ส่วนเรื่องเกี่ยวกับนามสกุลของพวกเด็กๆ หลินซินเหยียนรู้สึกว่าตัวเองควรจะพูดกับลูกของเธอให้ชัดเจน
เธอก็คิดในใจสักพักว่าจะเริ่มพูดยังไงดี พอนึกได้ก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกับพวกลูกๆ ” ประเทศของเราก็มีประวัติศาสตร์กว่าห้าพันปีแล้ว เรียกได้ว่า เป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานจริงๆ ในสมัยก่อนก็จะมีประเพณีดั้งเดิม นั่นก็คือลูกจะต้องใช้นามสกุลเดียวกับพ่อ ก่อนหน้านี้แม่ก็เลยไม่ทันได้บอกลูกว่า แม่กับพ่อของลูกได้ไปเปลี่ยนนามสกุลของพวกลูกแล้ว ”
หลินซีเฉินเงยหน้าขึ้นมามองเธอ ในปากก็เคี้ยวอาหารจนละเอียด แล้วกลืนลงไปจากนั้นก็พูดต่อว่า ” สิ่งที่แม่จะบอกกับพวกเราคือเรื่องแค่นี้เหรอ ”
หลินซินเหยียนพยักหน้า เมื่อเห็นท่าทีเหมือนลูกชาย จะรู้เรื่องแล้ว ก็เลยลองถามกลับไปครั้ง ” ลูกรู้ด้วยเหรอ ”
เรื่องนี้คงไม่มีใครรู้หรอกหน่า
แต่ทำไมลูกถึงรู้ล่ะ
หลินซีเฉินก็หยิบตะเกียบคีบขนมกวนเข้าไปในปากแล้วเคี้ยวหยุบหยับ ” ผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่า เรื่องเปลี่ยนนามสกุลจะช้าจะเร็วก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี แม่ไม่พูดผมก็สังเกตได้ เพราะคนรอบข้างของผม เขาก็ใช้นามสกุลพ่อกันทั้งนั้น มีแค่ผมกับน้องสาวที่พิเศษกว่าคนอื่น แต่ตอนนี้ก็ไม่พิเศษหรือแปลกตรงไหนแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้สึกแล้วว่าพ่อแต่งงานเข้าบ้านแม่ ”
หลินซินเหยียน ” ….. ”
ถ้าเด็กคนนี้ทำไมถึงรู้เยอะเสียจริง แม้แต่สำนวนชายแต่งงานเข้าบ้านหญิงก็ยังรู้อีก
หลินลุ่ยซีพี่กำลังมุ่งมั่นกับการกินมาโดยตลอด ได้ยินคำที่พี่ชายพูดออกมาแล้ว ก็กะพริบตาปริบๆ อย่างแปลกใจแล้วถามขึ้นมาว่า” ชายแต่งเข้าบ้านหญิงหมายความว่ายังไงเหรอคะพี่ ”
หลินซีเฉินไม่ต้องใช้ความคิดอะไรเพิ่มเติม ก็สามารถตอบออกไปอย่างมั่นใจว่า ” ก็ปกติแล้วผู้หญิงจะแต่งงานกับผู้ชายที่มาสู่ขอก็เหมือนกับหม่ามี๊มี พ่อมาสู่ขอนี่คือเรื่องปกติ แต่ถ้าชายแต่งเข้าบ้านผู้หญิงก็คือ ผู้หญิงเป็นฝ่ายสู่ขอผู้ชาย แล้วชายจะต้องไปอยู่บ้านผู้หญิง เช่นเดียวกับที่หม่ามี๊ไปสู่ขอพ่อคุณพ่อก็เลยเรียกได้ว่าเป็นชายที่แต่งงานไปอยู่บ้านผู้หญิงยังไงล่ะ ”
เมื่อหลินลุ่ยซีได้ฟังแล้วก็มึนงงสับสนไปหมด อะไรคือเดี๋ยวผู้ชายเดี๋ยวผู้หญิง แล้วใครแต่งงานกับใคร เด็กหญิงตัวน้อยส่ายหัวไปมาเหมือนพยายามปฏิเสธที่จะทำความเข้าใจเรื่องยากๆ พวกนี้แล้ว แต่ถามเอามาว่า ” ก็คือตอนนี้พวกเราไม่ได้แซ่หลินแล้วใช่ไหม ”
” ก็ใช่น่ะสิ ” หลินซีเฉินพยักหน้า แล้วให้น้องสาวไปถามหลินซินเหยียน ” เธอก็ไปถามหม่ามี๊สิ ”
หลินซินเหยียนมองลูกชายด้วยสีหน้าแววตาที่ขบขัน ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้ไปฟังเรื่องพวกนี้มาจากไหนนักหนา
” หม่ามี๊ ที่พวกเราใช้นามสกุลเดียวกับคุณพ่อแล้วใช่ไหมคะ ” เด็กสาวตัวจี๊ดในปากยังคงมีอาหารอยู่ เวลาพูดก็มีเสียงแจ๊บๆ
หลินซินเหยียนลูกหัวของลูกสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง ” ใช่จ้ะ พวกลูก แซ่จง ชื่ออาจจะดูเปลี่ยนไปนิดหน่อย ลูกที่เป็นน้องก็ชื่อจงเหยียนซี ส่วนพี่ชายของลูกชื่อจงเหยียนเฉินวันหลังเวลาที่แนะนำตัวกับคนอื่น ให้ใช้ชื่อนี้นะ เข้าใจไหม ”
“แต่หม่ามี๊ยังเรียกชื่อพวกเราเหมือนเดิมเลยนะ ไม่เห็นจะเปลี่ยนตรงไหนเลย ” ลูกสาวถามยังอยากรู้อยากเห็น
หลินซินเหยียนถอนหายใจ เด็กคนนี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ เมื่อก่อนยังทำงงอยู่เลย ไม่รู้อะไรสักอย่าง ดูแค่เรื่องกินอย่างเดียว ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นช่างพูดช่างจาเสียแล้ว
ถึงมีบางครั้งที่จะดูพูดยากไปบ้าง แต่ว่า ก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนล่ะนะ
เธอเลยหันไปมองที่ลูกชาย หรือว่าจะเป็นไปตามประโยคนั้นที่ว่า ‘ ใกล้ชาติเป็นสีแดง ใกล้หมึกเป็นสีดำ ‘ ถ้าอยู่กับลูกชายคนนี้ทั้งวัน เธอจะเปลี่ยนตัวเองจนเป็นเหมือนเขาไปอีกคนไหมเนี่ย
” หม่ามี๊เรียกลูกด้วยชื่อนี้มาตั้งห้าปีแล้ว พอเปลี่ยนก็ไม่คุ้นปาก แต่ว่าหม่ามี๊จะพยายามชินกับชื่อใหม่ของพวกลูกนะ ” เธอพูดกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
เด็กสาวตัวน้อยยกนมขึ้นมาดื่มสองสามอึก เพื่อจะกลืนอาหารในปากให้ลื่นคอ ” ถ้างั้นหลังจากนี้แม่จะเรียกหนูว่าอะไร เรียกเหยียนซีหรือเรียกซีซีล่ะ ”
เด็กน้อยกะพริบตาไปปริบๆ ก่อนจะออกความเห็นอย่างจริงจัง ” หนูว่ามันฟังไม่ค่อยลื่นหูเท่าชื่อเก่า ”
” ลูกรีบกินเถอะน่า ฟังหลายรอบเดี๋ยวก็ลื่นหูเองนั่นแหละ ขนาดบนโลกนี้มีคนชื่อลูกหมาตัวที่สองเลย พอใครได้ยินบ่อยเข้าเขาก็ชินกันหมดแล้ว ”
เด็กน้อยที่เพิ่งจะดื่มนมเข้าไปในปากเมื่อกี้ ก็แทบจะพ่นออกมา ก่อนจะเบิกตาโตยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แล้วมองไปที่หลินซินเหยียน ” พ่อแม่ต้องไม่มีความรับผิดชอบแค่ไหนเนี่ย ถึงตั้งชื่อลูกแบบนี้ ”
” ไม่มีใครไม่รักลูกของตัวเองบ้างนะจ๊ะ คนสมัยก่อนน่ะ ความคิดอาจจะโบราณคร่ำครึ เขาว่ากันว่าถ้าตั้งชื่อให้ดูต่ำต้อยกว่าหน่อยเด็กคนนั้นก็จะเลี้ยงง่ายเชื่อฟัง ” หลินซินเหยียนอธิบายให้ลูกสาวฟังอย่างอดทน เพราะอยากให้เด็กน้อยรู้ว่าบนโลกนี้ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกของตัวเองพ่อแม่ จะต่างกันแค่อย่างเดียวก็คือวิธีแสดงออกทางความรักที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง
เมื่อกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว หลินซินเหยียนก็พาลูกทั้งสองออกไป เพราะว่าไม่ได้มีสัมภาระอะไรก็เลยไม่ต้องเก็บของให้วุ่นวาย ตอนที่เธอออกมาก็หยิบแค่เสื้อคลุมตัวนอกมาหนึ่งตัวเท่านั้น และกระเป๋าถือที่ในนั้นมีเงินและบัตรอยู่ ไม่ว่าจะไปที่ไหนหากไม่มีเงินก็ไม่สามารถอยู่ได้ แถมยังพาลูกสองคนมาด้วยอีก แล้วยังมีของอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือเอกสารที่เหวินเสียนทิ้งไว้ให้เธอ
เธอจูงมือลูกทั้งสองลงลิฟต์ไปเมื่อถึงหน้าเคาน์เตอร์ ก็แจ้งคืนห้อง พนักงานเคาน์เตอร์เมื่อเห็นลูกทั้งสองคนของเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดชื่นชมมากมาอย่างเป็นมิตร ” ลูกทั้งสองคนของคุณโตมาหน้าตาดูดีหมดเลยนะคะเนี่ย ”
หลินซินเหยียนรับเงินมัดจำคืนมา ก่อนจะยิ้มให้พนักงานเคาน์เตอร์ แล้วจูงมือลูกทั้งสองออกจากโรงแรม เพื่อไปยืนรอรถตรงริมถนน ยังดีที่บริเวณนี้มีคนอยู่มาก รถแท็กซี่ก็เลยมากตามไปด้วย ไม่ได้รอนานนัก เธอก็ได้นั่งรถแท็กซี่อย่างง่ายดาย
” พวกคุณจะไปไหนล่ะ “คุณลุงที่ขับรถแท็กซี่หันมามองพวกเขาที่อยู่ด้านหลัง
หลินซินเหยียนให้ลูกทั้งสองขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนจะตอบคนขับรถไปว่า ” JKกรุ๊ป ”
คนขับรถจึงเริ่มสตาร์ทรถและออกเดินทาง….
อาจจะด้วยความที่อยู่ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย ลูกทั้งสองก็เลยแย่งกันเพื่อที่จะนั่งข้างหน้าต่างและดูวิวข้างนอก หลินซินเหยียนก็พยายามดึงลูกชายออกมา ” เสี่ยวซี ลูกก็หลบให้น้องหน่อยสิจ๊ะ ”
” ไม่ได้เปลี่ยนชื่อแล้วหรอกเหรอ ทำไมยังเรียกว่าเสี่ยวซีอยู่ล่ะ หลินซีเฉินนั่งเข้าไปตรงที่นั่งข้างใน และยกที่นั่งริมหน้าต่างให้กับน้องสาว
หลินซินเหยียนกุมขมับ ลืมไปแล้วจริงด้วย ความเคยชินนี่มันยากจะแก้ไขจริงๆ ” หม่ามี๊จำได้แล้ว ครั้งหน้าจะเรียกว่าเหยียนเฉินนะ ”
” เรียกเฉินเฉินเถอะครับ ดูสนิทสนมกว่า ” เด็กชายอดไม่ได้ที่จะทำตัวออดอ้อนกับหลินซินเหยียน
หลินซินเหยียนรั้งหัวลูกชายเข้ามา แล้วจุ๊บลงที่หน้าผากเขาหนึ่งที ” แม่จะเรียกตามที่ลูกบอกนะ เฉินเฉิน ”
คนขับรถที่อยู่ด้านหน้า มองพวกเขาจากกระจกหลัง ” เพราะคุณมาที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ ”
หลินซินเหยียนตอบ ” ใช่ค่ะ ”
” คุณนี่โชคดีมากเลยเนอะ ลูกทั้งสองคนโตมาหน้าตาน่ารักทั้งคู่ แต่ลูกชายหน้าไม่ค่อยเหมือนคุณเลย คงจะหน้าเหมือนพ่อล่ะสิ ”
ใบหน้าของหลินซีเฉินที่โตขึ้นมาแล้ว ดูคล้ายกับจงจิ่งห้าวแทบจะทั้งหมด บางครั้งคำพูดคำจาการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าก็เหมือนกันอย่างกับแกะ เธอเอื้อมมือไปรูปใบหน้าทรงไข่ของลูกชายอย่างเบามือ ก็มองเข้าไปในใบหน้านี้ เหมือนเธอกำลังเห็นใครอีกคน
ภายในก้นบึ้งของหัวใจก็เกิดความรู้สึกหดหู่ใจแบบแปลกๆ
” ที่นี่แหละครับ ถึงแล้ว ”
ขณะที่ความรู้สึกนึกคิดของหลินซินเหยียนกำลังหลุดลอยไปไกล คุณลุงที่ขับรถก็จอดแท็กซี่อยู่หน้าตึกใหญ่ที่เชื่อมต่อกันตึกหนึ่ง แล้วบอกกับเธอว่า ” ถึงJKกรุ๊ปแล้ว ”
หลินซินเหยียนได้สติกลับมา ก็หยิบเงินในกระเป๋ายืนให้คนขับแท็กซี่ จากนั้นก็เปิดประตูแล้วพาลูกทั้งสองลงจากรถไป
พอยืนอยู่ริมถนนก็สามารถมองเห็นตึกใหญ่โตนี้ได้อย่างชัดเจน ที่บอกว่าเป็นตึกที่เชื่อมกันเพราะว่าตรงกลางของตึกทั้งสอง มีเหมือนสะพานกระจกใหญ่ๆ เชื่อมตึกทั้งสองอยู่
และระหว่างยอดตึกทั้งสอง ก็มีป้ายโฆษณาใหญ่โตมโหฬารติดไว้อยู่ บนนั้นเขียนตัวอักษรที่ดูทรงพลังสามสี่ตัว เป็นคำว่าJKกรุ๊ป
เธอหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก แล้วจูงมือลูกทั้งสองเข้าไป เด็กน้อยทั้งสองมองนู่นมองนี่ตามประสา เป็นเพราะว่ามาแปลกที่ โดยสัญชาตญาณแล้วก็ต้องสำรวจเสียหน่อย
เมื่อเดินผ่านโถงใหญ่แล้ว หลินซินเหยียนก็จุงมือลูกทั้งสองมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พนักงานตรงนั้นยิ้มและทักทายอย่างเป็นมิตร ” ขอโทษนะคะแต่คุณคือใครคะ ”
” ฉันมาหาคนที่ชื่อช่าวหยุน ”
พนักงานเคาน์เตอร์ตะลึงไปช่วงครู่ ไม่คิดเลยว่าจะมีคนเรียกชื่อของประธานช่าวผู้เป็นที่เคารพความทุกคนออกมาโต้งๆ แบบนี้ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะมองหน้าเธอ แล้วถามต่อว่า ” ได้นัดไว้ไหมคะ ”
หลินซินเหยียนส่ายหัว ” ไม่ค่ะ ”
” ถ้างั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉันคงให้คุณเข้าไปไม่ได้ ” พนักงานเคาน์เตอร์ยิ้มให้เธออย่างสุภาพ
” ถ้างั้นฉันขอถามนะคะ เพราะคนที่นี่มีคนที่ชื่อว่าช่าวหยุนจริงใช่ไหม ” หลินซินเหยียนก็ถามอีกครั้ง
เธออยากจะรู้ให้แน่ชัดว่าคนที่ชื่อช่าวหยุนมีตัวตนอยู่จริง