หลินหยู่หานเบิกตากว้าง จ้องเหอรุ่ยหลินไว้ ราวกับถ้าตอนนี้มีมีดอยู่เล่มหนึ่ง เธอก็จะพุ่งไปแทงเหอรุ่ยหลินให้ตาย
“ปล่อยเธอ” จงจิ่งห้าวไม่เพราะคำพูดเดียวของเหอรุ่ยหลิน ก็เชื่อว่าหลินหยู่หานไม่รู้ว่าหลินซินเหยียนอยู่ไหนหรอก
การร่วมงานที่มีผลประโยชน์ผูกมัดอย่างพวกเธอ ความเชื่อใจบอบบางมาก อยากให้พวกเธอเคืองแค้นซึ่งกันและกันง่ายมากจริงๆ
อยากรู้เรื่องอะไรจากปากของพวกเธอก็ไม่ยากเลย
“นังแพศยา แกรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่รู้? !” หลินหยู่หานตะคอก ถ้าไม่ใช่คนขวางเธอไว้ เธอพุ่งไปฉีกเหอรุ่ยหลินกินแล้ว
ก็เหมือนที่จงจิ่งห้าวคิด ที่พวกเธอสามารถร่วมงานกันเพื่อผลประโยชน์ เพราะต่างคนต่างก็มีของที่ตัวเองอยากได้ ตอนนี้แตกคอกัน ยังจะคิดเผื่ออีกฝ่ายได้อย่างไร? ตอนนี้คงอยากให้อีกฝ่ายตายมากกว่ามั้ง?
“พี่ชายแกเอาตัวหลินซินเหยียนไป ฉันได้แอบสะกดรอยตามมัน แกมันโง่ นึกว่าฉันไม่รู้ แกนึกว่าแกมีทางหนีทีไล่คนเดียวหรือไง? ฉันก็มีเหมือนกัน! !”แผนการนี้เสิ่นซิ่วฉิงตายแล้ว ญาติคนเดียวของเธอได้จากเธอไปแล้ว ตอนนี้เธอใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้เพียงลำพัง เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่ตั้งความสงสัยและระมัดระวังตัวให้มากๆ เหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง
เสิ่นเผยซวนกับซูจ้านสื่อสารกันทางสายตา
ผู้หญิงสองคนนี้ล้วนมีความคิดของตนเอง แผนยุยงปลุกปั่นของจงจิ่งห้าว เฉลียวฉลาดจริงๆ
จงจิ่งห้าวค่อยๆกุมมือ กลับไม่ได้กุมแน่น เขาแค่พูดว่า“คุณสองคนใครเป็นคนบอกว่าหลินซินเหยียนอยู่ไหนก่อน คนนั้นรอดชีวิต”
“ฉัน”
“ฉันบอก”
ทั้งสองคนแทบจะพูดออกมาพร้อมกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ได้มองหน้าอีกฝ่าย แทบอยากจะให้อีกฝ่ายตาย
“หลินซินเหยียนถูกเหอรุ่ยเจ๋อพาไปที่หมู่บ้านชุ่นเย่ อยู่ไม่ไกลจากเมืองB……”
หลินหยู่หานแทบจะพูดออกมาโดยที่ไม่ไตร่ตรองยั้งคิด พยายามจะแย่งเหอรุ่ยหลินพูดก่อน
อยู่หน้าผลประโยชน์ พวกเธอไม่มีความเชื่อใจใดๆ ความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาจากผลประโยชน์ พริบตาเดียวก็ได้กระจุยกระจายหมด
จงจิ่งห้าวยังฟังคำพูดของหลินหยู่หานไม่จบก็ได้เดินออกไปแล้ว
ซูจ้านก็เดินตามไปอย่างไว เสิ่นเผยซวนมองผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่มุมผนังแล้วสั่งการ “ปล่อยเธอ”
“พวกเธอจะไม่ตีกันเหรอครับ?” เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พวกเธอสองคนไม่ถูกกัน
เสิ่นเผยซวนยกมุมปากขึ้น “ใครจะอยู่ ใครจะตาย ก็ต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมของพวกเธอแล้ว พวกนายพาคนไปตามฉัน”
ผู้ชายทั้งสองเข้าใจความหมายของเสิ่นเผยซวนแล้ว จึงได้ปล่อยตัวหลินหยู่หาน ออกจากห้องไต่สวนพร้อมเสิ่นเผยซวน ตอนที่มาถึงหน้าห้องได้ปิดประตูสนิท
นาทีที่หลินหยู่หานได้รับอิสระ เสี้ยววินาทีนั้นก็ได้กระโจนไปที่เหอรุ่ยหลิน “นังแพศยา ไปตายซะ ไปตายเลยไป ไม่นึกเลยว่าจะกล้าหักหลังฉัน!”
เหอรุ่ยหลินโกรธยิ่งกว่าเธอเสียอีก โมโหจนเลือดขึ้นหน้า “อิโง่ จงจิ่งห้าวจงใจยุยง ถ้าแกกับฉันต่างก็ปิดปากสนิทไม่พูด บางทีอาจจะยังมีโอกาสรอด แกคิดว่าแกพูดแล้วยังจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อเหรอ? !”
หลินหยู่หานอึ้ง แต่มีความโกรธมากกว่า เธอบีบคอเหอรุ่ยหลินไว้แน่น “ถ้าแกไม่หักหลังฉัน ตอนนี้ฉันยังสามารถอยู่ข้างกายเขาต่อไป เพราะแกคนเดียว ไม่รักษาสัญญา! เป็นคนพูดกลับคำก่อน ยังกล้ามาว่าฉันอีก? ! !”
คนอยู่ภายใต้สถานการณ์โกรธแค้นสุดๆ กำลังแฝงมักจะไร้ขีดจำกัด ก็เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ ทั้งๆที่ร่างกายของเหอรุ่ยหลินบาดเจ็บสาหัส ดูแล้วแค่หายใจก็ยังยากลำบาก แต่นาทีนี้เรี่ยวแรงกลับเยอะจนน่าตกใจ ไม่นึกเลยว่าเหอรุ่ยหลินจะใช้พลังของช่วงเอวลุกขึ้น แล้วเอาหลินหยู่หานที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวเธอ พลิกหลินหยู่หานลงไป และฉวยโอกาสนั่งคร่อมไปที่บนตัวเธอ กระชากผมของเธอและตะคอกด้วยความโกรธ “ฉันไม่ได้หักหลังแก เขารู้ตั้งนานแล้วว่าแกไม่ใช่หลินซินเหยียน!”
หลินหยู่หานรู้สึกเหมือนหนังศีรษะจะถูกกระชากทิ้ง เธอแสยะยิ้มอย่างเจ็บปวด พูดอย่างดุร้าย “แกคิดว่าฉันจะเชื่อแกงั้นเหรอ? ถ้าแกไม่บอก เขาจะรู้ได้ยังไง ไม่งั้นเขาจะมีตาทิพย์ แค่แป๊บเดียวก็สามารถมองทะลุปรุโปร่งเหรอ?”
เหอรุ่ยหลินอึ้งไปครู่หนึ่ง ใช่สิ เธอยังแยกใบหน้านี้ไม่ออกเลย ทำไมจงจิ่งห้าวถึงได้มองทะลุปรุโปร่งไวขนาดนั้นล่ะ?
เขารู้สึกยังไงกับหลินซินเหยียนกันแน่?
อาศัยตอนที่ความคิดเธอล่องลอย หลินหยู่หานจากฝ่ายถูกกระทำมาเป็นกระทำและได้เปรียบอีกครั้ง “ถึงก่อนหน้านี้แกไม่ได้พูด แต่เมื่อกี๊แกก็ได้หักหลังฉันจริงๆ ฉันได้ยินกับหูตัวเอง ยังจะเท็จได้เหรอ?”
หลินหยู่หานกระชากหัวเธอโขกกับพื้น “กระชากหัวฉันใช่มั้ย กระชากหัวฉันใช่มั้ย ฉันจะโขกให้แกตาย นังแพศยา!”
เหอรุ่ยหลินถูกโขกหัวจนมึนตึ๊บ เจ็บจนชาไปหมด ราวกับมันสมองจะไหลออกมาอยู่แล้ว เธอใช้มือทั้งสองข้างออกแรงทุบพื้นอยากเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นให้มาช่วยเธอหน่อย
แต่ว่า วันนี้ไม่มีทางมีคนเข้ามาที่นี่ และยิ่งไม่มีคนมาช่วยเธอหรอก
เธออยากต่อต้าน แต่เรี่ยวแรงกลับไม่พอ
“นังแพศยา ไปตายซะ” เหมือนหลินหยู่หานจะทุบตีจนขาดสติไปแล้ว ไม่แคร์เลยว่าเธอจะตายหรือเปล่า แค่อยากแก้แค้นกับการที่เหอรุ่ยหลินทรยศตัวเอง
“หลิน…หยู่หาน ถ้าฉันตาย แกก็อย่าคิดจะอยู่……”
“แกจะฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ จะเอาชีวิตฉันไม่ใช่เหรอ? ถึงจะตายก็ต้องแกตายก่อนแน่นอน!” หลินหยู่หานหัวเราะอย่างร้ายกาจ
เหอรุ่ยหลินเวียนหัวจนจะระเบิดอยู่แล้ว ร่างเงาบ้าคลั่งที่อยู่ตรงหน้ายิ่งอยู่ยิ่งพร่ามัว ไม่รู้ว่าจะตายหรือยัง ความมุ่งมั่นที่อยากจะอยู่รอดที่เหลืออยู่อันน้อยนิดค้ำจุนเอาไว้ ทันใดนั้นเธอกระชากหัวของหลินหยู่หานไว้ ใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากลงมา หลินหยู่หานเจ็บจนร้องโหยหวน เหอรุ่ยหลินฉวยโอกาสดึงสายผูกเอวของเธอมาพันคอของเธอแล้วใช้แรงรัดเอาไว้
ใบหน้าที่เหมือนหลินซินเหยียนอย่างกับแกะนี้ ก็ได้แบกรับความเคียดแค้นที่เธอมีต่อหลินซินเหยียน
ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยเส้นเลือด ออกแรงดึงสายผูกเอวให้แน่น
“แอะๆ…”
หลินหยู่หานตาเหลือกและลิ้นจุกปาก ส่งเสียงแอะๆอยากร้องขอช่วยชีวิต แต่ว่าได้แค่ส่งเสียงแอะๆออกมา
“อยากให้ฉันตาย แกยังไม่มีสิทธิ์พอหรอก!”
เหอรุ่ยหลินราวกับบ้าไปแล้ว “ไปตายซะ หลินซินเหยียน หลินหยู่หานพวกแกไปตายให้หมดเลย พวกแกสู้ฉันไม่ได้หรอก ฮ่าๆ……”
หลินหยู่หานค่อยๆสงบลงมาและ ไม่ได้ขัดขืนอีก
เรี่ยวแรงและความมุ่งมั่นที่เหอรุ่ยหลินหลงเหลืออยู่ล้วนสูญหายไป จู่ๆเธอได้วูบลงไป
อีกฝั่งนึงจงจิ่งห้าวได้เดินทางไปที่หมู่บ้านชุ่นเย่ก่อน ส่วนซูจ้านกับเสิ่นเผยซวนได้พาคนตามมาไปหลัง
มาถึงหมู่บ้านชุ่นเย่ เสิ่นเผยซวนได้ให้คนห้อมล้อมหมู่บ้านไว้ หมู่บ้านชุ่นเย่ไม่ใหญ่ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีแค่บ้านเรียงกันเป็นสองแถว อีกอย่างเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเปลี่ยว คนส่วนใหญ่ได้ไปจากหมู่บ้านนี้แล้วออกไปพัฒนาที่ข้างนอก ในหมู่บ้านดูค่อนข้างเงียบเหงา ตลอดทางมาก็ไม่ค่อยมีคนเลย
“ค้นหาให้ทั่วทุกบ้านเลย ฉันไม่เชื่อ มีกันอยู่แค่ไม่กี่ครอบครัว เหอรุ่ยเจ๋อยังจะสามารถซ่อนเข้าไปในรูหนูได้” ซูจ้านเต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม เอือมระอากับพฤติกรรมของเหอรุ่ยเจ๋อและเหอรุ่ยหลินมาก
จงจิ่งห้าวไม่สนใจ แต่ได้เหยียบอยู่บนพื้นผิวถนนที่ขรุขระ เป็นคนค้นหาทีละบ้านทีละหลังเอง หวังหาเธอเจอโดยเร็ว หวังเจอหน้าเธอโดยเร็ว
หวังว่าตัวเองจะสามารถหาเธอเจอ ก่อนเป็นคนแรก
หวังว่าคนแรกที่เธอจะสามารถเห็นคือเขา
ค้นหามาครึ่งค่อนหมู่บ้านก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย ไม่เห็นร่างเงาและร่องรอยของเธอเลย
ขณะที่พวกเขาเหยียบเข้าลานบ้านหลังหนึ่งที่ก่อด้วยอิฐ เจ้าของบ้านที่อยู่ด้านในเหมือนได้ยินว่าพวกเขามาตามหาคน พวกเขามีความเคลื่อนไหวที่ใหญ่โต คนมากันเยอะมาก ตอนที่ยังไม่ถึงบ้านพวกเขา ก็ได้ยินข้างบ้านบอกว่ามีคนมาตามหาคนที่หมู่บ้านแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านก็เลยรีบมาดู
“พวกคุณกำลังตามหาผู้หญิงคนนึงเหรอคะ?” คนที่ถามคือผู้หญิงวัยกลางคน ผิวดำคล้ำ สามีออกไปทำงานที่นอกบ้าน ส่วนเธออยู่บ้านคอยดูแลคนแก่และเด็กในบ้าน ปกติก็ทำไร่ทำนา คนชนบทก็ไม่ชอบบำรุงผิวพรรณ แค่ดูหน้าตาก็รู้ว่าคือชาวไร่ชาวนา “ฉันเคยเห็นตรงหน้าหมู่บ้าน มีผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งอยู่ที่ระเบียงบ้านของป้าฮัว แต่ไม่เคยเห็นเธอออกมาจากบ้านเลย”
“อยู่ไหน?” จงจิ่งห้าวแทบจะสามารถแน่ใจได้ว่าผู้หญิงที่หญิงวัยกลางคนคนนี้พูดถึงก็คือหลินซินเหยียน
“คุณพาพวกเราไป ถ้าหาคนเจอ ให้คุณหนึ่งแสนหยวน” ซูจ้านพูดจูงใจ
หญิงวัยกลางคนกลืนน้ำลายทีนึง ดูคนพวกนี้แต่งตัวภูมิฐาน รถที่ขับมาเธอก็เคยเห็นแค่ในทีวีเท่านั้น เหมือนจะแพงมาก คนในเมืองต่างก็เรียกว่ารถหรู แค่เปิดปากก็ให้เป็นแสนเลย
เธอหวั่นไหวจะแย่อยู่แล้ว
ที่บ้านก็มีแค่สามีคนเดียวที่ออกไปหาเงินนอกบ้าน เธอทำนาอยู่ที่บ้าน ค่าใช้จ่ายของทั้งครอบครัวก็อาศัยรายได้อันน้อยนิดนี้ อยู่ในหมู่บ้านก็เป็นครอบครัวรากหญ้า แม้แต่ป้าฮัวที่เป็น
แม่หม้ายในหน้าหมู่บ้าน ก็ยังรวยกว่าบ้านเธอเลย
เพื่อหนึ่งแสนหยวนนี้ หญิงวัยกลางคนมีความกระตือรือร้นมาก “พวกคุณมากับฉันเลยค่ะ อยู่หน้าหมู่บ้านนี้เอง ไม่ไกลค่ะ”
เสิ่นเผยซวนให้คนที่พามาด้วยเฝ้าไว้ต่อ ห้ามให้คนในหมู่บ้านออกไปแม้แต่คนเดียว จากนั้นก็ได้ไปหน้าหมู่บ้านกับหญิงวัยกลางคน
ไม่นานก็เห็นตึกสีขาวสองชั้น จงจิ่งห้าวมองระเบียงชั้นสองที่หญิงวัยกลางคนพูดถึง สายลมอ่อนๆพัดโชย ผ้าม่านพลิ้วไหวไปมา แต่กลับไม่เจอร่างเงาที่เขาปรารถนา
ยิ่งใกล้เข้าไป เขาก็ยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น
ปังๆๆ…
“ป้าฮัว” หญิงวัยกลางคนตบประตูเหล็ก “ป้าฮัว เธออยู่บ้านหรือเปล่า ถ้าอยู่บ้านก็เปิดประตูหน่อย……”
หญิงวัยกลางคนยังพูดไม่จบ ซูจ้านกับเสิ่นเผยซวนที่ยืนอยู่ซ้ายกับขวาก็ได้ถีบประตูออกคนละข้าง
หญิงวัยกลางคนอึ้ง คิดอยู่ในใจว่าคนพวกนี้คงไม่ใช่มาเฟียอะไรมั้ง?
ใช้ความรุนแรงขนาดนี้?
“คุณเคาะขนาดนี้ ตะโกนขนาดนี้ ถึงมีคนอยู่ก็ต้องถูกคุณทำเอาตกใจจนวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงจนหมด” ซูจ้านจ้องหญิงวัยกลางคนทีนึง เหมือนไม่พอใจที่เธอเคาะประตู
“หนีไม่ได้ค่ะ หนีไม่ได้ หน้าต่างของลานบ้านนี้ได้ติดหน้ากันขโมยที่แข็งแรงทนทานมาก ถ้าคนอยู่ข้างในไม่มีทางหนีได้หรอกค่ะ” หญิงวัยกลางคนรีบอธิบาย เธอไม่อยากขัดใจคนพวกนี้หรอกนะ
อีกทั้งยังดูแล้วเป็นคนที่แตะต้องไม่ได้เลย
จงจิ่งห้าวเดินเข้าไปในลานบ้านก่อน ลานบ้านไม่ใหญ่ ดูแลได้ไม่เลว เหมือนที่หญิงวัยกลางคนบอก ที่นี่ปิดกั้นได้ดีมาก นอกจากระเบียงของชั้นสองกับหน้าต่างของชั้นหนึ่ง ไม่มีทางที่คนจะสามารถออกไปได้เลย ในขณะเดียวกันก็เข้ามาไม่ได้ จะต้องเข้าออกจากประตูอย่างเดียว
นิ้วมือของเขาสั่นเทา หลินซินเหยียนถูกขังอยู่ที่นี่เองเหรอ?
เข้ามาถึงห้องรับแขก ห้องรับแขกไม่ใหญ่ สิ่งของที่จัดวางดูเรียบง่าย แต่กลับเก็บกวาดได้สะอาดสะอ้าน บ้านทั้งหลังเงียบมาก ไม่ก็ไม่มีคนอยู่ ไม่ก็ซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แม้แต่ลมหายใจก็ให้คนรับรู้ไม่ได้เลย
เสิ่นเผยซวนเห็นคราบเลือดบนโซฟาแล้วขมวดคิ้ว แต่เขาไม่ได้ส่งเสียงออกมา ยังได้พยายามบังสายตาของจงจิ่งห้าวไว้
ซูจ้านผลักเขา “นายบังอะไร ทำตัวลับๆล่อๆ?”
เสิ่นเผยซวนจ้องเขาทีนึง “ใครบัง”
แต่กลับด่าอยู่ในใจ ทำไมไอ้หมอนี่ถึงได้ดูสถานการณ์ไม่เป็นขนาดนี้ ไม่ไปตามหาคน มัวแต่มาจ้องเขาทำไม?
ความเคลื่อนไหวของพวกเขาสองคน ดึงดูดความสนใจของจงจิ่งห้าวได้สำเร็จ สายตาของเขาแค่เหลือบไปมอง ก็เห็นคราบเลือดที่แห้งแล้วบนโซฟา แววตายิ่งอยู่ยิ่งลึกเหมือนหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง
เสิ่นเผยซวนกลัวเขาจะคิดมาก “คราบเลือดอันนี้อาจจะเป็นของเหอรุ่ยเจ๋อ หรือไม่ก็ของป้าฮัวคนนั้น น่าจะไม่ใช่ของคุณหลิน……”
จงจิ่งห้าวไม่มีความอดทนฟังคำไร้สาระของเขา ได้ขึ้นไปชั้นสองโดยตรง เขาเห็นคราบเลือดที่ชั้นสอง แค่หยดเล็กๆหยดเดียว แต่กลับกระทบใจ เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ชั้นสองมีแค่สองห้องนอน ห้องหนึ่งปิดประตูไว้ ส่วนอีกห้องเปิดประตูทิ้งไว้ แค่มองแว๊บเดียวก็สามารถมองเห็นทุกอย่างของด้านใน
ตอนที่เหอรุ่ยเจ๋อไปได้ไปอย่างตะลีตะลานมาก ไม่ได้ปิดประตูห้อง ในห้องก็ไม่ได้เก็บกวาดเลย ยังคงสภาพตอนนี้เขาอุ้มหลินซินเหยียนจากไป
ผ้าปูที่นอนถูกถอดออก บนเตียงยุ่งเหยิง เฟอร์นิเจอร์เรียบง่าย เขากลับพบเห็นคราบเลือดจางบนผนังอย่างหลากแหลม และเดรสที่วางพาดอยู่บนเก้าอี้ เป็นชุดที่เธอใส่ในวันที่หายตัวไป
เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
คราบเลือดนี้เป็นของใคร?
ที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้น?
เขาไม่กล้านึกภาพต่อ……
ก๊อกๆๆ…
ซูจ้านวิ่งมา “จับตัวป้าฮัวคนนั้นได้แล้ว……”