” ประธานจงรู้จักผู้หญิงในรูปนั่น หรือว่าสนใจเธอกันแน่ ” หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์โน้มตัวลงไปเก็บเอกสารที่โปรยอยู่บนพื้น และก็ยังมีบัตรเชิญใบนั้นอีกด้วย นี่คือบัตรที่เพื่อนเป็นคนมอบให้หล่อน เลยหนีบไว้ในเอกสารจนลืมเอาออก พอถึงเวลาประชุม ไม่ทันได้ระวังก็เลยทำเอกสารตก ทำให้จงจิ่งห้าวที่มาร่วมประชุมถึงกับชะงัก หล่อนจึงถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
หล่อนถือเอกสารที่เพิ่งเก็บขึ้นมา ในมือหนีบบัตรเชิญเอาไว้ ดูอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนจะยื่นให้จงจิ่งห้าว ” อันที่จริงฉันแต่งงานแล้ว ชุดแต่งงานก็คงไม่ต้องใช้แล้วล่ะ ถ้าได้ไปเห็นชุดแต่งงานที่สวยกว่า ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองจะปวดใจจนเปลี่ยนสามีใหม่หรือเปล่า ถ้าไม่งั้นให้ประธานจงไปจะดีกว่าค่ะ ”
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ ค่อยจัดการปัญหาที่รับมือยากภายในบริษัท หล่อนจึงมีความสามารถในการสำรวจและทำความเข้าใจอารมณ์และสีหน้าได้อย่างละเอียด
ถึงแม้จงจิ่งห้าวจะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาว่าอยากได้ แต่หล่อนก็พอจะดูออกอยู่บ้าง ว่าเขาสนใจคนในบัตรเชิญนั้น ไม่งั้นก็คงไม่ชะงักอย่างที่เห็น
จงจิ่งห้าวไม่เกรงใจ จึงยื่นมือไปรับมันเอาไว้ ” ขอบคุณครับ ”
ในฐานะหญิงวัยกลางคนอายุสี่สิบปีที่เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ หล่อนไว้ผมสั้นจัดทรงประณีตเรียบร้อยดูกระฉับกระเฉง ใส่ชุดทางการดูมืออาชีพ เดินตามเขาเข้าห้องทำงานไป แต่ก็โพล่งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ” ประธานจงรู้จักผู้หญิงในนั้นเหรอคะ ”
ยังไม่ทันไรเลยชอบคนใหม่ซะแล้วเหรอ ครั้งที่แล้วผู้หญิงคนนั้นที่เปิดตัวต่อหน้าพนักงานในบริษัท ก็ไม่ได้หน้าตาแบบนี้นี่
” ทำไมเรื่องส่วนตัวของผม ถึงได้รับความสนใจจากคนอื่นได้ขนาดนี้ล่ะครับ ” จงจิ่งห้าวสีหน้าดูไร้อารมณ์ มองหล่อนเนิบๆ
หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ยิ้มแหยๆ แล้วหัวเราะ ” นิสัยอยากรู้อยากเห็นก็เป็นธรรมชาติของผู้หญิงนี่คะ ฉันก็เหมือนกัน ถึงแม้ประธานจงจะทำเหมือนฉันเป็นผู้ชายก็ตาม ” พูดจบหล่อนก็นั่งลงบนที่นั่งของตัวเอง จงจิ่งห้าวเป็นคนที่ใช้งานใครไม่สนว่าเป็นชายหรือหญิง แค่มีความสามารถที่พร้อม เขาก็จะมอบหมายและภารกิจที่สำคัญที่เหมาะสมให้
ว่าแล้วเขาก็ก้มหน้าลงไปมองผู้หญิงที่ใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงในบัตรเชิญ สายตาดูไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
หลังจากที่ฉินยาได้ศัลยกรรมใบหน้าเสร็จแล้ว หมอก็ส่งรูปหลังผ่าตัดให้เขาดู ดังนั้นเขาก็เลยรู้ว่าหน้าตาของฉินยาในตอนนี้เป็นอย่างไร ถึงแม้จะต่างกับเมื่อก่อนลิบลับ แต่หากเคยดูรูปภาพการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว ก็ยังพอจะดูออกอยู่บ้าง
หลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาลแล้วก็หายสาบสูญไปเลย เท่าที่เขาเดาน่าจะอยู่ด้วยกันกับหลินซินเหยียน ถึงในบัตรเชิญจะไม่มีแม้แต่เงาของหลินซินเหยียน แต่เขารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวโยงกับหลินซินเหยียนอย่างแน่นอน
จากนั้นเขาก็ให้กวนจิ้งเอาบัตรเชิญไปวางไว้ที่ห้องทำงานของเขา จากนั้นก็ลากเก้าอี้ห้องประชุมตรงกลางออกแล้วนั่งลง แล้วเริ่มประชุมของวันนี้
ภายในนั้นพนักงานระดับสูงเป็นร้อยกว่าคน นั่งตัวตรงแด่ว สำหรับพวกเขาแล้ว ทุกครั้งที่มีการประชุมเหมือนกับสมรภูมิที่โหดร้ายและทารุณ พวกเขากลัวที่จะพูดผิด กลัวที่งานของพวกเขาจะทำให้หัวหน้าไม่พอใจ และกลัวว่าทุกครั้งที่เริ่มประชุมมันจะไม่จบไม่สิ้น ถ้าได้นั่งแล้วก็ยิงยาวไปหลายชั่วโมง นั่งนานจนริดสีดวงแทบจะออกมาอยู่แล้ว จะให้พวกเขามีชีวิตต่อได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงกลางคนนั้น มักจะใจแคบกับพวกเขาเสมอ แม้กระทั่งรอยยิ้มก็ไม่เคยจะมีให้ ชอบทำให้พวกคนข้างล่างนี้รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรบางอย่างผิดมา จนทำให้เขามีใบหน้าและอารมณ์ที่กลายเป็นภูเขาน้ำแข็งเช่นนี้
แต่อันที่จริงแล้ว ถึงงานของพวกเขาจะทำออกมาอย่างเพอร์เฟค ก็ไม่มีทางที่จะได้รับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยก็ได้รับคำชม ยังดีกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนทำงานเสร็จเรียบร้อยก็ไม่โดนว่า แต่ถ้าทำงานที่เขามอบหมายให้ไม่เรียบร้อย หรือคุณภาพงานที่ทำออกมาไม่ตรงตามที่เขาต้องการแล้วละก็ ก็จะโดนด่าต่อหน้าทุกคนเป็นชุด และไม่มีการไว้หน้าใดๆ ทั้งนั้น
ถึงว่าตอนนี้ก็ดีขึ้นมาแล้วมากโข
แค่นี้พวกเขาก็พอใจแล้ว แต่แค่แอบภาวนาในใจเงียบๆ ให้ช่วงเวลาตอนนี้จบสิ้นเสียที ให้พวกเขามีความรู้สึกที่ว่า เทวดากำลังทะเลาะกัน จึงทำให้นักโทษที่ตกเป็นเบี้ยล่างนั้นเป็นอิสรภาพอะไรประมาณนั้น
การประชุมครั้งนี้ก็ไม่ได้ยืดยาวอะไรมาก ภายในสองชั่วโมงทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
จงจิ่งห้าวเดินออกจากห้องประชุมไปก่อน กวนจิ้งจึงเดินตามหลังเขาออกไป ก่อนจะรายงานตารางงานในวันนี้ ” ตอนกลางวันมีนัดเจอกับผู้ว่าการธนาคารถังที่ร้านอาหารเจียงเยว่ ตอนบ่ายสามมีนัดคุยเรื่องการรับซื้อกับประธานแห่งจงเหลียง และกลางคืนประมาณสองทุ่มมีงานดื่มฉลองการกุศล ให้ผมหาคนมาคู่กับคุณเพื่อออกงานไหมครับ ”
เบอร์ปกติแล้วงานแบบนี้จะต้องไปเป็นคู่ มีทั้งพาเลขาไป หรืออาจจะพาภรรยาไป ตามชื่อก็เพื่อที่จะไปสนับสนุนการกุศล แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เพื่อคบค้าสมาคม คนที่จะถูกเชิญไปส่วนมากก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างมีฐานะ ใช้โอกาสที่ได้พบเจอกันนี้ คุยเรื่องงานและธุรกิจ
จงจิ่งห้าวร่างกายผอมและสูงโปร่ง เขาล้วงมือข้างหนึ่งไปที่กระเป๋ากางเกง ส่วนมืออีกข้างก็ปลดกระดุมคอเสื้อลงมาหนึ่งเม็ด ” งั้นดื่มการกุศลอะไรนั่นนายไปแทนฉันแล้วกัน ”
แค่เงินถึง ก็คงไม่มีใครพูดอะไรออกมาแล้วล่ะ
กวนจิ้งพยักหน้า ตอนนี้ทั้งคู่เดินมาถึงประตูห้องทำงานแล้ว เขาหยุดฝีเท้าพอดีกับจังหวะที่กวนจิ้งรายงานตารางทั้งหมดเสร็จสิ้น จงจิ่งห้าวจึงดันประตูห้องทำงานเข้าไป ไม่รู้ว่าเสิ่นเผยซวนกับซูจ้านมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เสิ่นเผยซวนมักทำตัวนิ่งสงบเสมอ จะมีก็แต่ซูจ้านที่ชอบทำตัวหยาบคาย เขาเอนตัวไปพิงโต๊ะทำงานครึ่งหนึ่ง ในมือก็ถือบัตรเชิญใบนั้นอยู่ เมื่อเห็นว่าในนั้นมีรูปของผู้หญิง นั่นก็คือฉินยาที่อยู่ในชุดกี่เพ้าสีแดง กี่เพ้าตัวนั้นถูกปักด้วยวิธีการประณีตดูดั้งเดิม ปักออกมาเป็นรูปที่ดูสวยงามและวิจิตร ผมที่ดำขลับนั่น ม้วนเป็นลอนคลื่นที่ดูสง่ารวบไว้ข้างหลัง รูปร่างส่วนโค้งเว้าที่ดูน่าหลงใหล และผิวที่ขาวดูละเอียดสะอาดตา กี่เพ้าที่แหวกทรงสูงเป็นจุดเด่นของ ประเทศZ ถึงแม้จะโชว์ให้เห็นขาที่เรียวขาว แต่ไม่ได้ทำให้ดูน่าเกลียดหรือขัดหูขัดตา แววตาของเธอเผยรอยยิ้มที่ดูนิ่งสงบ ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกถึงความสวยงามและนุ่มนวลจากตัวเธอ
ข้างซ้ายมีตัวอักษรสีทองขนาดใหญ่ เป็นลักษณะลายมือพู่กันจีนดั้งเดิม ดูเป็นตัวตวัดแต่สวยงามเป็นพิเศษ เขียนว่า ฝันว่าได้หวนกลับมาพบโดยบังเอิญ สุดท้ายก็ยากที่จะลืมเลือน ชุดฮั่นฝูที่เป็นเลิศในโลก หากมิได้มาพบกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่า
ในบทกลอนนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยท่วงทำนอง ทำให้คนที่ได้อ่านอดไม่ได้ที่จะอยากสืบค้นมัน
แม้กระทั่งบัตรเชิญยังผ่านการออกแบบอย่างตั้งใจ มีหัวข้อที่แสดงถึงจุดเด่นให้เห็นอย่างชัดเจน
ซูจ้านหรี่ตามองจงจิ่งห้าว ทำไมบนโต๊ะทำงานของเขายังไม่มีของแบบนี้ตั้งอยู่
” นี่คือใครกัน ทำไมถึงมาปรากฏอยู่บนโต๊ะนายล่ะ ” เขาถามอย่างอ้อมค้อม แต่เหมือนจะสื่อเป็นนัยๆ ว่า นายเปลี่ยนรักใหม่ไปแล้วเหรอ
จงจิ่งห้าวไม่ได้สนใจเขา แค่ทำตานิ่งๆ ไม่แยแสแต่อย่างใด
ซูจ้านเบ้ปาก แล้วก็เบนสายตากลับไปมองบัตรเชิญนั้นอีกครั้ง แล้วมองรูปคนในบัตรนั้นอย่างละเอียดอีกที หลังจากพิจารณาอยู่นานก็พูดข้อสรุปออกมา ” ดึงดูดสายตา ทำให้ผู้ชายหลงใหล สวยก็สวยจริง แต่ว่า…. ”
” ซูจ้านโว๊ย มึงช่วยไว้หน้าหน่อยได้ไหม อย่าเห็นว่าเป็นผู้หญิงแล้วมึงก็ทำตัววาบหวามใส่ทุกครั้ง ” เสิ่นเผยซวนเพิ่งจะประชุมที่สถานีตำรวจเสร็จ ก็ถูกซูจ้านลากมาที่นี่ ตอนนี้สวมเครื่องแบบครบชุด ดูเท่และมีสง่าราศีเป็นที่สุด
พอนั่งลงตรงนั้นด้วยท่าทีสบายๆ แต่กลับดูมีพลัง ทำให้ดูรู้สึกปลอดภัย เดิมทีก็เป็นคนแข็งกระด้างอยู่แล้ว บวกกับชุดเครื่องแบบสีมืดโทนเย็นนี้อีก ก็ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกถึงความมีศักดิ์ศรีที่สูงส่งน่าเกรงขามไม่ยอมให้ใครมาดูหมิ่นได้ง่าย
ซูจ้านช้อนสายตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะกลั้นหัวเราะเสิ่นเผยซวน ” เราสองคนใครกันแน่ที่ไม่มีหน้าให้ไว้ กูพูดจากใจจริงเลยนะ ต่อให้เป็นมึงที่คิดไปไกลอ่ะ มึงก็ยังโทษกูว่าความคิดไม่บริสุทธิ์อยู่ดี คนอย่างกูพูดความจริงเว้ย ผู้หญิงในนั้นสวยก็จริง แต่ดูเหมือนขาดแรงดึงดูด ดูเย็นชาเกินไป สู้ฉินยาของเราที่เข้ากับคนง่ายไม่ได้หรอก ที่ทำให้ใครต่อใครก็รู้สึกอยากสนิทสนมทำความรู้จักด้วย ”
ก่อนเขาจะเอาบัตรเชิญกลับไปวางบนโต๊ะเหมือนเดิม แล้วเดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างโซฟา จากนั้นก็เอามือวางไว้บนไหล่ของเสิ่นเผยซวน ” กูมันคนจริง ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ไม่เหมือนมึงหรอก ทั้งทางที่เป็นคนดุดันและเหี้ยมโหดน่ากลัว แต่แอบทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ”
ดืด ดืด……
ขณะนั้นโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเสิ่นเผยซวนก็ดังขึ้น เขาเลยไงหน้าขึ้นมามองเสิ่นเผยซวน ตอนแรกก็กะจะเอาคืนเขา แต่ก็ต้องเก็บคำพูดรุนแรงนั้นกลืนมันลงไป แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก็เป็นหมายเลขที่ไม่ได้เมมชื่อเอาไว้ แถมตัวเลขบนจอก็ดูไม่คุ้นอีกต่างหาก เหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
ซูจ้านเหร่ตามอง ก่อนจะนั่งลงโซฟาตรงข้าม ” คงไม่ใช่ฝ่ายก่อความวุ่นวายหรอกนะ ”
เสิ่นเผยซวนมองค้อนเขาไปหนึ่งที ” ไม่พูดมันจะตายไหม ”
ซูจ้านปิดปาก ไม่พูดก็ได้วะ จะดุอะไรนักหนา จะขู่ที่ตัวเองมีแรงเยอะกว่าว่างั้นเถอะ
เขาจึงพูดแขวะเบาๆ ” ไอ้ผู้ชายหยาบคาย ”
เสิ่นเผยซวนไม่ได้สนใจเขา ก่อนจะกดรับสายแล้วแนบไว้ข้างหู ไม่นานก็มีเสียงใสแจ๋วของหญิงสาวตอบกลับมา ” ใช่หัวหน้าเสิ่นหรือเปล่าคะ ”