งานเลี้ยงประจำปีของไป๋ซื่อกรุ๊ปคึกคักมาก แม้แต่นายกเทศมนตรีก็มาร่วมงานด้วยตนเอง เพราะธุรกิจของตระกูลนี้มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและมีส่วนช่วยเหลือเมืองนี้มากมาย
เมื่อรถหยุดลง หลินซินเหยียนก็เห็นป้ายขนาดใหญ่ติดไว้ที่ด้านหน้าโรงแรม ส่วนด้านข้างก็มีรถจอดอยู่เต็มไปหมด ส่วนมากล้วนเป็นของพนักงานที่ไป๋ซื่อกรุ๊ป
ทันใดนั้นเอง เกาหยวนผู้ช่วยของไป๋ยิ่นหนิงก็วิ่งเข้ามาเปิดประตู ส่วนคนขับรถก็เข็นเขาออกมาจากรถ“นายกเทศมนตรีมาถึงแล้วครับ”
ไป๋ยิ่นหนิงตอบอืมเบาๆด้วยท่าทีเรียบเฉย เขาหันหน้าไป หลินซินเหยียนเดินตรงมาพอดี เกาหยวนจึงถอยหลบเพื่อเว้นที่ให้หลินซินเหยียนอย่างรู้งาน
หลินซินเหยียนจับที่จับรถเข็นไว้แน่นแล้วเข็นเขาเข้าไปในโรงแรม
โคมไฟระย้าที่ประดับด้วยคริสตัลห้อยตระหง่านอยู่กลางห้องโถง มันส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง
บุคลากรที่สำคัญๆขององค์กรกำลังคุยกับท่านนายกเทศมนตรี ทว่าเมื่อเห็นไป๋ยิ่นหนิงมาแล้ว ทุกคนก็หลีกทางให้เขาโดยสัญชาตญาณ ตัวคนยังไม่ทันมาถึงแต่เสียงอื้ออึงกลับดังขึ้นก่อนแล้ว ใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของงานเลี้ยงนี้ปรากฏขึ้น“ขอโทษทีที่ผมมาสายครับ”
มีพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งกำลังจะเดินผ่าน ไป๋ยิ่นหนิงจึงเรียกให้เขาหยุด จากนั้นก็หยิบแก้วไวน์บนถาดที่เขาถือไว้ออกมาแก้วหนึ่ง“เพื่อเป็นการขอโทษ ผมจะดื่มลงโทษตัวเองสามแก้ว”
พอกระดกแก้วแรกหมด เขาก็วางแก้วลงแล้วหยิบแก้วใหม่ขึ้นมากระดกรวดเดียวหมดอีกครั้ง ทว่าขณะที่กำลังจะดื่มแก้วที่สาม นายกเทศมนตรีก็ได้เอ่ยปากขึ้น“คุณมาสายแล้วควรดื่มสามแก้วเพื่อเป็นการขอโทษก็จริง แต่ว่าพวกเราเข้าใจคุณนะ”
เขากวาดสายตามองมาที่ขาของไป๋ยิ่นหนิง เหมือนกับจะสื่ออะไรบางอย่าง
ไป๋ยิ่นหนิงยังคงสีหน้าเดิมไว้พร้อมกับรอยยิ้ม“กระต่ายวิ่งแข่งกับเต่า แล้วทำไมเต่าถึงเป็นฝ่ายที่ชนะกันนะ ผมว่าผมคงเป็นเต่าที่ขยันขันแข็งและมีความพยายามตัวนั้น ฉะนั้นการที่ผมมาสาย มันก็สมควรแล้วที่จะต้องดื่มเหล้าสามแก้วเพื่อเป็นการลงโทษตัวเอง ”
เขาพูดอย่างมีเลศนัย ถึงเขาจะขาไม่ดี แต่เขาก็ประสบความสำเร็จ
คนที่มีความพยายาม ไม่ว่าคุณจะอยู่สถานะไหน ขอเพียงแค่คุณประสบความสำเร็จคุณก็จะชนะ
ส่วน‘กระต่าย’ถึงแม้มันจะเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ได้เปรียบมากกว่า แต่ถ้ามันหยิ่งผยองคิดว่าตัวเองดีมากจนไม่พยายามทำอะไร สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นกับมันนะ?
พูดจบเขาก็กระดกแก้วที่สามลงไปโดยยังคงสีหน้าเดิมไว้
นายกเทศมนตรีสวมชุดสูทสีดำสนิท เขาค่อนข้างมีอายุแล้วจึงมีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ความรู้สึกไม่พอใจที่ไป๋ยิ่นหนิงมาสายหายเป็นปลิดทิ้ง
เขาชื่นชมในความฉลาดของไป๋ยิ่นหนิง
แต่แล้วสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่หลินซินเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขาอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาที่ไป๋ยิ่นหนิง“แฟนคุณหรอ?”
ทุกคนรู้ว่าไป๋ยิ่นหนิงยังไม่ได้แต่งงาน และข้างกายของเขาก็ไม่เคยมีหญิงใดเลยด้วย นี่ถ้าเกิดว่าเขาไม่พิการก็อยากจะยกลูกสาวตัวเองให้อยู่หรอกนะ
แต่พูดตามจริง ถ้าไม่มองเรื่องที่เขาพิการ ทุกคนต่างก็ยอมรับในเรื่องหน้าตาและความสามารถของเขากันทั้งนั้น
ทว่าวันนี้ที่ข้างกายไป๋ยิ่นหนิงกลับมีสาวงามปรากฏตัวขึ้นมา ก็เลยคิดว่าหรือนี่จะเป็น‘ผู้หญิง’ของเขา
เพราะยังไงวันนี้ก็เป็นงานเลี้ยงประจำปีของไป๋ซื่อกรุ๊ป ถ้าเขากล้าพาหล่อนมาปรากฏตัวต่อหน้าพนักงานทั้งบริษัทแสดงว่าเขาให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้มาก
อีกอย่าง ไป๋ยิ่นหนิงก็แค่ขาไม่ดี ร่างกายเขาไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย เขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน แน่นอนว่ายังไงก็ต้องการผู้หญิง
ไป๋ยิ่นหนิงหันไปมองเธอพร้อมกับยิ้มพูดขึ้น“ผม……”
“เพื่อนค่ะ”
ไป๋ยิ่นหนิงยังไม่ทันได้พูด หลินซินเหยียนกลับชิงพูดตัดขึ้นก่อน
เธอไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเขามากนัก
แต่เธอก็ไม่อยากให้ไป๋ยิ่นหนิงเสียหน้า เธอตบบ่าไป๋ยิ่นหนิงเบาๆเพื่อให้ดูเหมือนทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน“เขาบอกว่าเขาไม่มีคู่ออกงานก็เลยรบเร้าให้ฉันมาด้วย ช่วยไม่ได้ ในฐานะเพื่อนที่ดีของเขา ฉันก็เลยต้องมา”
นายกเทศมนตรีหัวเราะร่าออกมาอีกครั้ง“ผมก็นึกว่าประธานไป๋ที่โสดมาตลอดจะเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาแล้วซะอีก นี่ผมเข้าใจผิดไปหรอเนี่ย”
ไป๋ยิ่นหนิงส่งยิ้มให้กับคนที่มาร่วมงาน แต่ก็ไม่วายมองค้อนไปที่หลินซินเหยียน
หลินซินเหยียนทำเป็นมองไม่เห็น ถึงเธอจะยอมตกลงมากับเขา แต่เธอจะไม่มีวันปล่อยให้เขาควบคุมทุกอย่างได้ เธอจะต้องชิงคุมอำนาจนี้ไว้ในมือของตัวเอง
ทั้งสองคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง จากนั้นนายกเทศมนตรีก็ให้เลขานำเอกสารมายื่นให้ไป๋ยิ่นหนิงหนึ่งฉบับ
ไป๋ยิ่นหนิงรับมา มันคือเอกสารการขออนุมัติที่ดินที่เขายื่นไปครั้งก่อน เขาอยากจะสร้างโรงงานไว้ที่นอกไป๋เฉิง เขาเลือกสร้างที่เขตปกครองตัวเองไป๋เฉิง เพราะงั้นก็เลยส่งใบขออนุญาตไป
นายกเทศมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะสร้างโรงงานไว้ในที่ของตน เพราะมันไม่เพียงแต่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเมืองเท่านั้น มันยังสามารถช่วยดึงคนต่างถิ่นไว้ได้ด้วย เนื่องจากมีโรงงานก็ต้องมีคนงาน และการที่เศรษฐกิจในเมืองจะเติบโตขึ้นได้ต่างก็ถูกขับเคลื่อนโดยวิสาหกิจในท้องถิ่นทั้งนั้น
ในฐานะนายกเทศมนตรี เพื่ออนาคตของเมือง เขาแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่า และแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมเสียคนที่มีความสามารถไปแม้แต่คนเดียวแน่ๆ
ณ ด้านนอกโรงแรม
รถออฟโรดสีดำขลับสองคันขับกลับมาจากข้างนอก เสิ่นเผยซวนลงมาจากรถก่อน พอเห็นรถที่มีป้ายทะเบียนเลขศูนย์ห้าตัวจอดอยู่ที่ลานน้ำพุ เขาจึงเหลือบมองเข้าไปในโรงแรมแวบหนึ่ง“ไป๋ซื่อกรุ๊ปนี่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะครับ”
เนื่องจากคนที่ใช้ป้ายทะเบียนแบบนี้ล้วนไม่ใช่คนธรรมดาๆทั้งนั้น อย่างน้อยคงจะต้องระดับนายกเทศมนตรีขึ้นไป
จงจิ่งห้าวสวมชุดสูทสีดำ และเนื่องจากนั่งอยู่ในรถมานานชุดเลยเกิดรอยยับนิดหน่อย เขาออกไปหาเบาะแสกับเสิ่นเผยซวน ทว่ากลับไม่มีใครเคยเห็นหลินซินเหยียนเลย
นี่มันก็หลายวันมาแล้วที่มาอยู่ไป๋เฉิง แต่ว่าพวกเขาก็แทบไม่เจออะไรเลย
ใต้ตาของเขาดำคล้ำ เนื่องจากหาตัวเธอไม่เจอสักที เขากังวลและร้อนใจว่าเหอลุ่ยเจ๋อจะย้ายเธอไปที่อื่น
“พวกเราขึ้นบันไดไปกันเถอะ”เสิ่นเผยซวนเสนอ เพราะบันไดไม่ได้อยู่ในห้องโถง และถ้าขึ้นบันไดไปจะได้ไม่ต้องเดินผ่านห้องโถงอีก
พวกเขาสามารถเดินขึ้นบันไดจากด้านนอกได้เลย
เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเพราะหลายวันมานี้ไม่ได้เบาะแสของหลินซินเหยียนเลย เสิ่นเผยซวนที่คอยติดตามเขาก็ได้แต่ใจตุ้มตุ้มต่อมต่อม
ในใจก็ได้แต่คิดเรื่องที่ซูจ้านจะมา แต่ทำไมยังมาไม่ถึงซักที?นี่มันก็ผ่านมาหลายวันแล้ว?
หรือว่าจะหาที่นี่ไม่เจอ?
แต่เขาก็ส่งโลเคชั่นไปให้แล้วนี่นา
ถ้าซูจ้านมาก็คงจะช่วยแบ่งเบาภาระความกดดันนี้ออกไปได้บ้าง
หลายวันที่ผ่านมานี้แทบไม่เจอเบาะแสอะไรเกี่ยวกับหลินซินเหยียนเลย เพราะงั้นอย่าว่าแต่จงจิ่งห้าวจะรู้สึกร้อนใจเลย เขาเองก็ร้อนใจเหมือนกัน
และหลายวันมานี้จงจิ่งห้าวจะทำสีหน้าดีๆก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กทั้งสอง แต่พอเด็กทั้งสองไม่อยู่เท่านั้นแหละ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม เย็นชาดุจน้ำแข็งเลยทีเดียว
แค่คิดว่าต้องเจอหน้าเขาแบบนี้ทุกวัน เสิ่นเผยซวนก็รู้สึก‘อกสั่นขวัญแขวน’แล้ว
อีกอย่างถ้าเกิดว่ามีโรงแรมที่ดีกว่านี้จงจิ่งห้าวคงไม่เลือกพักที่นี่หรอก เพราะมันเสียงดังโหวกเหวกเกินไป
เสิ่นเผยซวนเดินตามเขาเข้าไปข้างในแล้วเอ่ยขึ้น“ผมไปสอบถามคนดูแลที่นี่มาแล้ว เขาบอกว่ามันจะเป็นแบบนี้แค่วันนี้วันเดียว เนื่องจากมีงานเลี้ยงประจำปีของไป๋ซื่อกรุ๊ป ซึ่งที่นี่เป็นโรงแรมของเขา เขาก็เลยต้องจัดที่นี่”
จงจิ่งห้าวก้าวขึ้นบันไดไป พอก้าวออกไปได้สองสามก้าวก็หยุดกะทันหัน
เสิ่นเผยซวนไม่ทันสังเกตว่าจู่ๆจงจิ่งห้าวก็หยุดเดินจึงเกือบจะเดินเข้าไปชน เขาตกใจหัวใจแทบวาย จากนั้นก็ก้าวถอยหลังไป“คุณ เป็นอะไรไปครับ?”
อย่าทำให้เขาตกใจสิ หลายวันมานี้ที่คอยติดตามไปด้วยมันก็ทรมานจะแย่แล้ว
จงจิ่งห้าวจับราวบันไดไว้ แล้วกำหมัดแน่น“หรือว่า…..เธอไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว?”
เขาไม่แน่ใจ เพียงแต่รู้สึกว่าหลินซินเหยียนคงไม่อยู่ที่นี่แล้ว แต่ก็คิดว่าถ้าตัวเองจากไปแบบนี้จะพลาดอะไรไปรึเปล่านะ
เรื่องนี้เสิ่นเผยซวนก็ไม่กล้าตอบ
เนื่องจากเบาะแสที่มีอยู่มันน้อยเกินไป ที่มาถึงตรงนี้ได้ก็อาศัยแค่เบอร์โทรศัพท์เท่านั้น แล้วหลายวันมานี้มันก็ไม่มีข่าวสารหรือเบาะแสเพิ่มเติมอะไรเลย เขาควรจะทำยังไงดี?
แต่ถึงยังไงก็ยังดีที่หล่อนโทรมาหาหลินซีเฉิน มันทำให้เขารู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน
ครืดครืด—
โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงจงจิ่งห้าวดังขึ้น เขาหยิบออกมาแล้วกดรับสาย น้ำเสียงที่สดใสดังกังวานขึ้นราวกับเสียงกระดิ่งสีเงิน”เมื่อไหร่คุณพ่อจะกลับมาคะ?”
“ใกล้ถึงแล้ว”
“ใกล้ถึงคืออีกกี่นาทีคะ?”จงจิ่งห้าวเดินไปพลางคุยโทรศัพท์กับลูกสาวไป“อีกแป๊บเดียว แค่ลูกกะพริบตา พ่อก็จะปรากฏตัวต่อหน้าหนูเลย”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ ทำไมคุณพ่อยังไม่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าล่ะคะ?
“คุณพ่อขา—”
“หันมาทางนี้หน่อยครับ”
ช่างภาพยืนหันหน้ามาทางลานกลางห้องโถงพร้อมกับถือกล้องไว้ในมือ เนื่องจากนี่เป็นงานเลี้ยงประจำปีของไป๋ซื่อกรุ๊ป ซึ่งมีการคัดเลือกผู้จัดการและพนักงานที่ยอดเยี่ยมออกมาหลายคน และไป๋ยิ่นหนิงก็จำเป็นต้องถ่ายรูปรวมกับพวกเขา
หลินซินเหยียนไม่อยากเข้าไปถ่ายด้วย ทว่าไป๋ยิ่นหนิงกลับมองมาที่เธอแล้วพูดขึ้น“คุณรับปากผมแล้วว่าจะเป็นคู่ออกงานกับผม แล้วถ้าไม่ยืนอยู่ข้างผม จะถือว่ามาออกงานกับผมได้ยังไง?”
หลินซินเหยียนเถียงไม่ออกก็เลยต้องกัดฟันยืนถ่ายรูปอยู่ข้างๆเขา
แชะ—
พอเสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น แสงแฟลชจากล้องก็สาดกระทบเข้ากับโคมไฟคริสตัลขนาดยักษ์มันสะท้อนวาบมาถึงตาจงจิ่งห้าว เขาหรี่ตาลงพร้อมกับพูดกับลูกสาวต่อ“ลองนับหนึ่งถึงสามดูสิ เดี๋ยวพ่อก็ถึงแล้ว……”
ขณะที่พูดเขาก็เหลือบมองลงมาข้างล่างอย่างไม่ตั้งใจ……