เมื่อจงเหยียนเฉินกำลังจะเดินไป หลินซินเหยียนที่อยู่ในครัวก็ตะโกนเรียกเขา ” เหยียนเฉิน ลูกมาช่วยหม่ามี๊หน่อยได้ไหมจ๊ะ ”
” ได้ครับ ” จงเหยียนเฉินเดินเข้าไปในครัว หลินซินเหยียนจึงชี้ไปยังหอมเล็กที่อยู่ในตะกร้าจ่ายตลาด ” ลูกช่วยหม่ามี๊ ปอกหอมเล็กหน่อยได้ไหมจ๊ะ ”
จงเหยียนเฉินหยิบพร้อมๆ ขึ้นมา แล้วใช้ท่าทางตอบกลับหลินซินเหยียน
รอจนจงเหยียนเฉินปอกหอมเล็กเสร็จ หลินซินเหยียนก็ต้มเกี๊ยวสุกแล้ว เธอจึงหยิบหอมเล็กที่ลูกชายบอกเรียบร้อยแล้ว น้ำมาล้าง จากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วก็วางไว้ในชาม จากนั้นก็เอาน้ำซุปของเกี๊ยวเทลงใส่ชามโดยตรง จากนั้นเธอก็ใส่กุ้งแห้งและน้ำมันหมูพร้อมกับหอมเล็กที่หันเป็นชิ้นเล็กเมื่อกี้ลงไป จากนั้นก็ตักน้ำซุป ไปผ่านน้ำร้อนสักพัก แล้วค่อยตักเกี๊ยวใส่ชาม แค่นี้เกี๊ยวน้ำก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
” ไปล้างมือแล้วมากินข้าวจ้ะ ” หลินซินเหยียนพูดกับลูกชาย เธอหยิบชามที่ตัดเกี๊ยวน้ำใส่ลงไปแล้ววางบนจานรอง เวลายกจะได้ไม่ลวกมือ
จงเหยียนเฉินทำจมูกฟุดฟิด ก็ได้กลิ่นหอม แล้วก็ลืมเรื่องที่จะไปดู ‘ คนบ้า ‘ ที่ว่านั่นแล้ว เด็กน้อยเดินไปล้างมือแล้วนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร รอที่จะกิน
เป็นเพราะว่าใส่น้ำมันหมูเลยทำให้น้ำซุปหอมขึ้น อีกทั้งใส่กุ้งแห้งลงไปจึงเพิ่มรสชาติเหมือนอาหารทะเลเข้าไปด้วย และแผ่นเกี๊ยวที่ใช้โซดาช่วยจึงทำให้มีความนุ่มเด้ง หลินซินเหยียนตักเกี๊ยวให้ลูกของเธอทั้งสองก่อน จากนั้นที่เหลืออีกชามก็ปากแล้วยกไปให้ช่าวหยุน ” ถ้าไม่พอกินก็บอกนะคะ เดี๋ยวฉันจะทำให้คุณต่างหาก ”
หลินซินเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าจะกลับมาพร้อมฉินยา ดังนั้นก็เลยไม่ได้เตรียมไว้เยอะ แต่ก็ยังกลัวว่าชามเดียวเขาจะกินไม่อิ่ม
ช่าวหยุนโบกไม้โบกมือ ยิ้มแล้วพูดว่า ” ไม่ต้องหรอกไม่ต้อง บนเครื่องบินฉันก็กินมานิดหน่อยแล้ว แค่นี้ก็พอแล้วแหละ แต่เป็นฉันต่างหากที่มาแย่งพวกเธอกินน่ะ ”
แล้วเขาก็มองไปที่เด็กน้อยทั้งสองแล้วถามขึ้นมา ” พวกเธอกินพอหรือเปล่า ”
จงเหยียนซีทำท่าเลียปาก ในใจเกิดความคิดบางอย่าง เด็กน้อยยิ้มหวานหยาดเยิ้มแล้วมองไปที่ช่าวหยุน พูดจาปากหวานราวกับน้ำผึ้ง ” คุณปู่ช่าว อีกสักพักหนูกินเกี๊ยวเสร็จแล้ว ถ้าหนูไปเดินเล่นหน่อยได้ไหมคะ ”
เด็กน้อยอยากกินไอติม แต่หลินซินเหยียนไม่ยอมซื้อให้เธอกิน เพราะว่ามันเย็นเกินไปไม่ดีต่อระบบย่อยอาหาร แต่ยังไงเด็กน้อยก็ยังอยากกินอยู่ดี
จงเหยียนเฉินมองปร๊าดเดียวก็รู้ทันว่าน้องสาวตัวเองคิดจะทำอะไร ก็เลยพูดขึ้นมาว่า ” ผมก็อยากไปเหมือนกัน พาผมไปด้วยนะครับ ”
เด็กชายก็อยากกิน โดยเฉพาะกินของร้อนเข้าไปแบบนี้ ก็ยิ่งอยากกินไอติมเข้าไปใหญ่
หลินซินเหยียนขมวดคิ้ว ” พวกลูกแต่ละคนนี่อยากจะทำอะไรกันอีกล่ะ หืม ”
” ไอ้หยา กินเข้าไปตั้งเยอะก็อยากไปเดินย่อยข้างนอกนี่คะ ” จงเหยียนซีทำปากจู๋ หันไปมองจงเหยียนเฉินแล้วพูดต่อ ” ใช่ไหมคะพี่ชาย ”
จงเหยียนเฉินสนับสนุนทันควัน ” ใช่แล้วครับ กินข้าวเสร็จแล้วไปเดินย่อยมันดีต่อสุขภาพมากเลยนะครับ ”
หลินซินเหยียนเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ถูกช่าวหยุนสกัดเอาไว้ ” ไอ้หยา เด็กสองคนก็อยากออกไป ก็ไปเถอะหน่า มีฉันทั้งคนเธอไม่วางใจหรือไง ”
ช่าวหยุนพูดออกมาขนาดนี้แล้ว เธอคงพูดอะไรต่อไม่ได้ เมื่อกินข้าวกันเสร็จแล้ว หลินซินเหยียนเก็บกวาดโต๊ะอาหารชามและตะเกียบ ช่าวหยุนก็เอายูเอสบีอันหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ” ฉันให้คุณบันทึกบรรยากาศในงานมา เธอว่างก็ลองดูแล้วกัน บรรยากาศวันงานคึกคักมาก เธอไม่ไปมันน่าเสียดายจริงๆ นะ ”
ที่เขามาก็เพื่อจะส่งของชิ้นนี้ให้กับหลินซินเหยียน พอคิดก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ” ไม่เข้าใจเลยจริงๆ เธอลำบากตรากตรำทำงานนี้มาตั้งสองเดือนเต็มๆ จนสุดท้ายมันก็สำเร็จ ทำไมไม่ยอมเปิดเผยหน้าตาสักหน่อยล่ะ ”
หลินซินเหยียนก้มหน้า ไม่ได้อธิบายอะไรต่อแค่ตอบเสียงเนิบๆ ” อย่าพาเด็กๆออกไปนานนักล่ะ รีบกลับมานะคะ ”
ช่าวหยุนตอบรับ ” ได้เลย ”
หลินซินเหยียนยกชามไปไว้ในครัว เด็กทั้งสองก็ใส่รองเท้าด้วยตัวเอง ตอนนี้ไม่ต้องให้ใครช่วยเหลือแล้ว เพราะต่างคนต่างดูแลตัวเองได้
ช่าวหยุนพาพวกเขาไปข้างนอก ตอนที่ลงลิฟต์ก็พูดขึ้นมาว่า ” พวกเธอจะขายยาอะไรในน้ำเต้าอีกล่ะ (คิดจะทำอะไรกันแน่) ”
ตั้งแต่รู้จักเด็กทั้งสองคนมา เดินเล่นกันเหรอ ไม่น่าใช่พวกเด็กๆ น่าจะมีแผนอะไรมากกว่า
จงเหยียนซีหัวเราะคิกคัก ก่อนจะคว้ามือช่าวหยุน แล้วเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาด้วยท่าทีออดอ้อน ” พวกเราไม่ใช่หมอ จะขายยาได้ยังไงกันคะ พวกเราแค่อยากกินไอติมเฉยๆ เอง ”
ช่าวหยุนรูปหัวเด็กน้อย ” ฉันรู้แล้วแหละว่าพวกเธอกินข้าวเสร็จคงไม่มาเดินเล่นหรอก เอะอะว่างทีไรก็ขลุกตัวอยู่ในบ้านดูแต่ทีวี จะให้พวกเธอออกมา ก็บอกว่าอะไร ร้อนบ้างล่ะ แล้วตอนนี้อยากกินไอติมก็ไม่ร้อนแล้วว่างั้นสิ ”
” ไอติมมันเป็นของเย็นนะครับ แน่นอนว่ากินก็ต้องไปร้อนอยู่แล้วล่ะ ” จงเหยียนเฉินพูดขึ้นมา
เมื่อมีเสียงติ๊ง เวลานี้รีบก็หยุดลง ช่าวหยุนถ้าเด็กทั้งสองออกมาจากลิฟต์ เขายิ้มแล้วก็ลูบหัวจงเหยียนเฉินอย่างเอ็นดู ” ถือว่าเธอช่างพูดแล้วกันนะ ”
เมื่อออกไปนอกคอนโดแล้วสายตาของจงเหยียนซีก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่กำลังรับโทรศัพท์อยู่ริมถนน ถึงผู้ชายคนนั้นจะหันหลังให้กับเธอ ไม่ได้เห็นหน้า แต่เด็กน้อยก็จำได้ว่าแผ่นหลังนี้เป็นของใคร เด็กน้อยอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกคำว่าแด๊ดดี้ออกมาดังๆ
จงจิ่งห้าวที่กำลังโทรหากวนจิ้งอยู่ เมื่อได้ยินเสียงก็หันกลับมา จึงเห็นว่าหน้าคอนโดมีเด็กน้อยทั้งสองคนยืนอยู่ จงเหยียนซีปล่อยมือออกจากช่าวหยุนแล้ววิ่งตรงไป ในขณะที่วิ่งก็ตะโกนเรียกพ่อไปด้วย
” ระวัง ” ช่าวหยุนตะโกนบอกเด็กน้อย จะวิ่งข้ามไปฝั่งโน้นได้ต้องผ่านถนนไปเสียก่อน ซึ่งอันตรายมาก
ขนาดนี้ไม่ไกลนักมีรถที่กำลังบึ่งมาด้วยความเร็ว จงเหยียนซีไม่ทันได้เห็น เพราะใจเอาแต่จดจ่อที่จะพุ่งไปหาจงจิ่งห้าวเท่านั้น สองเดือนแล้วในที่สุดเด็กน้อยก็ได้เจอพ่อ เธอกลัวว่าหากช้าไปกว่านี้พ่อของเธอจะหายวับไป
เธอต้องการพ่อ ส่วนเรื่องไอติมได้ลืมไปหมดแล้ว และไม่สนใจทั้งนั้นว่าจะอันตรายหรือไม่
ด้วยความที่รถขับมาด้วยความเร็ว จึงไม่ได้ระวัง ว่าข้างถนนมีคนพุ่งออกมา คนขับรีบเหยียบเบรกอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นแล้ว รถก็ไม่สามารถหยุดได้ทันที สายตาคนขับก็เห็นว่าอีกนิดก็จะชนเข้าแล้ว แต่ในขณะที่เป็นเส้นยาแดงผ่าแปดก็เห็นเงาของใครบางคน เคลื่อนตัวด้วยความเร็วราวกับสายลมผ่านหน้ารถ และคว้าร่างน้อยๆ นั้นออกจากหน้ารถไป เด็กน้อยถูกคว้าตัวออกเพียงเสี้ยววินาที รถผ่านตัวพวกเขาก็อย่างเฉียดฉิว
เพียงเสี้ยววิเท่านั้น หากช้ากว่านี้ จงจิ่งห้าวก็คงถูกรถคันนั้นชนไปแล้ว รถขับไปได้ไหมไกลก็หยุดจอด ช่าวหยุนรีบพุ่งตัวไปยังรถ แล้วถีบเข้าเต็มแรง ก่อนจะด่าคนขับยกใหญ่ ” ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือเลยวะ ใกล้ทางเข้าคอนโดขับเร็วขนาดนี้ อยากตายหรือไง! ”
คนขับรถตกใจมาก เพราะเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีคน พุ่งมากลางถนน
เมื่อเห็นว่าคนขับรถไม่แสดงท่าทีใดๆ ช่าวหยุนก็ถีบลงไปอีกหนึ่งที จนประตูรถยุบลงไปเป็นหลุม ” ถ้าไม่อยากตาย ก็ลงมาจากรถเสียดีๆ ”
คนขับรถตกใจจนหน้าซีดปากสั่น เปิดประตูรถลงมาด้วยสีหน้าซีดเผือด
ช่าวหยุนปกติเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ดูไม่มีนิสัยดุดันแต่อย่างใด แต่พอโกรธขึ้นมาก็เป็นระเบิดได้เช่นเดียวกัน ประเด็นก็คือใครคนนั้นได้เหยียบเส้นที่เขาขีดเอาไว้แล้ว
จงเหยียนซีคือใครอะ นั่นเป็นลูกของหลินซินเหยียน แล้วหลินซินเหยียนคือใคร เธอคนนั้นก็คือลูกสาวของพี่ชายที่เขาเคารพมาโดยตลอด อีกนิดเดียวเพราะไอ้คนคนนี้ ทำให้ต้องเกิดเรื่องอันตรายขึ้น ทำไมเขาถึงจะโกรธไม่ได้ล่ะ
ถ้ามีอันตรายขึ้นมาจริงๆ เขานี่จะรับผิดชอบยังไง
ส่วนทางนี้ จงจิ่งห้าวก็อุ้มจงเหยียนซีที่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อมาไว้ในอ้อมอก ผ่านไปพักใหญ่เด็กน้อยก็ยังไม่หายตกใจ ยังคงตาค้างปากค้างอยู่อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าคงตกใจอยู่ไม่น้อย
จงจิ่งห้าวหนูไปที่แผ่นหลังของเด็กน้อย แล้วพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ” ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร แด๊ดดี้อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัว ”
เสียงร้องของจงเหยียนซี ทำให้ช่าวหยุนที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟดึงสติกลับมาได้ แล้วมองไปที่คนขับรถด้วยสายตาดุดัน ” ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงปล่อยแกปางปางตายไปแล้ว ฉันสั่งให้แกยืนอยู่ตรงนี้ แล้วอย่าหนีไปไหน เพราะหน้าคอนโดที่นี่มีกล้องวงจรปิด ”
พูดจบช่าวหยุนก็รีบวิ่งมาดูจงเหยียนซี เวลานี้เธอทิ้งตัวอยู่ในอ้อมกอดของจงจิ่งห้าวแล้วร้องไห้เสียงดัง เอาแต่ร้องวอแวว่า ” แด๊ดดี้หนูกลัว ”
จงจิ่งห้าวจุ๊บไปที่แก้มของเด็กน้อย เพราะเธอร้องไห้จนหน้าอาบไปด้วยน้ำตา รสชาติที่ติดอยู่ที่ปากก็จะออกเค็มๆ หน่อย เขาไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด แต่กลับเต็มไปด้วยความปวดใจ จึงเอาริมฝีปากแนบไปที่ห่างตาของเด็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปลอบใจว่า ” ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวนะ แด๊ดดี้อยู่ตรงนี้ ”
เมื่อได้ยินคำว่าแด๊ดดี้สองคำนี้ จงเหยียนซีก็ร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม ในใจเต็มไปด้วยความสะเทือนใจ