“คุณนายครับ”บอดี้การ์ดที่มาด้วยเห็นว่าหลินซินเหยียนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนจึงเอ่ยเรียกขึ้นเบาๆ
หลินซินเหยียนโบกมือปัด จากนั้นก็เดินไปหาจวงจื่อจิ่น
บอดี้การ์ดรีบเดินตามติดเธอไปอย่างใกล้ชิด
“แม่คะ”เธอตะโกนเรียกอยู่ห่างๆ
จวงจื่อจิ่นตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ พอหันกลับมาเห็นหลินซินเหยียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจึงฉีกยิ้มออกมา“เหยียนเหยียน ลูกมาที่นี่ได้ยังไง?”
สีหน้าของเธอไม่ได้แย่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้มันดูมีเลือดฝาดขึ้นมานิดหน่อย
“หนูควรจะถามแม่มากกว่า ทำไมแม่ถึงสวมชุดคนป่วย แถมยังมาอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย แม่เป็นอะไร?”เสียงของเธอเบามาก เพราะกลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่เป็นข่าวร้าย
การตายของเฉิงยู่ซิ่วมีผลกระทบต่อจิตใจของเธออย่างรุนแรง
แต่เพราะที่บ้านมีลูกๆ มีจงจิ่งห้าว เธอจึงไม่แสดงความเศร้าที่อยู่ในใจออกมา แต่ถ้าจวงจื่อจิ่นเป็นอะไรขึ้นมาอีก เธอกลัวว่าเธอจะใจสลายจริงๆ
จวงจื่อจิ่นเดินเข้ามา พอเห็นเธอสวมเสื้อผ้าโคร่งๆ แถมยังใส่รองเท้าส้นแบนอีก หล่อนจึงยิ้มพลางพูดขึ้น“แม่ได้ยินมาจากเสิ่นเผยชวนว่าหนูกำลังท้อง”
เนื่องจากหล่อนไม่ยอมให้ความร่วมมือในการรักษา สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ แถมยังไม่มีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีก เสิ่นเผยชวนรู้สึกหมดปัญญาจึงบอกเรื่องที่หลินซินเหยียนกำลังท้องให้หล่อนฟัง ตอนนั้นเสิ่นเผยชวนพูดออกมาว่า“เธอทนลำบากกับคุณมาตั้งมากมาย ถ้าคุณไม่สนใจว่าเธอจะเป็นจะตายยังไง คุณก็ไม่ต้องให้ความร่วมมือในการรักษาแล้ว”
พูดจบเขาก็เดินจากไป
หล่อนจึงนึกถึงตอนที่เธออายุสิบขวบ ตอนที่เธอตามตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ความเป็นอยู่ก็ยากลำบาก พวกเธอทั้งสองคอยกอดให้ความอบอุ่นกันและกัน คอยพึ่งพาอาศัยกันและกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน
พอคิดว่าตอนนี้เธอกำลังตั้งท้อง แถมยังมีความสุขกับจงจิ่งห้าวมากๆด้วย เพราะงั้นมันคงจะดีถ้าเธอมีชีวิตต่อได้นานขึ้นและมีโอกาสได้เห็นเธอมีความสุข หรืออย่างน้อยได้ช่วยเธอดูแลลูกๆ แค่นี้ก็พอแล้ว
หลังจากที่รู้ว่าหลินซินเหยียนท้อง หล่อนก็เริ่มให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างจริงจัง
เคยเห็นตอนเธอลำบากแล้ว ต่อไปก็หวังว่าจะได้เห็นตอนเธอมีความสุขสักที
หล่อนจับมือหลินซินเหยียนไว้“แม่ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลนะ……”
หลินซินเหยียนสะบัดมือหล่อนออก“หนูอยากฟังความจริง”
เห็นได้ชัดว่าว่ามันต้องไม่ใช่อาการป่วยเล็กๆแน่เพราะหล่อนตั้งใจปิดบังเธอ
จวงจื่อจิ่นรู้ว่าปิดเธอไม่ได้หรอกจึงถอนใจออกมาอย่างแรงแล้วพูดขึ้น“ลูกไปที่ห้องพักฟื้นกับแม่แล้วกัน”
หล่อนพักในห้องวีไอพีเดี่ยวมันเลยค่อนข้างเงียบมันจึงเหมาะที่จะคุยมากกว่า เพราะว่าตอนนี้ที่สวนสาธารณะมันเต็มไปด้วยผู้คน
หลินซินเหยียนไม่ตอบแต่ยอมรับข้อเสนอของหล่อนเป็นนัยๆ เธอเดินตามหล่อนไปยังห้องพักฟื้นที่หล่อนพักอยู่ อาคารหลังนี้กับอาคารที่เธอเคยพักมีแค่สวนสาธารณะกั้นอยู่ตรงกลางแค่นั้นเอง
“แม่เข้ามาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?”เธอถามขึ้น
“ซักพักแล้วล่ะ”จวงจื่อจิ่นนั่งลงที่ขอบเตียงแล้วกวักมือเรียกเธอ“เหยียนเหยียนมานี่สิ”
หลินซินเหยียนเดินมานั่งที่ขอบเตียง จวงจื่อจิ่นดึงมือเธอมาจับไว้“พอรู้ว่าลูกกำลังท้องแม่ก็ดีใจมากๆเลย”
หลินซินเหยียนหลับตาลงเบาๆ
“โรคของแม่ถูกถ่ายทอดมาทางกรรมพันธุ์ แต่ว่าลูกไม่ต้องเป็นห่วงนะ หมอบอกว่าถ้าให้ความร่วมมือในการรักษา แม่ก็จะอยู่ต่อได้อีกสองสามปีอย่างไม่มีปัญหาอะไร……”
จู่ๆหลินซินเหยียนก็เข้ามากอดหล่อนไว้แน่น พร้อมกับพูดเสียงสะอื้น“ทำไมถึงทำแบบนี้?แม่รู้ไหมว่าหนูเสียใจมากแค่ไหน……”
จวงจื่อจิ่นตบหลังเธอเบาๆ“เหยียนเหยียนอย่าเศร้าไปเลยนะ แม่จะให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดี เพื่อที่ในอนาคตจะได้ช่วยลูกเลี้ยงหลาน เสิ่นเผยชวนบอกแล้วว่าขอแค่แม่ให้ความร่วมมือในการรักษา ถึงตอนนั้นเขาจะหาคนมาช่วยทำเรื่องลดโทษให้แม่ ตอนนั้นแม่คงจะอยู่ได้อีกซักปีครึ่ง ลูกก็คลอดพอดี แบบนี้แม่ก็จะได้ช่วยหนูดูแลลูกเหมือนกับที่แม่เคยช่วยดูแลเสี่ยวลุ่ยกับเสี่ยวซีไง”
หลินซินเหยียนได้แต่เงียบเพราะความเจ็บปวดในใจ“แม่คะ แม่คิดว่าเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่งคืออะไร?”
จวงจื่อจิ่นนึกว่าเธอคิดถึงเรื่องในสมัยก่อนก็เลยรู้สึกเศร้า หล่อนก็เลยพูดปลอบออกไป“เรื่องในอดีตล้วนผ่านไปหมดแล้ว จากนี้ไปลูกจะมีชีวิตที่มีความสุขมากแน่ๆ”
หลินซินเหยียนส่ายหน้า“สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่งก็คือเห็นคนที่เรารักอยู่ตรงหน้า แต่เรากลับไม่รู้ เพราะงั้นตอนที่เราสูญเสียเขาไปมันถึงได้เจ็บปวดจนแทบขาดใจ”
จวงจื่อจิ่นตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที“นี่ลูกรู้อะไรมารึเปล่า?”
ตอนอยู่ที่บ้านเธอไม่กล้าแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา แต่ทว่าตอนนี้อยู่ต่อหน้าจวงจื่อจิ่นเธอไม่อาจปิดบังมันได้อีก
เธอแทบไม่ได้สนใจที่จวงจื่อจิ่นพูดเลย
เธอกำลังคิดถึงเรื่องเฉิงยู่ซิ่วกับจงจิ่งห้าวที่ผิดใจกันมาตลอดทั้งชีวิต
จวงจื่อจิ่นถอนหายใจออกมา“เหยียนเหยียน แม่ทำเหมือนลูกเป็นลูกแท้ๆของแม่มาตลอด ก็ตอนแรกไม่มีมีทางอื่นแล้วนี่นา พ่อของแม่มีเขามาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ซึ่งตัวตนของแม่เขาก็ไม่เป็นที่ยอมรับ เขาเป็นลูกนอกสมรส เขาแทบไม่เคยโผล่หน้าออกมาเจอใครและไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนตระกูลจวง……”
“แม่กำลังพูดอะไรคะ?”หลินซินเหยียนเอามือเช็ดหน้า เธอไม่เข้าใจ เธอยื่นมืออกไปแตะหน้าผากจวงจื่อจิ่น หรือว่าอาการป่วยทางจิตของหล่อนจะกลับกำเริบอีก?
จวงจื่อจิ่นดึงมือเธอออก“แม่สบายดี ก็เมื่อกี้ลูกพูดถึงเรื่องเห็นคนรักอยู่ต่อหน้าแต่กลับไม่รู้ มันเลยทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากอะไรนั่นไม่ใช่หรอ นี่แสดงว่าลูกรู้เรื่องราวในชีวิตของลูกแล้วใช่ไหม? ”
หลินซินเหยียนนั่งนิ่งอยู่ที่ขอบเตียง เธอสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองไป เธอจ้องเขม็งไปที่จวงจื่อจิ่นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นถึงได้รู้สึกตัว“เรื่องราวชีวิตของหนูงั้นหรอ?แม่ก็คือแม่หนูไง ส่วนพ่อหนูก็คือหลินกั๋วอัน”
“หลินกั๋วอันไม่ใช่พ่อของลูก”ถึงแม้หลินกั๋วอันจะตายไปแล้ว แต่ความแค้นที่มีต่อผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยลดลงและไม่เคยจางหายไปไหนเลย อีกอย่างเขาไม่คู่ควรให้หลินซินเหยียนเรียกว่าพ่อ
พูดมาขนาดนี้แล้ว จวงจื่อจิ่นไม่อยากปิดบังเธออีก หล่อนจับมือหลินซินเหยียนไว้“เหยียนเหยียน พ่อของลูกชื่อจวงจื่อยี่ เขาเป็นลูกจากพ่อเดียวกันกับแม่ แต่ว่าคนให้กำเนิดคนละคน ซึ่งมีแค่คนในตระกูลเท่านั้นที่รู้จักตัวตนของเขา……”
หลินซินเหยียนลุกพรวดขึ้น“แม่กำลังพูดเรื่องอะไรคะ หนูเป็นลูกสาวของแม่ หนูไม่เคยได้ยินชื่อจวงจื่อยี่อะไรนั่นมาก่อน แถมยังไม่เคยเจอหน้าเลยด้วยซ้ำ”
เธอไม่สามารถทำใจยอมรับได้เนื่องจากมันกะทันหันเกินไป
“เหยียนเหยียน”จวงจื่อจิ่นเข้าใจดีว่านี่มันอาจจะกะทันเกินไปเธอเลยยอมรับไม่ได้ หล่อนถอนหายใจออกมา หล่อนนึกว่าเธอสืบเจอแล้วก็เลยถือโอกาสเล่าให้เธอฟัง แต่ไม่นึกเลยว่าเธอไม่รู้อะไรเลย
“แม่คงจะเหนื่อย นอนพักผ่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวหนูขอตัวกลับก่อน เสี่ยวซีกับเสี่ยวลุ่ยรออยู่”หลินซินเหยียนไม่อยากฟัง เธอเดินจ้ำอ้าวหน้าไปที่ประตูทันที
จวงจื่อจิ่นก็ไม่ได้บังคับเธอ“ถ้าลูกอยากจะฟังเมื่อไหร่ก็มาหาแม่ได้ทุกเวลาเลยนะ แล้วสร้อยที่ห้อยคอไว้น่ะ นั่นเป็นของที่แม่แท้ๆของลูกให้ไว้”
หลินซินเหยียนชะงักไปเล็กน้อยขณะที่จับลูกบิดประตู แต่จากนั้นไม่นานเธอก็เปิดประตูออกแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากเธอรีบเดินออกไป บอดี้การ์ดที่เดินตามมาจึงเอ่ยขึ้น“เดินช้าๆหน่อยครับคุณนาย”
ดูเหมือนหลินซินเหยียนจะไม่ได้ยิน เธอคิดแค่ว่าอยากจะออกไปจากที่นี้โดยเร็วที่สุด
เธอไม่อยากได้ยินจวงจื่อจิ่นพูดอะไรออกมาอีก
พอขึ้นรถเธอก็เอ่ยปากสั่ง“รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า”
คนขับสตารท์รถทันที ส่วนบอดี้การ์ดก็เหลือบมองเธอด้วยความกังวล“คุณนายเป็นอะไรไหมครับ?”
หลินซินเหยียนเริ่มรู้สึกตัว เธอส่ายหัวปฏิเสธ“ไม่เป็นไร”เหมือนว่าเธอจะคิดอะไรบางอย่างออกจึงพูดเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง“เรื่องที่ฉันออกมาวันนี้ พวกนายห้ามเอาไปพูดกับใครนะ ได้ยินไหม?”
ทั้งคนขับและบอดี้การ์ดต่างขานรับเป็นเสียงเดียวกันว่าเข้าใจแล้ว
ตลอดทางเธอเอาแต่เหม่อลอยราวกับว่าเธอกำลังฝันอยู่
เมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์เธอก็ขึ้นไปชั้นบนแล้วเอาผ้าขนหนูสีเหลี่ยมผืนผ้าไปแช่น้ำในห้องน้ำ จากนั้นก็เอาออกมาพับวางไว้ที่หน้าผากแล้วนอนลงบนโซฟา
เป็นเพราะเธอเป็นไข้แน่ๆ มันเลยทำให้สมองเธอเบลอ ดังนั้นเธอก็เลยหูฝาดไป
จวงจื่อยี่จะเป็นพ่อของเธอได้ไง?!
เหอะ—เธอไม่เคยเจอหน้าเลยด้วยซ้ำ มันจะเป็นไปได้ยังไง?