอวี๋หลีสงสัยเมื่อครู่นี้ไปด้วย

ซูอวี๋หลีเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจวา “ขอบพระคุณท่านอาสามที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ! ยามนี้ข้ารู้สึกว่าหีบน้ำแข็งในห้องกำลังดี แต่กลับไปวันนี้ คิดว่าคงต้องใส่น้ำแข็งน้อยลงสักหน่อยเจ้าค่ะ”

“พวกเจ้ายังสาว ความร้อนเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังพอทนได้ ทว่าร่างกายของสตรีเป็นธาตุหยิน ควรจะอยู่ร้อนสักหน่อย อย่าถูกความเย็นให้มากไป…” เว่ยเจิ้งอินกำชับทั้งบุตรสาวและหลานสาวด้วยความห่วงใยและมีเมตตาว่าให้รักษาร่างกายให้ดี…..

___________________________________________

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

ยอดสตรีฉางอิ๋ง

Status: Ongoing
“ตอนนั้นท่านปู่จัดการหมั้นข้ากับสามีฝ่ายบู๊เพราะชะตาต้องกันเพียงคราเดียว!
ข้าไม่ร้องไห้โฮออกมาก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะให้มีความสุขทั้งสองฝ่าย?
ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ วันเวลาแสนหวานชื่นในอนาคตที่ข้าคิดว่าจะมีได้
ก็คือตีจนกว่าเขาจะต้องเชื่อฟังข้าไปทั้งชีวิต และไม่ทำให้ข้าต้องโมโห!
มีความสุขทั้งสองฝ่าย…ข้าจะไปชอบสามีเยี่ยมยุทธ์อย่างนั้นได้อย่างไร!
ข้ายังไม่ชอบเขา แล้วการที่เขาจะชอบข้าหรือไม่ ยังจะสำคัญหรือ?
ที่สำคัญก็คือ เขาต้องเชื่อฟังข้า!”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท