ซูจ้านหันไปมองเสิ่นเผยซวนด้วยสีหน้าตกตะลึง นี่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือยังไง เขาถึงได้มีเรื่องจะมาถามตัวเองแบบนี้
ปกติเขาว่าเป็นคนที่ทนตัวเองไม่ได้มาโดยตลอด หรือว่าดวงจันทร์ที่เมืองY กับ ประเทศZมันไม่เหมือนกัน จะทำให้คนนิสัยเปลี่ยน
” มึงพูดมาสิ ”
พอเขาสบตาซูจ้าน ‘ ที่ดูคิดไม่ซื่อ ‘ เท่าไหร่ เคงขาก็เลยเกินคำถามที่อยากพูดลงไปเหมือนเดิม ถ้าเขาพูดเรื่องที่ซางหยูจูบเขากับซูจ้านละก็ ซูจ้านต้องหาเรื่องแซวและหัวเราะเยาะเขาแน่
จึงรีบเปลี่ยนเรื่องที่จะพูด ” เรื่องนั้นน่ะ ผู้หญิงที่ชื่อฉินเยี่ยนเยี่ยน นายไม่ได้สังเกตเหรอ เธอสวยไหมล่ะ ”
เสิ่นเผยซวนลงน้ำเสียงหนักคำว่าฉิน มันอยากจะให้เขารู้ตัว
แต่จุดสนใจของซูจ้านดันไปอยู่ที่ความสวยของผู้หญิงคนนั้นทั้งหมด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสิ่นเผยซวนพูดชมผู้หญิงคนหนึ่ง
เขาจึงขำเหอะๆ น้ำเสียงดูเย็นชา
เสียงหัวเราะของเขาทำให้เสิ่นเผยซวนประหลาดใจ ในใจก็เริ่มกลัว ” มึงขำอะไรวะ ”
” กูขำที่มึงกับจิ่งห้าวถูกผู้หญิงคนนั้นทำให้สับสนน่ะสิ ” เขาใช้แรงตีเข้าไปที่เสิ่นเผยซวน ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง ” เชื่อกูสิ ถ้ามึงไม่คบก็เด็กมัธยมนั่น มึงจะไม่ได้อยู่ในสังคมนี้อีกเลย หลอกง่ายก็จริง แต่มึงของควบคุมตัวเองไม่ได้หรอก อย่าคิดไปเชียว ”
เสิ่นเผยซวน ” ….. ”
ที่มันเตือนก็ชัดเจนอยู่หรอก
หรือว่าไอ้บ้านี่สมองจะใส่แต่ขี้ลงไป
ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะสบถออกมา แต่ไอ้บ้านี่มันซื่อบื้อตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ซื่อบื้อจนไม่มียาไหนรักษาได้แล้ว!
” ไม่พูดละ กลับไปหาเหล้ากินดีกว่า ” เสิ่นเผยซวนไม่อยากคุยกับซูจ้านแล้ว เพราะเขาเกรงว่าตัวเองจะโกรธจนหัวระเบิดตายซะก่อน
ซูจ้านก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ว่าจงจิ่งห้าวไปทำอะไรกันแน่ ก็เลยถามขึ้นว่า ” มึงไม่อยากรู้เหรอวะว่าจิ่งห้าวไปไหน ”
เสิ่นเผยซวนปรายตามองเขา ” มึงคิดว่าตอนนี้มันสนใจเรื่องอะไรล่ะ ”
ซูจ้านคิดอยู่สักพัก ” หรือว่าที่ไปกะทันหัน เพราะไปหาพี่สะใภ้เหรอ ”
เสิ่นเผยซวนคิดในใจ ว่าสมองมันยังไหวอยู่นะเนี่ย ยังรู้ว่าจงจิ่งห้าวให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร ความคิดก็ยังปกตินี่ แต่ทำไมเป็นเรื่องของตัวเอง ถึงให้ดูโง่ขนาดนี้
” มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดเหรอ เอาเบาะแสมาจากไหน ” ซูจ้านงงไปพักใหญ่ จากนั้นก็เดาขึ้นมาว่า ” หรือว่าเขาจะแอบให้คนไปสืบ ”
เสิ่นเผยซวน ” …… ”
ซูจ้านไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าสงสารและสมเพชของเสิ่นเผยซวน อย่าพูดเองเออเองว่า ” โคตรแย่เลยว่ะ แม้กระทั่งพวกเราสองคนยังปิดบังได้ลงคอ เนี่ยเราเห็นว่ามันเสียใจ ก็ว่าจะไปสืบให้ แล้วดูสิ ใครจะไปรู้ว่าตัวเองจะไปสืบหาเรียบร้อยเสียแล้ว ”
” คนอื่นเขายังใส่ใจเรื่องภรรยาตัวเองเลย แล้วมึงอ่ะ ” เสิ่นเผยซวนอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
เมื่อพูดถึงฉินยาท่าทีและสีหน้าของซูจ้านก็ไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนเมื่อกี้ แต่ตอบออกมาอย่าห่อเหี่ยว ” มึงก็ใช่ว่าไม่รู้สถานการณ์ของกูตอนนี้ ตอนนั้นก็ปิดบังที่อยู่ของฉินยากับกู เบาะแสเดียวที่จะรู้ได้ก็คือที่อยู่ของพี่สะใภ้ ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธออยู่ที่ไหน กูก็ไม่กล้าออกไปหา เพราะกลัวว่าจะทำเธอตกใจ กูกลัวเธอเห็นกูแล้วจะไปกระตุ้นความรู้สึกและอารมณ์ ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอีก ”
เขาหันไปมองหน้าเสิ่นเผยซวน ” เผยซวนกูปวดใจว่ะ ”
เสิ่นเผยซวนจิ๊ปาก ” มึงไม่ต้องพูดอะไรล่ะ ไปกินเหล้าดีกว่า ”
ในฐานะพี่น้อง เขาจะพยายามพูดเตือนเป็นนัยๆ ให้มันรู้ตัวมากที่สุด เพราะมันไม่ยอมคิดไปทางนั้น ก็จะไม่โทษมันแล้วกัน
เมื่อพวกเขากลับถึงโรงแรมแล้ว ก็สั่งเหล้ามากินกันที่ห้อง จากนั้นก็ดื่มกันจนเมาและเมามากเสียด้วย
พอเช้ามาก็ตื่นกันไม่ไหว ชายสองคนคนหนึ่งนอนทิ้งตัวอยู่บนโซฟา ส่วนอีกคนก็นอนแผ่หราอยู่บนพื้นไม่พูดไม่ถามกันสักคำ พวกเขาต่างคนต่างหลับใหล เมื่อตื่นมาก็หัวค่ำแล้ว ทั้งสองล้างหน้าล้างตา ก่อนจะซื้อตั๋วเครื่องบินเตรียมกับประเทศ
แต่อีกฝั่งหนึ่ง จงจิ่งห้าวพักผ่อนที่โรงแรมละแวกสนามบินเมืองY หนึ่งคืน พอหัวเช้าก็เตรียมขึ้นเครื่องไปเมืองCพอถึงช่วงเวลาบ่ายสี่โมงเย็นเครื่องบินก็ลงจอดที่ประเทศZ เมืองC
เวลานี้ท้องฟ้ายังสว่างไสว ดวงอาทิตย์ยังคงแผ่แสงแยงตา แต่อากาศก็ไม่ร้อนเท่าตอนกลางวัน ถึงจะยังงั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนอบอ้าว
โดยปกติแล้วไม่ว่าจงจิ่งห้าวจะไปไหนก็มีคนติดตามมาด้วย เสื้อผ้าเครื่องใช้ที่อยู่ก็มีคนจัดเตรียมให้โดยที่เขาไม่ต้องพะวงอะไร ครั้งนี้เขามากะทันหันเกินไป นอกจากเขาคนเดียวแล้วก็ไม่ได้พกอะไรมาอีกเลย เป็นเพราะอากาศที่ร้อน ร่างกายที่สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว คอเสื้อเปิดออกเล็กน้อย ด้วยความที่นั่งเครื่องบินเป็นเวลานาน เสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่บนร่างกายจึงยับยูยี่อย่างรุนแรง ส่วนสูทตัวนอกก็พาดอยู่บนแขนขวา เขาสาวเท้าผ่านกลุ่มคนที่เดินไปเดินมาอยู่ในสนามบิน
ในสนามบินผู้คนคับคั่ง ดังนั้นรถแท็กซี่ที่ต้องการรับผู้โดยสารก็มีมาก หน้าประตูเต็มไปด้วยรถคันที่ว่าง เพื่อรอรับผู้โดยสารกลุ่มที่กำลังจะมาถึง
จงจิ่งห้าวจึงเดินมาขึ้นรถแท็กซี่ที่ขึ้นง่ายที่สุด แล้วบอกสถานที่ที่จะไป
ไม่นานนักคนขับรถก็ขับออกไป ผ่านไปสักพักรถก็มาจอดอยู่ที่แถบทางเข้าคอนโดหย่งจิ่งเหอฟู๋ จงจิ่งห้าวหยิบเงินจากในกระเป๋าตังค์ให้คุณลุงคนขับรถ กระเป๋าสตางค์หนึ่งใบกับโทรศัพท์หนึ่งเครื่อง คือสัมภาระทั้งเนื้อทั้งตัวที่เขาพกมา
ขอบเปิดประตูและลงจากรถ แถวหน้าทางเข้ามีไม้กระดกกั้นรถตั้งอยู่ และมีป้อมพนักงานรักษาความปลอดภัย ด้านบนเป็นแท่นหินสูงตรง ถูกแกะสลักดป็นหย่งจิ่งเหอฟู๋ สี่ตัวอักษรใหญ่ๆ เข้ายืนอยู่ตรงทางเข้า แต่ก็มีบางคราที่คิดว่าไม่กล้าเหยียบเท้าเข้าไป
เพราะเขาไม่รู้ว่าหากจู่ๆ ตัวเองปรากฏกายต่อหน้าเธอ แต่พูดอะไรกับเธอดี
มันจะเกิดขึ้นหรือไม่ ในใจก็สับสนไปหมด
คำตอบก็คือไม่ได้ เรื่องของเหวินชิงยังจัดการไม่จบสิ้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะแสดงสีหน้ายังไงเมื่อพบกับเธอ ไม่รู้ว่าคำแรกควรจะพูดกับเธอยังไงดี
จนมาถึงวินาทีนี้ ในใจของเขามันได้ก่อเกิดความสับสนขึ้น ถึงได้รู้ว่าทำไมเธอถึงต้องไป
ถ้าเธอไม่ได้จากเขาไป เวลานี้ ไม่ว่าจะเธอหรือเขา ก็คงจะเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมอย่างที่สุด
ได้คิดถึงก็ยังดีกว่าเจอหน้าแล้วไม่พูดจา
” หม่ามี๊ คุณน้าเยี่ยนเยี่ยนจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะคะ ” จงเหยียนซีถาม เพราะว่าใบหน้าและทุกอย่างของฉินยาได้เปลี่ยนไปแล้ว เธอเลยเปลี่ยนชื่อ หลังจากนั้นเด็กทั้งสองก็เรียกได้ถนัดมากขึ้น เรียกได้เป็นธรรมชาติมากกว่าคุณน้าฉินยา เสียอีก
หลินซินเหยียนเพิ่งออกมาจากโรงปักผ้า จากนั้นก็ไปรับลูกทั้งสองจากโรงเรียนเตรียมอนุบาล พอค่ะกลับพวกเขาก็แวะห้างสรรพสินค้า เป็นเพราะว่าห่างจากที่อยู่ไม่มาก พวกเขาก็เลยไม่ต้องขับรถ อีกอย่างเมื่อเดินไปตามทางก็มีต้นเมเปิ้ลแผ่กิ่งก้านปกคลุมเป็นเงาระหว่างที่เดินกลับ จงเหยียนเฉินจูงมือจงเหยียนซีแกว่งไปแกว่งมา ที่หลังยังแบกกระเป๋าที่ในนั้นมีตำราเรียนแสนง่าย เป็นตำราที่ต้องใช้ในระหว่างเรียน
” น่าจะใกล้ถึงแล้วจ้ะ พรุ่งนี้ก็คงกลับมาแล้วล่ะ ” หลินซินเหยียนได้รับสายของฉินยา พอรู้เรื่องฟังนู้นแล้ว หลังจากที่งานเสร็จสิ้น ก็ยังมีเรื่องมากมายที่ต้องจัดการ ดังนั้นก็เลยไม่ได้กลับมาทันที
ในมือของเธอถือของพะรุงพะรัง
เพราะลูกทั้งสองของเธออยากกินเกี๊ยวน้ำ หลินซินเหยียนจึงซื้อแป้งเกี๊ยวน้ำกับเนื้อสัตว์ เพื่อที่จะเตรียมกลับไปทำให้พวกเขากิน
เมื่อได้ยินเสียงแว่วมาจงจิ่งห้าวที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าก็หันหน้ามาดู ห่างออกไปไม่ไกลก็เป็นเงาของเด็กสองคนและผู้ใหญ่อีกหนึ่งคน สะท้อนเข้ามาในม่านตาของเขา
ลูกทั้งสองคนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป จงเหยียนเฉินสวมเสื้อแขนสั้นสีขาว และกางเกงสีครีม รองเท้าสวมเป็นผ้าใบสีขาว ส่วนจงเหยียนซีใส่ชุดเดรสที่มีลูกไม้สีชมพูอยู่ด้านข้าง และใส่รองเท้ามีสายที่ขอบมีเพชรเล็กๆ ประดับอยู่ เคยให้เห็นเท้าขาวเล็กๆ นั้นครึ่งหนึ่ง สองพี่น้องจูงมือกันดูรักใคร่กลมเกลียว
เมื่อเทียบกับจงเหยียนเฉินแล้ว จงเหยียนซีจะอยู่ไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ เวลาจะเดินก็ต้องกระโดดไปเหยียบใบไม้เล่นไปมา
หลินซินเหยียนก็ใส่เดรสผ้าชีฟองเช่นกัน ที่เอวยังใส่เป็นเข็มขัดเส้นเล็กๆ มัดเป็นโบ ทิ้งตัวลงไปด้านขวา ก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นท้องที่นูนออกมา แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังตั้งท้องอยู่ พอลมพัดมาตามแรงลมนั้น ทำให้ผ้าแนบลงไปบนร่างกาย ยิ่งเห็นชัดไปกันใหญ่ และเปิดให้เห็นแขนเรียวขาว ที่กำลังซื้อของอยู่ เธอก้มหน้าลงไปมองลูกทั้งสอง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ ออกมา