” ฉันดูออกแล้ว ” หลินซินเหยียนรู้ตั้งแต่แรกแล้ว แค่ผ้าไหมกวางตุ้งปรากฏออกมาต่อสายตาของเธอ ก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าไป๋ยิ่นหนิงนั้นจงใจ
แต่เธอกลับแปลกใจ ว่าไป๋ยิ่นหนิงคิดจะทำอะไร เธอเลยหยิบยกเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีกครั้ง ” ตอนแรกที่เขาช่วยฉันก็เป็นเพราะกำไลวงนี้ คุณว่าเขากับยู่ซิ่วเป็นอะไรกันแน่ ”
เธอหันไปมองจงจิ่งห้าว เธอรู้ว่าเขาไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ แล้วก็ไม่ชอบให้ใครพูดถึงหล่อน
แต่เธอรู้สึกได้ ไป๋ยิ่นหนิงก็ดี อาจารย์สอนผ้าไหมกวางตุ้งก็ดี ต้องมีอะไรที่เกี่ยวพันยู่ซิ่ว แน่ๆ เพราะเธอก็เห็นว่าอาจารย์คนนั้นก็มองมาที่กำไลข้อมือของเธอเหมือนกัน ” แล้วกำไลอันนี้มีความเป็นมายังไงกันแน่ ”
จงจิ่งห้าวก็ไม่แน่ใจกับเจ้ากำไลอันนี้เหมือนกัน เขาเป็นผู้ชาย ไม่จำเป็นต้องใช้ของแบบนี้อยู่แล้ว คนในครอบครัวของเขาก็ไม่เคยพูดถึงมันมาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าตระกูลจงมีกำไลหยกสืบทอดแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า
” ดังนั้นคุณก็เลยอยากอยู่ที่นี่ แล้วก็หาความจริงจากเรื่องนี้ยังงั้นเหรอ ” ถึงจะดูเหมือนเป็นประโยคคำถาม แต่จริงๆ แล้วมันคือประโยคบอกเล่าต่างหาก
ผู้หญิงคนนี้นี่นะ….
เขาหลับตาลง เพื่อกดอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท ” คุณไม่รู้ว่าฝั่งนั้นต้องการอะไรกันแน่ คุณก็ยังกล้าจะอยู่เคย คิดบ้างไหมว่าถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมา เสี่ยวลุ่ย เสี่ยวซีแล้วก็ผมจะเป็นยังไง ”
เธอคิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว เธอยอมรับแต่โดยดี แต่เธอต้องคลายความสงสัยในใจของเธอให้ชัดเจน เธอรู้สึกว่ายู่ซิ่วก็ไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายอะไร
” คุณจะปกป้องฉันเอง ” เธอคว้าแขนของเขาขึ้นมา แล้วอิงแนบร่างกายลงบนตัวของเขา
เมื่อเธอทำแบบนั้น ตัวของจงจิ่งห้าวก็นิ่งไม่ไหวติงไปชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเป็นเช่นเดิม
เธอยื่นข้อเสนอที่ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธมันได้
ผู้หญิงคนนี้มักมีความคิดของตัวเองเสมอ เขาไม่สามารถหาวิธีไหนมาโต้แย้งเธอได้เลย
ถึงเขาจะด่า จะตี จะว่ายังไง ก็ทำได้แค่เห็นด้วยกับเธอไปเสียทุกอย่าง
จงจิ่งห้าวคว้าเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมอก ” ผมควรจะทำยังไงกับคุณดี ”
หลินซินเหยียนที่อยู่ภายใต้ไหล่กว้างของเขา กำลังมองออกไปยังที่ไกลๆ จริงๆ แล้วเธออยากรู้เรื่องของยู่ซิ่วในอดีต ก็เป็นเพราะจงจิ่งห้าว
ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่พ่อของลูกเธอ เธอก็มีความรู้สึกใจสั่นอยู่บ้าง เธอคงไม่ไหลไปตามน้ำทำเรื่องอะไรแบบนี้แน่
เธอเอื้อมมือไปโอบเอวของร่างสูงเอาไว้ ” ฉันจะต้องปกป้องตัวเองให้ได้ ”
จงจิ่งห้าว บรรจงประคองศีรษะของเธอเอาไว้และประทับรอยจูบอันร้อนแรงลงบนหน้าผากของเธอ ” ผมจะรอคุณ ”
หลินซินเหยียนเองก็ไม่อยากห่างจากลูกทั้งสองของเธอไปไกล แต่ก็พยักหน้ารับคำ
จงจิ่งห้าวก็ตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ เสิ่นเผยซวนก็ยังคงเหลือคนไว้ที่นี่ ซูจ้านกับฉินยาก็กลับไปยังโรงแรมเพื่อที่จะเก็บของมาอีกรอบ ด้านหลังบ้านไม้ของผู้อาวุโสก็ยังมีเรือนอีกหลังหนึ่ง ชายแกยกเรือนด้านหน้าให้พวกเขาอยู่
นี่มันเหมือนการฝึกแบบโบราณในยุคสมัยใหม่
ด้านหลังยังคงเป็นบ้านไม้เช่นเดิม แต่ในตัวบ้านทั้งหมดกลับเป็นยุคสมัยใหม่ แม้กระทั่งของมากมายที่เป็นของเทคโนโลยีชั้นสูง อีกทั้งยังถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ข้างในไม่มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกใดๆ เห็นได้ชัดว่าที่นี่ถูกทำความสะอาดอยู่เป็นประจำหรืออาจจะมีคนเข้ามาบ่อย
ผู้อาวุโสยื่นสมุดบันทึกบางอย่างให้เธอ ” ฉันเคยเขียนบันทึกไว้เธอเอาไปดูเสีย เมื่อก่อนเคยสัมผัสกับของพวกนี้มาก่อนหรือเปล่า ”
หลินซินเหยียน ยื่นมือทั้งสองข้างไปรับมันเอาไว้ ก่อนจะตอบว่ามาตรงๆ ” ไม่เคยได้สัมผัสพวกเครื่องจักรที่ทำวัสดุผ้าเลยค่ะ แต่ว่าก็พอรู้จักวัสดุอยู่หลายชนิด รู้ว่าแต่ละอันมีจุดเด่นยังไง แล้วก็สามารถปรับใช้กับเสื้อผ้าแบบไหนได้บ้างประมาณนั้นค่ะ ”
ผู้อาวุโสพยักหน้าหงึกหงัก ดูเหมือนจะพอใจกับคำตอบของหลินซินเหยียน
แค่มองเห็นของพวกนี้ในห้อง สีหน้าของเขาก็ดูห่อเหี่ยวลงเล็กน้อย ” สุดท้ายก็ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยสินะ ”
” อาจารย์คะ ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ” จริงๆ ที่นี่ก็ทำให้เธอแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมผ้าไหมกวางตุ้งถึง ไม่ได้รับการสืบทอดต่อ
” ทำไมอาจารย์ถึงไม่ออกไปจากที่นี่ล่ะคะ… ”
” สมุดบันทึกที่ฉันให้เธอ เอาไปอ่านให้หมดรอบหนึ่ง พรุ่งนี้ฉันจะทดสอบเธอ ” พูดจบชายแกก็เดินออกจากห้องไป
ดูก็รู้ว่าเขาไม่ยอมตอบในสิ่งที่เธอถาม
หลินซินเหยียนก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร นี่แค่วันแรก ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เธอรู้สึกว่าการอยู่ที่นี่ จะช้าจะเร็วก็ต้องสืบค้นในสิ่งที่เธออยากรู้ได้อยู่ดี
เรือนด้านหลังไม่เหมือนกันเรือนด้านหน้า ตรงที่ก็พอมีห้องอยู่บ้าง แต่เรือนด้านหลังนอกจากห้องที่วางเครื่องจักรพวกนั้นแล้ว เรือนที่อยู่ด้านข้างก็มีแค่สองห้องเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่ห้องที่ใหญ่เสียด้วย แต่ละห้องก็วางได้แค่เตียงหนึ่งหลังกับโต๊ะหนึ่งตัว ที่แทบจะยึดครองพื้นที่ห้องทั้งหมด แต่ที่นี่กลับดูเงียบสงบ
แค่นั่งอ่านหนังสือก็ทำให้หลุดลงไปในภวังค์ได้อย่างง่ายดาย
หลินซินเหยียนรู้สึกว่านั่งเดี๋ยวเดียวก็หมดวันไปเสียแล้ว
ผู้อาวุโสแวะเวียนมาดูเธอบ้างเป็นครั้งคราว ความอดทนของเธอนั้นทำให้เขารู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างมาก
ตอนกลางคืนผู้อาวุโสทำอาหารเสร็จแล้ว เขาก็เรียกหลินซินเหยียนให้ออกมากินข้าว
ภายในร้านบ้านน้อยๆ นั้นถูกวางด้วยโต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสหนึ่งตัว และเก้าอี้ตัวน้อยอีกสองตัว บนโต๊ะถูกวางด้วยกับข้าวสองอย่าง นั่นก็คือปลาหนึ่งตัวกับผักอีกหนึ่งจาน
หลินซินเหยียนอาสายกจาน เธอยื่นตะเกียบให้ผู้อาวุโส ” นี่ค่ะอาจารย์ ”
ผู้อาวุโสยิ้มออกมาน้อยๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินซินเหยียนเห็นเขายิ้ม มันทำให้เธอรู้สึกว่าเขาดูเป็นมิตรและน่าเคารพ
” ปลาตัวนี้ ฉันใช้แหจับมาจากลำธาร ไม่มีสิ่งเจือปนแน่นอนวางใจกินได้เลย “ผู้อาวุโสคีบเนื้อปลาหนึ่งคำมาวางลงในชามของหลินซินเหยียน ” ลองชิมดูว่ารสชาติเป็นยังไง ”
หลินกั๋วอัน ไม่เคยดีกับเธอแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆ เธอก็รู้สึกแสบแปล๊บๆ ที่จมูก เธอก้มหน้าลง ก่อนจะคีบเนื้อปลาเข้าปากไป
ดูเหมือนไม่ได้ใส่เครื่องปรุงเยอะนัก ส่วนใหญ่รสชาติยังคงรักษารสเดิมของเนื้อปลาไว้อยู่ เนื้อปลามีความละเอียดและนุ่ม มีความเค็มและหวานอ่อนๆ เป็นรสชาติที่มีเป็นเอกลักษณ์มาก
” ใส่น้ำตาลด้วยหรอค่ะ ” หลินซินเหยียนถาม
” ไม่ได้ใส่ เนื้อปลามีความหวานอยู่ในเนื้อของมันอยู่แล้ว แต่ว่าปลาในแม่น้ำสายนี้มีรสหวานอยู่แล้ว ที่อื่นไม่เป็นแบบนี้หรอก ” ผู้อาวุโสพูดออกมาเนือยๆ ตอบคำถามของหลินซินเหยียนอย่างมีความอดทน
หลังๆ มานี้ หลินซินเหยียน ถามคำถามเขามากมาย ส่วนมากเป็นสิ่งที่เธออ่านในบันทึก แล้วไม่ค่อยเข้าใจนะ
ใช่แก่อดทนตอบทุกคำถาม
หลินซินเหยียนอดทนอยู่ที่นี่มาหนึ่งสัปดาห์แล้ว เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่เธอไม่เคยเดินออกมาจากเรือนด้านหลังเลยแม้แต่ก้าวเดียว
เวลาส่วนใหญ่เธอมักจะหมกตัวอยู่แต่ในห้องเครื่องจักรทำผ้า ทำความคุ้นเคยกับการทำงานของเครื่องจักร แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียนรู้ถึงขั้นลึก
แต่เธอก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร รู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลานั้นแล้วผู้อาวุโสก็คงสอนเธอเอง
และนี่ก็เป็นอีกคืน สถานที่เดียวกัน กับข้าวยังคงสองจานเช่นเดิม ข้าวสวยสองจาน และคนสองคน
” อาจารย์คะ อาจารย์มีญาติหรือคนที่สนิทไหม ” หลินซินเหยียนถามขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ผู้อาวุโสที่กำลังคีบกับข้าวก็ชะงัก เขาคีบอาหารเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวอย่างช้าๆ ผ่านไปไม่กี่อึดใจเขาก็ตอบ ” มีสิ ”
” แล้วทำไมไม่เห็นมีใครกลับมาที่นี่เลยล่ะคะ ”
ผู้อาวุโสเงยหน้าขึ้นมามองเธอ เขารู้ว่าเธอกำลังถามเรื่องส่วนตัวของเขาอยู่
หลินซินเหยียนรีบแก้ต่างพัลวัน ” ฉันแค่ถามเฉยๆ ค่ะ… ”
” ฉันมีน้องสาวหนึ่งคน ”
ผู้อาวุโสพูดตัดบทหลินซินเหยียนที่กำลังอธิบาย
เมื่อไป๋ยิ่นหนิงได้พบกับเขา เขาก็ตัดสินใจว่า ถึงจะฝ่าฝืนสัญญา เขาก็ต้องเป็นคนสืบทอด สิ่งที่สืบต่อกันมาหลายศตวรรษ นั่นก็คือตกลงเป็นผู้สืบทอดการทำผ้าไหมกวางตุ้งนั่นเอง
เขาเก็บหลินซินเหยียนไว้ สอนวิธีการทำผ้าไหมกวางตุ้งกับเธอ เรื่องบางเรื่องก็คงปิดเธอไว้ไม่ได้แน่นอน
จากการที่เขาเฝ้าดูเธอมาหลายวัน เขารู้สึกว่าหลินซินเหยียนเป็นเด็กสาวที่ใช้ได้คนหนึ่งเลยทีเดียว ทั้งอดทน ฉลาด แล้วก็เข้าใจอะไรง่ายๆ โดยที่เขาไม่ต้องลงแรงอะไรมากมาย
” เธอแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่หมู่บ้านอื่นเหรอคะ ” เมื่อผู้อาวุโสยอมเปิดปากพูด หฃินซินเหยียนไม่รอช้า ใช้โอกาสตีเหล็กเมื่อมันกำลังร้อนได้ที่จึงรีบถือโอกาสถามในสิ่งที่สงสัยออกมา
” ไม่ใช่หมู่บ้านอื่น แต่ไกลออกไปจากที่นี่ น้อยครั้งที่จะกลับมา ตอนนี้ทางบ้านก็มีฉันอยู่แค่คนเดียว แต่ถ้าฉันติดต่อเธอไปแล้วไม่นานเธอก็คงจะกลับมาที่นี่ ”
ผู้อาวุโสพูดออกมาเนืองๆ
น้ำเสียงมีความกลัดกลุ้มแฝงอยู่
เขามองไปที่หลินซินเหยียน ” ถึงเวลาถ้าเธออยากรู้อะไร ก็ถามน้องของฉันได้ ”
หลินซินเหยียนมองผู้อาวุโสอย่างแปลกใจ เหมือนเขาจะรู้ว่าตัวเธอเองมีเรื่องอื่นที่อยากรู้
และเหมือนกับว่าเรื่องที่เธออยากรู้ น้องสาวของเขาก็รู้ทั้งหมด
ถ้ายังงั้นน้องสาวของเขาคือใครกันนะ