“บ้านตระกูลฮั่วนี่ก็ลงมือได้เรียบร้อยว่องไวจริง” หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว ฮูหยินกู้ก็พาฮั่วชิงหลิงลากลับไป ซ่งไจ้สุ่ยจึงพาเว่ยฉางอิ๋งกลับมาที่เรือนเจียนเจียที่ตนอยู่ แกะทับทิมไปพลางหัวเราะไปพลาง กล่าวว่า “สิ่งที่ต้องแลกมากับการปฏิเสธการแต่งงานกับราชสำนักยิ่งใหญ่เกินไป ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงอันจี๋ก็ไม่ได้เป็นที่รัก หลังจากอภิเษกแล้ว ขอเพียงควบคุมนางให้ดีๆ ไม่ต้องกลัวว่านางจะใช้ฐานะเชื้อพระวงศ์ไปกดขี่คนทั้งบ้านของพระสวามี ว่าแล้วก็ตอบรับไปเสียเลยดีกว่า เพียงแต่ ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเจ้าก่อปัญหาขึ้น พวกเขาเองก็ไม่อาจทนยอมขาดทุนไปเปล่าๆ ปลี้ๆ …เจ้าน่าจะฟังความหมายในคำพูดของนางออก?”
เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนาง พูดไปทั้งคิ้วยังขมวดไม่คลาย “ก็เพราะฟังออกจึงต้องมาปวดหัวเช่นนี้ …ท่านไม่รู้ว่าเดิมทีฮั่วเจ้าอวี้ผู้นี้เป็นหนึ่งในคนที่แม่สามีข้าหมายตาเอาไว้น้องสาวของสามีข้า! ครั้งแม่สามีข้ารู้ว่าข้าแนะนำเขาให้แก่ องค์หญิงอันจี๋ก่อนหน้านี้ก็ทำเอาข้าไม่เหลือหน้าตาไปคราหนึ่งแล้ว! หากมิใช่ว่ามีกวงเอ๋อร์ ก็ไม่รู้ว่าวันนี้ข้าจะกลับไปชี้แจ้งกับนางเช่นใด? เรื่องที่คอขาดบาดตายที่สุดในยามนี้ก็คือนัยยะในคำพูดของฮูหยินกู้ว่าต้องการให้ฮั่วชิงหลิงหมั้นหมายกับเหลี่ยนคุน น้องชายหกของข้านี่สิ…”
ซ่งไจ้สุ่ยตกตะลึงหนแล้วหนเล่า หัวเราะพู่ออกมาคราวหนึ่ง “สะใภ้เช่นเจ้านี่มันจริงๆ เชียว …แรกเริ่มก็แย่งตัวเลือกสามีที่แม่สามีหมายตาให้น้องสามีไปให้องค์หญิง แล้วเพราะเรื่องนี้ก็ต้องเอาน้องชายสามีไปชดเชยให้เขาอีก …หากข้าเป็นแม่สามีเจ้าต้องร้อนใจนักแล้ว”
เห็นนางยู้ปากแสดงท่าทีกลัดกลุ้ม ซ่งไจ้สุ่ยจึงปลอบโยนนาง “อย่างไรเสีย ฮูหยินกู้ก็เพียงเชิญเจ้ามาสอบถามดูความคิดเห็นของแม่สามีเจ้าเท่านั้น หาได้บอกให้เจ้ารับประกันเรื่องใดไม่ อีกประการเมื่อครู่ข้าก็เพิ่งบอกไป ตระกูลฮั่วไม่ต้องการให้ฮั่วเจ้าอวี้อภิเษกกับองค์หญิง พวกเราก็ไปบอกกับพวกผู้ใหญ่ให้ช่วยเขาปฏิเสธให้ก็เท่านั้น แต่นางก็ไม่เอานี่ จะว่าไปแล้วยามนี้เจ้าก็มิได้ติดค้างตระกูลฮั่วเรื่องให้แล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งทอดถอนใจ กล่าวว่า “ปัญหาคือท่านว่าข้าจะไปบอกกับแม่สามีอย่างไร? ลำพังแค่เรื่องฮั่วเจ้าอวี้จะสมรสกับองค์หญิงอันจี๋ข้าก็รู้สึกว่าไม่รู้จะเอ่ยปากกับนางอย่างไรแล้ว แล้วยังเรื่องแต่งงานของเหลี่ยนคุนอีก …ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินกู้ก็เพียงพูดอย่างเกรงใจเท่านั้น ก่อนหน้านี้ทั้งกริยาวาจาล้วนบอกว่าชีวิตนี้ของฮั่วเจ้าอวี้ถูกข้าทำลายเสียแล้ว หากข้าไม่ชดเชยให้ตระกูลฮั่วสักหน่อยแล้วจะสู้หน้าพวกเขาได้เช่นใด …ดีชั่วอย่างไร ตระกูลฮั่วก็อยู่ในชั้นตระกูลใหญ่ ทั้งฮั่วเจ้าอวี้ก็เป็นบุตรชายในสายหลัก ไม่ได้ขาดเหลือเงินทอง หากไม่ว่าตามนาง แล้วข้าจะชดเชยนางเช่นใด? รู้แต่แรกครั้งนั้นก็ยอมให้องค์หญิงชิงซินลงโทษ คุกเข่าสามชั่วยามอยู่ในจวนรุ่นอ๋องยังดีกว่ายามนี้เสียอีก”
“องค์หญิงตัวน้อยที่ไม่รู้ความนั่น! เป็นเพราะชาติก่อนฮองเฮากู้ทำเวรกรรมไว้จึงได้มีลูกเช่นนางกับองค์รัชทายาท ทางฝั่งของฮองเฮากำลังพยายามผูกมิตรกับ ตระกูลสูงศักดิ์อย่างเต็มกำลัง แต่พวกเขาพี่น้องก็เอาแต่ใช้อำนาจบาตรใหญ่” ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะคราวหนึ่ง กล่าวว่า “ทว่าเจ้าเองก็ไม่มีเรื่องใดต้องกลัวกระมัง? ดีชั่วอย่างไร ยามนี้เจ้าก็มีหลานชายข้าอยู่ข้างกายแล้ว เมื่อครู่นี้ยังยอมรับอยู่เลยว่าเจ้าได้ดีเพราะลูก! ยามนี้ไยจึงกังวลเรื่องจะไปหาแม่สามีเสียแล้ว? มีกวงเอ๋อร์อยู่ เพื่อกวงเอ๋อร์ ต่อให้แม่สามีเจ้าจะโกรธเจ้าเพียงใดก็จะต้องไว้หน้าเจ้าอยู่บ้าง เจ้าน่ะ วางใจแล้วไปบอกอย่างใจกล้าเถิด! ข้าเดาว่าแม่สามีเจ้าไม่มีสิ่งใดให้โกรธหรอก เจ้าเองก็ยังบอกว่าฮั่วเจ้าอวี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกที่แม่สามีพิจารณาให้น้องสามีเจ้าเท่านั้นนี่ หากไม่มีคนผู้นี้สักคน ก็มิใช่ว่ายังมีผู้อื่น? หาใช่ว่าต้องเป็นเขาเสียให้ได้เมื่อใด น้องสามีเจ้าก็ถึงวัยที่ต้องพูดเรื่องแต่งงานแล้ว ความจริงน่าจะมีการกำหนดเอาไว้นานแล้ว ที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ หากมิใช่ว่าแม่สามีเจ้ามีตัวเลือกที่ดีกว่า ก็ต้องเพราะรู้สึกว่าฮั่วเจ้าอวี้ยังมีคุณสมบัติไม่ครบ”
“ส่วนเรื่องของฮั่วชิงหลิงนั้น น้องชายสามีเจ้าผู้นั้นก็มิใช่เป็นเพียงบุตรของอนุเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นทายาทของตระกูลเสิ่นก็มีตั้งมากมาย และทุกคนล้วนแต่งกับบุตรสาวจากภรรยาเอกในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์ และก็ต้องให้แต่ละบ้านมีบุตรสาวมากพอให้พวกเขาแต่งงานด้วยนะ! และมิใช่ว่าบุตรสาวจากภรรยาเอกของทุกตระกูลจะล้วนรอให้ตระกูลเสิ่นไปเลือก! น้องสะใภ้สี่ของเจ้าก็มิใช่ว่ามีชาติกำเนิดในตระกูลใหญ่? นางยังเป็นถึงสะใภ้ใหญ่ของจวนเซียงหนิงปั๋วเชียวนะ! ฮั่วชิงหลิงก็มิได้มีสิ่งใดด้อยกว่าเผยเหม่ยเหนียงผู้นั้นสักหน่อย ต่อให้การแต่งงานครานี้ไม่อาจเป็นไปได้ ก็ไม่นับว่าเป็นการลบหลู่ตระกูลเสิ่น อีกประการข้าดูว่าฮูหยินกู้หวังให้บุตรสาวได้แต่งงานดีๆ แม่สามีเจ้าไม่ชอบฮั่วชิงหลิง เช่นนั้นเจ้าค่อยไปเลือกคนดีๆ ในบ้านอื่นให้นางก็แล้วกัน ในเขตทะเลมีตระกูลสูงศักดิ์ตั้งหกตระกูล! ฮั่วชิงหลิงเกิดในตระกูลใหญ่ ทั้งหน้าตากริยามารยาทล้วนพอใช้ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้วาสนากับทั้งหกตระกูล”
เมื่อซ่งไจ้สุ่ยให้กำลังใจดังนี้ เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง จึงเอ่ยถามถึงซ่งอวี่วั่ง “วันนี้ท่านลุงก็ไม่อยู่บ้านหรือเจ้าคะ? ข้าทานอาหารเย็นแล้วก็จะกลับ ไม่รู้ว่าจะได้พบท่านลุงหรือไม่?” ครั้งเสิ่นซูกวงครบเดือน ซ่งอวี่วังย่อมไปเยี่ยมหลานตา ทว่าอยู่แต่ในงานเลี้ยงในเรือนหน้า ได้ยินมาว่าในงานเลี้ยงเขายังเอาหลานตาไปอุ้มด้วย เว่ยฉางอิ๋งอยู่แต่ในโถงด้านหลัง จึงยังไม่ได้พบกับลุง
ซ่งไจ้สุ่ยได้ฟังแล้วบอกว่า “ข้าเองก็คิดว่าวันนี้เจ้าน่าจะได้พบกับท่านพ่อเสียที ระยะนี้ท่านพ่อไม่ได้มีกิจยุ่งเหมือนครั้งเจ้ามาเมื่อปีที่แล้วแล้ว อีกสักพักท่านก็จะกลับมาแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังแล้วรีบสำรวจดูเสื้อผ้าและเครื่องประดับของตนเอง ซ่งไจ้สุ่ยเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าเรียบร้อยดียิ่งนัก ไม่ต้องเป็นกังวล อีกประการท่านพ่อมาพบกับหลานลุง มิใช่ว่ามาดูเสื้อผ้าอาภรณ์เจ้า”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าก่อนหน้านี้ ครั้งท่านไปที่เฟิ่งโจว ก่อนจะเข้าไปในรุ่ยอวี่ถังจะไม่มาสำรวจเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนก่อน!” เว่ยฉางอิ๋งบ่น
ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะพลางว่า “เจ้าก็ไม่คิดเสียบ้างว่าครั้งอยู่ที่เฟิ่งโจวก่อนนี้ วันใดเจ้าไม่ทำให้ข้าต้องโมโหสามรอบห้ารอบ? ควรถึงคราวข้าได้อกได้ใจบ้างแล้ว!” แล้วยื่นนิ้วไปลากข้างแก้มคราวหนึ่ง หัวเราะหุๆ บอกว่า “วันหน้าจงเป็นลูกผู้น้องที่ดีแต่โดยดี ลูกผู้พี่จึงจะเอ็นดูเจ้า หาไม่แล้วดูซิว่าจะรังแกเจ้าอย่างไร!”
เว่ยฉางอิ๋งพูดอย่างตึงเครียดว่า “ท่านคิดเสียดีนัก! ข้ารู้แล้วข้าจะตอบโต้ท่านอย่างไร! ภายหลังเมื่อข้าได้พบกับท่านลุงก็จะร้องห่มร้องไห้ฟ้องท่านลุงว่าท่านรังแกข้า! ให้ท่านลุงจัดการท่านเลย!”
“เจ้าก็โตเพียงนี้แล้ว กระทั่งลูกคนโตก็อายุครบเดือนแล้ว” ซ่งไจ้สุ่ยทอดถอนใจ “เจ้ายังจะกล้าไปร้องห่มร้องไห้ฟ้องเรื่องลูกผู้พี่กับท่านลุงอีก เจ้าทั้งใจคดทั้งหน้าไม่อายเพียงนี้ แล้วคนเป็นลูกผู้พี่เช่นข้าจะยังทำอย่างไรได้อีก? หากเจ้าทำออกมาได้ ลูกผู้พี่ก็ได้แต่ต้องขอขมาเจ้าโดยดีแล้ว”
“ต่อให้โตอีกสักเท่าใด ยามอยู่ต่อหน้าท่านลุงข้าก็ยังเป็นหลานสาวอยู่ดี และยามอยู่ต่อหน้าท่านพี่ ข้ายังเป็นน้องสาวอยู่ดี” เว่ยฉางอิ๋งไม่ได้สำนึกว่าขายหน้าเลยแม้สักน้อย พลางเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ท่านพี่ท่านยังโตกว่าข้าเสียอีก ท่านยังมารังแกน้องสาวเช่นข้าอย่างไม่อายเลย แล้วเหตุใดข้าจะไปร้องห่มร้องไห้ฟ้องท่านลุงอย่างไม่อายบ้างไม่ได้เล่า?”
ซ่งไจ้สุ่ยเอ็ดไปว่า “เจ้าไปสิ! ดูซิว่าพอข้าเล่าเรื่องนี้ออกไป ทุกคนไม่หัวเราะเยาะเจ้าจนตายให้รู้ไป?”
“ทุกคนเยาะข้า แล้วท่านพี่ท่านจะไม่ถูกเยาะไปด้วยหรือ? จะว่าไปแล้วอย่างไรข้าก็เป็นลูกผู้น้องแท้ๆ ของท่านนะ!”
ในขณะที่ทั้งสองคนทั้งหัวเราะทั้งทะเลาะกันอยู่นั้น ชิวจิ่งก็มารายงานว่า “นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ได้ยินว่าคุณหนูผู้น้องอยู่ก็ดีใจนัก บอกว่าจะไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทางด้านหลังแล้วจะมาพบที่ศาลา ขอให้คุณหนูผู้น้องรอสักพักเจ้าค่ะ”
พอได้ยินคำ ทั้งสองคนก็รีบลุกขึ้นมา แล้วเรียกสาวใช้เข้ามาช่วยจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผม หันมาช่วยสำรวจดูซึ่งกันและกัน จากนั้นซ่งไจ้สุ่ยจึงนำเว่ยฉางอิ๋งไปรอที่ศาลา
——————————-