พวกเขาไม่อาจเข้าไปในห้องไอซีอยู่โดยตรงได้ จึงทำได้แค่มองผ่านกระจกที่กั้นเอาไว้ ฉินยายังคงอยู่ในสภาพที่หลับใหลยังไม่ได้สติ ใบหน้าของเธอถูกห่อไว้อย่างแน่นหนาเหลือไว้เพียงดวงตาเท่านั้น
ด้านข้างของเธอมีเครื่องจับชีพจรของร่างกายไว้ และส่งเสียงติ๊ดติ๊ดตลอดเวลา
ซูจ้านแนบตัวไปกับกระจก รับรู้ได้ถึงความทรมาน เขาไร้ซึ่งเสียงที่จะเปล่งออกมา หลินซินเหยียนทำได้แค่มองเขาที่ร้องไห้ปานจะขาดใจอยู่ข้างๆ
” เรื่องนี้ทำให้ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ เพราะเราเพิ่งเจอกันเมื่อไม่นานมานี้แท้ๆ เธอบอกกับฉันว่าเธอต้องการจะไป หาที่สงบแล้วเลี้ยงลูกด้วยตัวเธอเองจนโต… ไม่คิดเลยว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้น ” หลินซินเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ฝ่ามือของซูจ้านที่แนบอยู่บนกระจกนั้น กำเป็นมัดแน่น เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น ” เป็นความผิดของผมเอง… ”
” ตอนนี้มันสำนึกผิดจะมีประโยชน์อะไร ” หลินซินเหยียนรู้ว่าเวลานี้ไม่ควรจะมาพูดเสียดสีเขา แต่เธอคิดว่าเธอควรจะคุยกับเขาให้รู้เรื่อง
” ถ้าคุณยังทำตัวแบบนี้อยู่ ต่อให้ฉินยาให้อภัยคุณ ฉันก็จะไม่ยอม คุณคิดให้มันดีๆ ว่าตัวเองผิดตรงไหน ” พูดจบหลินซินเหยียนก็หันตัวกลับไป ในใจของเธอก็ทรมานไม่แพ้กัน
รูปลักษณ์หน้าตาเป็นสัญลักษณ์ของคน ถึงแม้จะศัลยกรรมได้ แต่มันก็คงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
จริงๆ แล้วเด็กคนนี้เป็นคนที่สดใสตลอด ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่พอได้มาอยู่กับซูจ้าน ก็เห็นว่ามีไม่กี่วันที่เธอจะยิ้มออกมา
ตอนนี้ ก็ยังมีสภาพบาดเจ็บแบบนี้อีก
หลินซินเหยียนรู้สึกเสียใจแทนฉินยา
จงจิ่งห้าวเดินเข้ามา เขายื่นมือมาก่อนจะจับผมของเธอทัดที่หู ” เราไปกันเถอะ ”
หลินซินเหยียนพยักหน้า ตอนนี้ฉินยายังไม่ได้สติ ถึงเธออยู่ที่นี่ก็คงทำอะไรไม่ได้
ก่อนไปหลินซินเหยียนก็ไปถามหมอว่า ” เธอจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่คะ ”
หลินซินเหยียนอยากมาที่นี่ก่อนที่เธอจะฟื้น เพราะกลัวว่าเธอจะรับกับสภาพของตัวเองไม่ได้ คนที่จะสามารถโน้มน้าวดูแลเธอได้สักคนก็ไม่มี
” สิบสองชั่วโมงจากนี้ก็น่าจะฟื้นแล้วครับ ” คุณหมอตอบ
หลินซินเหยียนคิดคำนวณในใจ ถ้าสิบสองชั่วโมงต่อจากนี้ก็น่าจะพรุ่งนี้ตอนเช้าประมาณตีห้ากว่าๆ เธอขอบคุณก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของหมอ
เมื่อเธอกับจงจิ่งห้าวกลับถึงบ้าน เธอยังไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยซ้ำแต่กลับขับตัวเองอยู่แต่ในห้อง จงจิ่งห้าวยกนมหนึ่งแก้วเข้ามาให้เธอ
เธอใส่เสื้อไหมพรมนอนหมกตัวอยู่ในผ้าห่ม จงจิ่งห้าวนั่งลงข้างๆ เตียง เขาไม่ชอบเลยที่เธอมาจะเก็บเรื่องของคนอื่นมาทรมานจิตใจของตัวเอง
” หลับแล้วเหรอ ”
หลินซินเหยียนยังไม่หลับ แค่ไม่อยากพูดอะไร จริงๆ เธอได้ยินตั้งแต่จงจิ่งห้าวผลักประตูเข้ามาแล้ว
” ผมรู้ว่าคุณยังไม่หลับ ลุกขึ้นมากินนมให้หมดด้วย ”
หลินซินเหยียนพลิกตัว จากนั้นก็หันมามองหน้าเขา
เธอก็ไม่รู้ว่าจิตใจของเธอรู้สึกยังไง บางครั้งก็รู้สึกว่ามันปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด
จงจิ่งห้าวยิ้มบางๆ ” มองผมแบบนี้ รู้สึกว่าผมหล่อใช่ไหมล่ะ ”
หลินซินเหยียนจ้องเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน หน้าตาดีก็ดีจริงนั่นแหละ ผิวของเขาทั้งดูขาวสะอาด ใบหน้าที่ได้รูปรับกับอวัยวะทุกส่วนบนหน้า ดวงตาที่ดูดำขลับ บางครั้งที่ยิ้มออกมาอย่างละมุนนั้น ก็สามารถทำให้คนอ่อนระทวยจนตายได้
แต่เมื่อเขาทำหน้าที่เฉยชา ก็ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จิตใจที่กำลังกลัดกลุ้มของหลินซินเหยียน ก็ได้บรรเทาลง เธอลุกขึ้นมานั่ง จงจิ่งห้าวก็ส่งนมแก้วนั้นให้เธอ
เมื่อเธอดื่มไปอึกหนึ่ง ” ซูจ้าน….เป็นคนนิสัยประเภทนั้นจริงเหรอ ”
ที่ชอบลังเลไม่มีความเด็ดขาดกับเรื่องความรักแบบนี้
จงจิ่งห้าวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ ” ไม่หรอก ”
จริงๆ หมอนั่นก็เป็นคนชัดเจนอยู่ แต่เมื่อเป็นเรื่องของหลิวเฟยเฟยก็กลายเป็นเงียบเรือสองแคมเสียอย่างงั้น
เมื่อก่อนเรื่องที่แยกทางกับหลิวเฟยเฟย ก็ทำให้เขาห่วงหาอาวรณ์อยู่เสมอ แต่ในครั้งนี้เพราะหลิวเฟยเฟยอยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวออกมา มันทำให้เขาสับสน
หลินซินเหยียนเม้มปาก มันก็ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จงจิ่งห้าวก็ปรามเธอขึ้นมา ” กินนมให้หมดก่อน ”
หลินซินเหยียนไม่ได้รีบดื่มนมนั้นให้หมดทันที แต่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งเวลา พรุ่งนี้เธอต้องรีบไปโรงพยาบาลแต่เช้า
ตอนกลางคืน หลินซินเหยียนก็นอนอยู่ในอ้อมอกของจงจิ่งห้าว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทุกครั้งที่เธออยู่ข้างกายเขามันทำให้รู้สึกสบายใจ เพียงไม่นานก็ทำให้เธอหลับไป
เธอถูกนาฬิกาปลุกให้ตื่นอีกครั้ง
เมื่อนึกถึงฉินยาที่อยู่ในโรงพยาบาล เธอก็รีบตื่นขึ้นมาทันที ตื่นมาก็อยากลงจากเตียงเลย จงจิ่งห้าวกลับโอบเอวเธอจากข้างหลัง น้ำเสียงของเขาหลังจากตื่นนอนฟังดูแหบพร่า ” คุณจะไปไหนเหรอ ”
” ฉันจะไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าฉินยาอาจจะฟื้นตอนตีห้า ฉันต้องรีบไปดูอาการเธอ ” จริงๆ แล้วเธอกลัว ถ้าฉินยาเจอซูจ้านจะทำให้ตื่นตระหนกได้ ดังนั้นเธอต้องรีบไปแต่เช้า
” ยังเช้าอยู่ เลยนอนเป็นเพื่อนผมสักพักสิ “จงจิ่งห้าวออกแรงกดเธอให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดแน่นกว่าเดิม หลินซินเหยียนพยายามดันเขาออก ” อย่างอแงสิ เธอเสียโฉมนะ ฉันก็ว่าเธอจะคิดสั้นสั้น ข้างกายของเธอไม่มีใครเลย อีกอย่างฉันก็มีธุระที่ต้องให้คุณช่วย ”
หลินซินเหยียนพลิกตัวกลับมา สบตากับเขา ก่อนจะใช้มือสองข้างประคองหน้าเขาไว้
” มีประโยชน์ไหม ” หลินซินเหยียนยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดก็ถูกเขาชิ่งถามเสียก่อน
หลินซินเหยียนขมวดคิ้ว ” ที่ฉันพูดคือจริงจังนะ ”
” แล้วที่ผมพูดมันไม่จริงจังหรือไง ”
หลินซินเหยียน ” ….. ”
เธอเริ่มจู่โจมด้วยการจูบที่ริมฝีปากของเขา สภาพของในตอนเช้า เคราเขียวอ่อนๆ ที่เพิ่งขึ้นตรงคางของเขา มันบาดเธอเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับเจ็บ การจบของเธอนั้นมันช่างเบาบางเสียเหลือเกิน เพียงเสี้ยววิมันได้สิ้นสุดลง
จงจิ่งห้าวขมวดคิ้ว เขาหรี่ตามองเธอ เหมือนกับไม่พอใจในจูบนี้ เขาพลิกตัวขึ้นมา หลินซินเหยียนตกอยู่ภายใต้อ้อมอกของเขา ” ฉันอยากให้คุณช่วยหาหมอศัลยกรรมที่มีฝีมือ ”
ถึงแม้เธอยังจะไม่เคยเห็นหน้าของฉินยา แต่เธอก็เข้าใจฉินยาเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ฉินยาคงไม่อยากให้ซูจ้านเข้ามายุ่ง พูดตามความเป็นจริงก็คือ ไม่อยากเกี่ยวพันอะไรกับซูจ้านอีก ตอนนี้สิ่ที่จะเชื่อมโยงก็ไม่มีอีกแล้ว
จงจิ่งห้าวลดสายตามองเธอที่พยายามเอามือกันเขา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ” โอเค เอามือลงสิ ”
ใจของหลินซินเหยียนเต้นรัว ในห้องนอนนั้นไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงโคมไฟสีส้มตรงหัวเตียงที่ส่องสว่างแค่นั้น จนมันทำให้บรรยากาศรอบข้างดูมีเสน่ห์และสวยงามแบบแปลกๆ
แผ่นอกของเขาร้อนผ่าว ถึงแม้จะมีผ้าบางๆ กั้นไว้ เธอก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความร้อน นิ้วของเธออดไม่ได้ที่หดเกร็ง จงจิ่งห้าวก้มหน้าลงมาลิ้มรสริมฝีปากล่างของเธอ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ” ทำไมคุณถึงขี้อายนักล่ะ ”
นี่ก็นานมากแล้ว แต่เธอก็ยังคงหน้าแดงเหมือนทุกครั้ง
…….
เสร็จกิจแล้ว จงจิ่งห้าวก็สวมเสื้อผ้าให้เธอ แล้วส่งเธอไปที่โรงพยาบาล
เธอถึงโรงบาลก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ฟ้าก็สว่างแล้วเช่นกัน ตั้งแต่อยู่กับจงจิ่งห้าวมา เธอก็ไม่เคยใส่เสื้อผ้าที่เปิดเว้าเลย เพราะเขามักจะชอบทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายของเธอเสมอ
หลินซินเหยียนสวมเสื้อคลุมสีดำ ข้างในนั้นเป็นเดรสยาวลายดอกไม้ คอเสื้อถูกผูกเป็นโบว์สองหูเอาไว้ เพื่อปิดรอยแดงตรงคอที่ถูกใครบางคนจงใจทิ้งไว้
เธอคว้ากระเป๋าลงจากรถ ” คุณไม่ต้องรอฉันหรอก ตอนที่ฉันกลับ เดี๋ยวฉันเรียกรถเอง ”
จงจิ่งห้าวตอบอืมเป็นเชิงรับรู้ ” ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรหาผมนะ ”
หลินซินเหยียนคุยกันเรียบร้อยแล้ว เธอก็มองดูจงจิ่งห้าวขับรถออกไป ถึงเจ้าตัวจะหันเข้าโรงพยาบาลไป
เมื่อเธอมาถึง ซูจ้านก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ดูจากสภาพแล้วก็เหมือนจะยังไม่ได้กลับไป เพราะเขาก็ยังคงใส่ชุดเดิมกับเมื่อวาน
” อยู่ที่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ ” หลินซินเหยียนถือกระเป๋าเดินเข้ามา
ซูจ้านก้มหน้าก้มตา ” กลับครับ ”
เมื่อจัดการเรื่องคุณนาย คนที่ส่งคุณนายลงเรือสองคนนั้น เหมือนจะไม่ยอมถ้าถูกคนข้างบนฟ้องร้อง ก็เลยส่งคุณหญิงกลับเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลอีกครั้ง อาการป่วยของคุณหญิงต้องการการพักผ่อนอย่างสงบ ตอนนี้เขาจัดแจงให้คุณหญิงกลับบ้านไปแล้ว ที่บ้านยังมีคนใช้คอยดูแล ก็สะดวกดี
หลินซินเหยียนถาม ” เธอฟื้นแล้วเหรอ ”
ซูจ้านเงยหน้าขึ้นมามองหลินซินเหยียน ลูกตาของเขาเหมือนถูกระบายด้วยสีแดง ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงแหบพร่า ” เธอไม่ยอมเจอผม ”
หลินซินเหยียนรู้ แล้วก็ไม่ได้แปลกใจอะไร งั้นก็แสดงว่าฉินยาฟื้นแล้วสินะ
” เดี๋ยวฉันไปดูเธอเอง ” หลินซินเหยียนเห็นท่าทีที่ดูทรมานของเขา ก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา เลยตบบ่าเขาเบาๆ ” คุณเป็นผู้ชาย ฉินยาดูลำบากกว่าคุณอีกนะ ”
เสียทั้งลูก แล้วยังต้องเสียโฉมอีก มรสุมชีวิตครั้งนี้ จะมีสักกี่คนที่รับได้