จางเสากวงจึงว่า “เจ้าเพียงแค่เตือนนาง ไม่ได้บอกนาง?”
หลิวรั่วเหยียเอ่ยยิ้มๆ “ลูกจะบอกนางทำสิ่งใด? ยามนี้ก็ยังไม่ถึงวันสักหน่อย หากบอกนาง แล้วนางได้ฟังก็เกิดอาละวาดขึ้นมา หมิ่นอีนั่วก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น อีกสองวัน หมิ่นอีนั่วไปหานาง ไม่แน่ว่าอาจยังสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้? ท่านแม่ก็รู้ว่าเว่ยฉางเจวียนกล่อมง่ายเพียงใด รอจนถึงวันแล้วผู้อื่นบอกกับนาง ถึงยามนั้นหมิ่นอีนั่วหรือจะผลักให้พ้นตัวได้? จะได้ทำให้เว่ยฉางเจวียนรู้ว่าผู้ใดจึงเป็นคนที่หวังดีต่อนางจริงๆ”
“ลูกข้าฉลาดจริงๆ” จางเสากวงชมเชยบุตรสาวอย่างพึงพอใจคำหนึ่ง แล้วว่า “ยามนี้มีเรื่องเข้ามาโจมตีทั้งจากภายในและภายนอก จึงไม่กลัวว่านางจะทำตามแผนการของเจ้า จะกลัวก็แต่หากวันหน้านางลากเจ้าลงน้ำไปด้วย หากเป็นดังนั้นก็จะเกิดความยุ่งยาก”
หลิวรั่วเหยียเม้มปากยิ้มเอ่ยว่า “หากนางอยากจะลากลูกลงน้ำไปด้วยก็ต้องมีปัญญาลากด้วยนะเจ้าคะ!”
ในขณะที่สองแม่ลูกกำลังสนทนากันอยู่ บ่าวที่รับใช้อยู่ในเรือนของจางเสากวงก็แอบออกนอกเรือนไป และไปยังบ้านหลังหนึ่งในตรอกหลังคฤหาสน์ซึ่งเป็นที่ที่พวกลูกบ่าวที่เกิดในเรือนอาศัยอยู่รวมกันเพื่อสั่งความสองสามคำ สักพักจากนั้น บ่าวผู้นั้นก็กลับมาดูแลรับใช้ต่อไป แล้วก็มีคนออกมาจากบ้านหลังนี้ เดินตัดไปมาตามถนนซอกซอยสักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีคนจับตาดูอยู่แล้ว ก็กลับวิ่งตรงไปยังคฤหาสน์ใกล้ๆ วังหลวงที่พวกข้าในวังซื้อหาเอาไว้
หลังเที่ยงวันนั้น พระชายาองค์รัชทายาท หลิวรั่วอวี้คอยปรนนิบัติฮองเฮาเสวยอาหารเที่ยงเรียบรอยแล้วก็กลับมาที่ตำหนักตะวันออก ระหว่างทางตอนที่ผ่านท้องพระโรงหลักก็ได้ยินว่าภายในมีเสียงเย้ายวนสะดีดสะดิ้งดังออกมาไม่หยุด คล้ายยังมีเสียงหัวเราะของสตรีอีกหลายคนอยู่ด้วย ในเสียงหัวเราะนั้นมีน้ำเสียกระเส่าเร้าร้อน นางกำนัลที่เดินตามมาล้วนไม่กล้าส่งเสียง ทว่าหลิวรั่วอวี้ก็แค่ยิ้มออกมา และยังคงเดินต่อไปโดยที่สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้สักน้อย เดินผ่านไปอย่างผ่อนคลายสบายใจ ความเบิกบานใจนานาในท้องพระโรงหลักนั้น สำหรับนางแล้วช่างบางเบาดังไยแมงมุม เพียงแค่เฉียดผ่านและไม่เหลือร่องรอยใดๆ
นางนั่งพักอยู่ในห้องนอนของตน ในขณะที่รู้สึกว่าวันคืนเช่นนี้ช่างน่าเบื่อหน่ายจริงๆ นางกำนัลที่อยู่ข้างนอกก็เข้ามาบอกเสียงเบาๆ ว่า “จวีจงมาขอพบพระชายาเพคะ”
“ให้เขาเข้ามาเถิด” หลิวรั่วอวี้หรี่ตาลง จวีจงผู้นี้เดิมทีเป็นขันทีที่คอยราดน้ำกวาดลานอยู่ในตำหนักตะวันออก นับแต่นางแต่งเข้าตำหนักตะวันออกมาก็ทดสอบบ่าวผู้นี้หลายครั้งและรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะสนับสนุนคนผู้นี้ จึงย้ายเข้ามาที่เรือนของตนเพื่อรับหน้าที่ดูแลต้นดอกเสาเย่าจำนวนหนึ่งเป็นพิเศษ
ความจริงแล้ว หลิวรั่วอวี้กลับไม่ได้ชอบดอกไม้ใบหญ้า ไม่ว่าจะดูแลต้นเสาเย่าสองสามต้นนี้อย่างไร จะดูแลมันจนตายหรือว่าผลิดอกเต็มต้น นางล้วนไม่ใส่ใจ …เรื่องที่ขันทีผู้นี้ต้องทำจริงๆ ก็คือมาช่วยนางรับและส่งข่าวทั้งในและนอกวัง …แม้แต่คฤหาสน์ที่ซื้อไว้ข้างนอกวังหลวงก็เป็นหลิวรั่วอวี้ให้เงินไปซื้อ
หลิวรั่วอวี้ก็ไม่ได้มีข่าวคราวอื่นใดที่ต้องส่งไปมาอย่างปิดบัง นอกเสียจากสืบดูความเคลื่อนไหวของนางจางแม่ลูก
ประเด็นนี้ บ่าวคนรู้ใจที่ดูแลอยู่ข้างกายต่างรู้กันดี
เมื่อจวีจงเข้าไปก็คำนับนาง เขารู้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทไม่ชอบให้ร่ำไร หลังจากถูกเรียกให้ลุกขึ้นมาแล้วก็รายงานในทันใด “…ฟ้าสางจึงกลับมา บอกว่าไปค้างที่หมู่บ้านนอกเมืองมาคืนหนึ่ง แต่จางผิงบอกว่าบนรถม้าคันนั้นไม่มีร่องรอยของใบไม้ใบหญ้า ดูสะอาดสะอ้านคล้ายกับไม่เคยออกไปนอกเมืองมาเช่นนั้นพะยะค่ะ พระชายาก็ทรงทราบว่ายามนี้ดอกไม้ใบหญ้ากำลังแตกดอกออกใบ ตามหลักแล้วหากออกนอกเมือง ไม่ว่าจะไปที่หมู่บ้านใด อย่างไรก็ต้องผ่านที่ที่มีใบหญ้ารกสูงขึ้นมาถูกตัวรถ ไม่น่าถึงกับสะอาดปานนี้ ฉะนั้นจางผิงจึงเดาว่า หลิวรั่วเหยียต้องไปที่อื่นมาแน่ เพียงแต่ปิดบังนายท่านเอาไว้เท่านั้นพะยะค่ะ”
ในเมื่อรู้ว่าหลิวรั่วอวี้ชิงชังรังเกียจน้องสาวต่างมารดาเสียอย่างยิ่ง พวกของจวีจงย่อมทำตามความประสงค์ของนาง ยามเอ่ยถึงหลิวรั่วเหยียแม่ลูกล้วนเรียกขานนามไปตรงๆ
ปรากฏว่าหลิวรั่วอวี้ล้วนไม่ได้โกรธแม้สักน้อยที่จวีจงเรียกขานนามของหลิวรั่วเหยียตรงๆ นางสงบนิ่งอยู่เนิ่นนานจึงว่า “นางจะไปที่ใดได้บ้าง? จางผิงรู้หรือไม่?”
“จางผิงอาศัยจังหวะที่หลิวรั่วเหยียและจางเสากวงกำลังสนทนากันลอบออกมาส่งข่าว จากนั้นก็กลับเข้าไปรับใช้ต่อ นางว่าก่อนนี้หลิวรั่วเหยียเคยไปที่จวนเว่ยหลายครั้ง ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับคุณหนูเจ็ด ตระกูลเว่ยหรือไม่พะยะค่ะ” จวีจงเอ่ย “ก่อนหน้านี้จวนเว่ยล้วนอ้างว่าคุณหนูเจ็ดของพวกเขาสุขภาพไม่ใคร่ดีและปฏิเสธจะพบกับหลิวรั่วเหยียตลอดมา กลับเป็นคุณหนูหมิ่นซึ่งเป็นคุณหนูอีกท่านหนึ่งที่สนิทสนมกับคุณหนูเจ็ดตระกูลเว่ยคล้ายว่าไม่ได้ถูกกีดกันไปด้วย และเคยเข้าออกมาหลายคราแล้ว และด้วยเหตุนี้ ไป่ฮวาสาวใช้ประจำตัวของหลิวรั่วเหยียยังเคยแอบด่าทอตระกูลเว่ยเป็นการส่วนตัวว่าไม่รู้จักดีชั่ว คุณหนูหมิ่นผู้นั้นเป็นเพียงบุตรีตระกูลใหญ่ และเป็นหลานตายายของตระกูลตวนมู่เท่านั้น แต่ตระกูลเว่ยกลับต้อนรับนางเข้าบ้าน แต่กลับปิดประตูให้หลิวรั่วเหยียอยู่ภายนอก”
หลิวรั่วอวี้ได้ฟังก็หัวเราะหยันไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “นับว่าตระกูลเว่ยมีสมอง รู้ว่าควรหลบเลี่ยงดาวมฤตยูนี่น่ะสิ? น่าสงสารเสียจริง! แม้แต่นางตวนมู่ก็ยังต้องชดเชยด้วยชีวิต ปรากฏว่าบุตรสาวของนางก็ยังคงเลอะเลือนเช่นนี้! ในเมื่อหลิวรั่วเหยียไปค้างแรมมาหนึ่งคืนจึงกลับไป ก็แน่นอนว่าวันก่อนนั้นต้องไปที่จวนเว่ยมา แล้วใช้วิธีหลบเลี่ยงหูตาผู้คนเข้าไปพบกับเว่ยฉางเจวียน ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังกล่อมเว่ยฉางเจวียนสำเร็จแล้ว จึงยอมให้นางค้างด้วยหนึ่งคืน!
นางนิ่งคิดอยู่พักใหญ่จึงกล่าวว่า “หากไปค้างที่จวนเว่ยจริงดังว่า แม้เว่ยฉางเจวียนจะให้นางค้างอยู่ด้วยทั้งยังช่วยนางปกปิดอำพราง นั่นก็นับว่าเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรคนอื่นๆ ในตระกูลเว่ยก็หาได้เลอะเลือนถูกกล่อมเอาง่ายๆ เช่นเว่ยฉางเจวียน หากถูกพบเห็นขึ้นมา หลิวรั่วเหยียจะต้องหาทางแก้ตัวไม่ได้แน่! หากมิใช่เรื่องสำคัญจริงๆ หลิวรั่วเหยียจะต้องไม่ยอมเสี่ยงเช่นนี้! เพียงแต่นางวางแผนใดอยู่กันแน่?”
จวีจงจึงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “พระชายาพะยะค่ะ บ่าวเดาว่าอาจเกี่ยวข้องกับหลิวรั่ววั่วกระมังพะยะค่ะ?”
“นับไปนับมา พวกนางแม่สองแม่ลูกก็หวังให้หลิวรั่ววั่วมาแทนที่พี่ชายสิบหก” หลิวรั่วอวี้ลดขนตาลงต่ำ กล่าวว่า “ตามหลักแล้วคงจะเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง ทว่า…ที่แท้แล้วจะทำการใด?”
คำถามนี้จวีจงกลับไม่กล้าและไม่อาจตอบได้ ภายในห้องเงียบงันไปพักหนึ่ง หลิวรั่วอวี้ขบริมฝีปากขบคิด ‘ได้ยินมาว่าเว่ยฉางเจวียนยังเยาว์เบาปัญญา เรื่องที่นางจะทำได้ก็มีไม่มากเลย นางเป็นบุตรสาวตระกูลเว่ย ชิงชังทุกคนที่เฟิ่งโจวและเว่ยฉางอิ๋งยิ่งนัก หากจะบอกว่าหลิวรั่วเหยียคิดยุยงนางให้ไปทำร้ายคนเหล่านี้ …แต่ทั้งสองฝ่ายก็หาใช่คนโง่ จะยอมให้นางเข้าใกล้ได้ที่ใด? ส่วนถ้านางต้องการไปจัดการผู้อื่น ประโยชน์ที่เว่ยฉางเจวียนพอจะทำได้ก็มีไม่มากเลยจริงๆ นี่นา? ทว่าหลิวรั่วเหยียใช้เวลาตั้งหลายปีไปตีสนิทกับเว่ยฉางเจวียน ย่อมต้องเล็งเห็นบางสิ่งในตัวนาง …เป็นสิ่งใดกัน?’
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกผลักเปิด องค์รัชทายาท เซินสวินสวมกางเกงสีแดงเข้ม ท่อนบนเปลือยเปล่า คลุมเสื้อสีน้ำตาลอ่อนบนไหล่เอาไว้หลวมๆ พลางเดินเข้ามา เมื่อครู่นี้คล้ายว่าเขาจะเย้าหยอกก็สนมครึกครื้นเกินไปสักหน่อย ยามนี้กว้านทองบนหัวจึงเบี้ยวไปครึ่งหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลายังแดงระเรื่อ บนใบหน้ายังคงมีรอยชาดติดอยู่หลายแห่งอย่างชัดเจน
เขาเดินเข้ามาในสภาพที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นไอราคะ แต่กลับมองไปยังจวีจงและพวกนางกำนัลอย่างไม่ยี่หระแกมเหยียดหยามที่หันมามองตนด้วยความตื่นตะลึงลนลาน หลังจากนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งจึงหมอบตัวลงคำนับเขาด้วยความหวาดกลัว
และเห็นว่าหลิวรั่วอวี้ลุกขึ้นมาต้อนรับตนด้วยท่าทีไม่เป็นปกติ เซินสวินสังเกตดูจวีจงที่ยืนตรงหน้านางห่างออกไปหลายก้าว แค่นเสียงหัวเราะออกมาคราวหนึ่ง แล้วสะบัดมือให้พวกนางกำนัลออกไปให้หมด รอจนเหลือเพียงสองคนอยู่ในห้องบรรทมแล้ว เซินสวินก็ลูบใต้คาง มองหลิวรั่วอวี้อย่างพินิจพิเคราะห์แล้วกล่าวว่า “ข้าก็นึกว่าที่เจ้าเรียกขันทีเข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ เพราะหลายวันมาแล้วที่ข้าไม่ได้มาหาเจ้าที่นี่ เจ้าทนความเหงาไม่ไหว จึงไปหาขันทีมาเล่นบทรักปลอมๆ เพื่อคลายเหงา ที่แท้กลับเพราะมีเรื่องอื่น?”
_____________________________