หน้าต่างที่สูงจากพื้นบานหนึ่ง แสงแดดส่องผ่านเข้ามาไม่น้อย เธอนั่งอยู่บนพื้นที่อยู่ตรงหัวมุม ถือกระดานวาดรูปอยู่ในมือ และกำลังออกแบบชุดเจ้าสาวอยู่ ในหัวของเธอได้มีแบบคร่าวๆอยู่แล้ว พอวาดออกมามันก็ค่อนข้างเป็นไปได้ด้วยดีเมื่อเริ่มทำงาน เธอก็จะลืมเรื่องทุกอย่างไป แม้แต่ความไม่สบายใจที่เหอรุ่ยเจ๋อมีให้เธอก็ยังถูกลืมไป
ตอนที่จงจิ่งห้าวกำลังจะเดินเข้าไปนั้น คนขับรถที่ออกไปกับหลินซินเหยียนวันนี้ก็เดินเข้ามาพอดี ปกติเรื่องแบบนี้เขาไม่จำเป็นต้องรายงานกับจงจิ่งห้าวด้วยตนเอง แต่วันนี้ซูจ้านกับเสิ่นเผยซวนต่างก็ไม่อยู่
เรื่องการปรากฏตัวของเหอรุ่ยเจ๋อ เขาคิดว่าจำเป็นต้องรายงานให้จงจิ่งห้าวได้รู้
“วันนี้ตอนที่ผมออกไปที่ศูนย์การค้ากับคุณหลิน ไปพบกับเหอรุ่ยเจ๋อเข้าครับ”
สีหน้าของจงจิ่งห้าวเคร่งขรึมลงไปทันที เส้นต่างๆ บนใบหน้ายุบมารวมกันเป็นเส้นตรง
“เขาต้องการจับตัวคุณหลินไป แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าเขาคอยจับตาดูเราอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดรึเปล่า”
ไม่ต้องคิดเลย จะต้องแอบอยู่ในที่มืดแน่นอน เพื่อรอโอกาสที่จะได้ลงมือ
จงจิ่งห้าวยกมือขึ้น “ผมเข้าใจแล้ว คุณไปก่อนเถอะ”
พวกเขาอยู่ในที่สว่าง ส่วนเหอรุ่ยเจ๋อนั้นอยู่ในที่มืด ถ้าอยากจับเขาให้ได้ ก็ต้องล่องูออกจากโพรงแล้วจับให้ได้ แบบนี้ถึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเด็ดขาด
เขาตัดสินใจแล้ว แต่ตอนนี้ซูจ้านกำลังจะแต่งงาน เขาจึงต้องเก็บแผนล่องูออกจากโพรงนี้เอาไว้ก่อน
ตอนที่คนขับรถกำลังจะไป จงจิ่งห้าวก็เรียกเขาเอาไว้ก่อน “รอเดี๋ยว……”
“วันนี้เธอไปซื้ออะไรที่ศูนย์การค้าบ้าง?” จงจิ่งห้าวทำเป็นจริงจัง หลินซินเหยียนได้ซื้อของขวัญให้หลินซีเฉินแล้ว ก็ต้องซื้อให้เขาด้วยเหมือนกัน
คนขับรถนึกไปแปบหนึ่ง แล้วตอบตามความจริงไปว่า “ไข่มุก รูบิค ผ้าลายลูกไม้ครับ”
เหมือนเขาจะได้ยินว่าหลินซินเหยียนได้ซื้อรูบิคให้หลินซีเฉินเป็นของขวัญ อันนี้ก็เหมาะกับความชอบของเด็กน้อยอยู่
แต่ไข่มุกกับผ้าลายลูกไม้ที่เหลือนี่ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ของที่เขาจะใช้ได้
หรือจะให้พูดก็คือ ไม่มีของขวัญสำหรับเขานั่นเอง
ผู้หญิงคนนี้!
ตกลงมีเขาอยู่ในใจรึเปล่าเนี่ย?
เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ไปเถอะ”
คนขับรถหมุนตัวแล้วเดินจากไป
หลินซินเหยียนกำลังดำดิ่งอยู่ในงานออกแบบของตัวเอง โดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่ามีคนกำลังใกล้เข้ามา ถึงขั้นไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีเงาดำๆร่างหนึ่งค่อยๆ ปกคลุมเธอเข้ามา
ดินสอสีดำในมือของเธอโลดแล่นอยู่บนกระดาษอย่างไม่หยุดหย่อน แบบร่างคร่าวๆ ของชุดเจ้าสาวได้ปรากฏออกมาแล้ว เธอกำลังเก็บรายละเอียดอยู่
จงจิ่งห้าวเข้าใกล้ แล้วโน้มตัวลงมา สายตาไปหยุดอยู่ที่ชุดเจ้าสาวตรงปลายดินสอของเธอ
แต่หลินซินเหยียนที่อยู่ในโลกของตัวเอง สัมผัสไม่ได้ถึงการมีอยู่ของจงจิ่งห้าวเลย ทันใดนั้น มือของเธอก็ชะงัก ปลายดินสอหยุดอยู่ตรงปลายเส้น
การแต่งงาน มันเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์มาก
ก่อนหน้านี้ เธอเองก็เคยมีความปรารถนาอยู่เหมือนกัน ใส่ชุดวิวาห์สีขาว แต่งงานกับผู้ชายที่จะอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต จับมือกันไปจนแก่เฒ่า
แต่ว่า……
สายตาของเธอมองต่ำลง
“กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ครับ?” เขาเข้ามาใกล้มาก น้ำเสียงทุ้มต่ำ ไออุ่นจากการพูดออกมา กระทบลงที่ใบหูกับผิวหนังตรงท้ายทอยของเธอทั้งหมด หลินซินเหยียนสะดุ้งด้วยความตกใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังที่มาของเสียง
ในจังหวะที่เธอเงยหน้าขึ้นมานั้น จงจิ่งห้าวก็รับรู้ได้ถึงความผิดหวังที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
แววตาของเขากระตุกเล็กน้อย ตอนที่แต่งงานกัน เขาไม่ได้ให้อะไรเธอเลย เธอเองก็เป็นผู้หญิง ก็คงอยากใส่ชุดเจ้าสาวเหมือนกันสินะ
เธอเขยิบตัวออกเพื่อเว้นระยะให้ห่างจากเขาเล็กน้อย แล้วก้มหน้าลง “มะ ไม่มีอะไรค่ะ”
เธออาศัยท่าทางที่กำลังเก็บกวาดงานที่ออกแบบมาปกปิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อกี้
จงจิ่งห้าวขยับเข้ามาใกล้อีก “วันนี้คุณไปไหนมาครับ?”
“ออกไปซื้อของค่ะ” มือข้างหนึ่งของเธอถือกระดานวาดรูปกับดินสอเอาไว้ ส่วนอีกมือก็ยันพื้นเพื่อที่จะลุกขึ้น พอขยับตัวก็ได้รู้ว่า ขาที่ไว้รองกระดานวาดรูปมาตลอดพอไม่ได้ขยับมันก็เกิดอาการชาขึ้น
“ขาชาเหรอครับ?” จงจิ่งห้าวนั่งลงข้างๆ เธอ ลูบๆ ไปที่ขาขวาของเธอ จากนั้นก็หันมาลูบที่ขาซ้าย “ขาข้างไหนครับ?”
หลินซินเหยียนดึงเวลาไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบไปว่า “ขาซ้ายค่ะ”
เขานวดไปที่ขาซ้ายของเธอ “ตรงนี้รึเปล่าครับ?”
หลินซินเหยียนมองดูมือที่กำลังนวดอยู่ตรงขาของเธอ มือของเขาทั้งใหญ่ทั้งหนา ร้อนรุ่ม ฝ่ามืออันเต็มไปด้วยลวดลายที่ไขว้กัน เหงื่อของเธอไหลออกมา มันทำให้เสื้อเชิ้ตของเธอค่อยๆ เปียกปอน ความอ่อนโยนของเขาในตอนนี้ มันเหมือนกับแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาในใจของเธอ มันทั้งอบอุ่นทั้งอ่อนโยน
น้ำเสียงของเธอค่อยๆ แหบซ่านลงอย่างไม่รู้ตัว “ค่ะ”
จงจิ่งห้าวใส่กางเกงชุดสูทเอาไว้ ท่าที่นั่งลงมาจึงไม่ค่อยสบายนัก เขาทิ้งตัวนั่งลงไป ยกขาของเธอมาวางไว้บนตักของตัวเอง “ยืดขาออกครับ”
หลินซินเหยียนทำตามอย่างว่าง่าย
จงจิ่งห้าวก้มลงไปมอง แล้วนวดขาข้างที่ชาของเธออย่างตั้งอกตั้งใจ
ผ่านไปสักพัก เขาก็ถามขึ้นว่า “มีอะไรที่อยากพูดกับผมมั้ยครับ?”
หลินซินเหยียนนึกว่าเขายังโกรธเรื่องไป๋ยิ่นหนิงอยู่ จึงได้อธิบายไปอีกรอบว่า “ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ ค่ะ”
จงจิ่งห้าวเงยหน้าขึ้นมา จ้องเขม็งมาที่เธอ เขาอยากให้หลินซินเหยียนบอกเขาเอง วันนี้ได้มารู้เรื่องของเหอรุ่ยเจ๋อ เขาคาดหวังเธอจะพูดตรงๆ ต่อหน้าเขา และเปิดใจให้กว้าง
ส่วนเรื่องของไป๋ยิ่นหนิงนั้น
น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาลงไป “ต่อไปอยู่ให้ห่างจากเขา”
หลินซินเหยียนพยักหน้า “ค่ะ”
เธอที่ทำตัวน่ารักขนาดนี้ เขาก็ทำใจโกรธเธอเรื่องที่เจอกับเหอรุ่ยเจ๋อวันนี้แล้วไม่ยอมบอกไม่ลงเลย เขาจึงพูดออกมาเอง “วันนี้ไปเจอเหอรุ่ยเจ๋อมาใช่มั้ยครับ?”
หลินซินเหยียนเงยหน้าขึ้นมาทันที จ้องไปที่หน้าเขา เขารู้เรื่องที่เหอรุ่ยเจ๋อปรากฏตัวในวันนี้ได้ยังไง?
ทันใดนั้นเธอก็ได้เข้าใจ วันนี้มีคนขับรถไปกับเธอด้วย หลังกลับมา คนขับรถก็ต้องไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้เขารู้อยู่แล้ว
“คูณได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ยครับ?”
หลินซินเหยียนหวนนึกถึงภาพที่จู่ๆ เหอรุ่ยเจ๋อก็โผล่ออกมาจับตัวเธอไว้ หัวใจก็ยังมีอาการเต้นรัวขึ้นมาอยู่ เธอส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
ถึงแม้จะยังตื่นเต้นกับการที่เกือบจะถูกจับตัวไปอยู่ แต่โชคยังดีที่เธอปลอดภัยแล้ว จึงถือว่าเป็นการตกใจแต่ไม่เป็นอันตราย
จงจิ่งห้าวมองออกว่าเธอมีอะไรปิดบังอยู่ การที่เหอรุ่ยเจ๋อปรากฏตัวออกมาก็เพื่อตั้งใจจะจับเธอไปอีกครั้ง เขาดึงเธอมากอดไว้ ร่างกายทั้งสองแนบชิดเข้าด้วยกัน ยังดีที่เหอรุ่ยเจ๋อทำไม่สำเร็จ “ต่อไป อยู่ให้ใกล้ผม ถ้าคุณหายไปแล้วผมจะไปหาคุณที่ไหน จะไปหาแม่แท้ๆของลูกทั้งสองของผมจากที่ไหน”
หลินซินเหยียนมองต่ำไม่พูดอะไร จงจิ่งห้าวกอดแน่นกว่าเดิม ในช่วงลมหายใจที่ชิดใกล้กัน เธอสามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นอันนั้น มันห้อมล้อมอยู่ข้างกาย ร่างกายเกิดเกร็งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ตอบไปเบาๆ ว่า “ได้ยินแล้วค่ะ”
เขาก้มลงมามองทีหนึ่ง เสยผมยาวๆ ของเธอที่กระจายอยู่ตรงอกของเขาขึ้นมา แกะผมที่รกรุงรังนั้นออก แล้วพาดมันไปไว้ที่ด้านหลัง “แบบนี้สิถึงจะน่ารัก”
เขาโอบเอวของเธอไว้ แล้วอุ้มเธอขึ้นจากพื้น “ลองดูว่าเดินไหวรึเปล่า”
หลินซินเหยียนลองขยับเขยื้อนดู ขาที่ด้านชามีความรู้สึกแล้ว เธอตอบไปว่า “เดินได้แล้วค่ะ”
เธอลองผลักเขาออกไป เดินด้วยตนเอง แต่แล้วทันใดนั้น ก็ถูกเขาเอามือโอบเอวแล้วอุ้มขึ้น เธอร้องอุทานออกมา พอนึกถึงเด็กน้อยสองคนที่อยู่ในห้อง ตรงลิฟต์ก็มีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่ การที่เธอส่งเสียงร้องออกมาแบบนี้ จะต้องมีคนออกมาดูแน่ๆ เธอจึงรีบเอามือปิดปาก
จงจิ่งห้าวยิ้มออกมา
หลินซินเหยียนเอาหน้าซุกเข้าไปที่หน้าอกของเขา “คุณไม่กลัวใครมาเห็นเข้ารึไง”
“จะกลัวอะไรครับ?” สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นมานิดหนึ่ง แม้แต่น้ำเสียงก็ดูจริงจังขึ้น “กลับไป เราไปแต่งงานชดเชยกันดีกว่าครับ”
ทันใดนั้น สำลีที่ทั้งนุ่มทั้งฝาดก็ยัดเข้ามาในกล่องเสียงของเธอ ไม่รู้ทำไม โพรงจมูกของเธอก็รู้สึกเปรี้ยว น้ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาที่ดวงตาของเธอ
เธอซุกหัวเข้าไปลึกยิ่งกว่าเดิม
“ตอนนั้นเราใช้ดอกไม้สดเป็นธีมหลัก ดีมั้ยครับ?” ซูจ้านพูดพล่ามอยู่ข้างหูฉินยาไม่ยอมหยุดฉินยาไม่ได้ตอบ เหมือนเธอจะยังตั้งสติไม่ได้
“ยายาพูดอะไรหน่อยสิครับ” ซูจ้านที่เป็นผู้ชายตัวให้กำลังจับมือของฉินยาแล้วทำตัวขี้อ้อน ฉินยาสะดุ้งไปทีหนึ่ง ขนลุกไปทั้งตัว เธอมองมาที่ซูจ้าน “คุณช่วยทำตัวให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้เหรอคะ?”
คุณฉินครับ คุณอย่างให้ผมทำตัวยังไงครับ?” ในชั่วพริบตาเดียว ซูจ้านก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขายืนตัวตรง ราวกับกำลังจะเข้าร่วมการตัดสินคดีที่ร้ายแรงมากยังไงอย่างนั้น
จริงจังจนทำให้ฉินยาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะหนึ่ง นี่เขาเป็นซูจ้านที่เธอรู้จักรึเปล่าเนี่ย?
เสียงของซูจ้านกับฉินยาดังออกมาจากลิฟต์ ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้ ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้ อีกอึดใจเดียวก็จะออกมาที่ทางเดินแล้ว
หลินซินเหยียนรีบเงยหน้าขึ้นมา “คุณรีบปล่อยฉันลงนะ”
“ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทันแล้วนะครับ……”
จงจิ่งห้าวยังไม่ทันพูดจบ ซูจ้านกับฉินยาก็เดินออกมาแล้ว
หลังจากที่แตกตื่นไปพักหนึ่ง หลินซินเหยียนก็รีบหลับตาลงเพื่อแกล้งหลับ ไม่อย่างนั้น กลางวันแสกๆ แบบนี้ให้จงจิ่งห้าวอุ้มไว้ แถมยังให้คนเห็นเข้าอีก มันจะน่าอายเกินไป
ซูจ้านมองมาที่จงจิ่งห้าว แล้วหันไปมองหลินซินเหยียนที่อยู่ในอ้อมแขนเขา จากนั้นก็รีบหันมองไปข้างนอก ฟ้ายังไม่มืดเลย นี่ทำอะไรกันเนี่ย?
“พวกคุณ……”