ตอนที่ถามคำถามนี้ ซูจ้านกำมือไว้แน่น เขากลัวจะได้ฟังข่าวร้าย
มือของฉินยาถูกบีบจนเจ็บ แต่เธอก็ไม่ได้พูดเตือนเขา เพราะรู้ว่าตอนนี้ซูจ้านตื่นเต้นมาก
“คืออย่างนี้ค่ะ ผู้ป่วยอายุมากแล้ว จึงสลบเพราะอาการตกใจ ไม่ได้เป็นอันตรายต่อชีวิต มีแผลถลอกเล็กน้อยบนร่างกาย ทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ”
ซูจ้านดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ยังไง เขาจับหน้าของฉินยาไว้ จูบลงไปที่ปากของเธออย่างแรง หัวเราะดีใจเหมือนเด็ก “ย่าผมไม่เป็นไรแล้ว”
ฉินยาไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้ ดูเหมือนเด็กที่ยังไม่โต
“อย่าเพิ่งดีใจไปค่ะ คนแก่อายุมากแล้ว ควรที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องที่กระทบต่อสภาพจิตใจของท่านนะคะ” พยาบาลตัดบทอย่างเย็นชา
ซูจ้านถึงรู้สึกว่าเมื่อกี้ตัวเองเสียมารยาทไปหน่อย กระแอมเบาๆ ตอบเสียงอืมอย่างเคร่งขรึม
พยาบาลมองเขา น้ำเสียงยังไงเย็นชา “ต่อไปนี้คนแก่จะรับการกระตุ้นแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ อายุขนาดนี้แล้วอาจจะจากไปเลยก็ได้ ครั้งต่อไปอาจจะไม่ตื่นเลยก็ได้ ลูกหลานควรดูแลดีๆ”
ซูจ้านพยักหน้าจริงจัง “ผมรู้แล้ว”
“พวกคุณรอที่นี่ก่อน เดี๋ยวผู้ป่วยก็ถูกเข็นออกมา” พูดจบพยาบาลก็เดินจากไป
ครั้งนี้ซูจ้านสงบสติอารมณ์ไปเยอะ ยืนรออยู่หน้าประตู ไม่นานประตูห้องตรวจก็เปิดออก คุณย่าถูกเข็นออกมา คนฟื้นแล้ว เห็นหลานแล้วคุณย่าก็ยื่นมือไป ซูจ้านก้มตัวจับมือไว้ ลูบหน้าผากของคุณย่า ใกล้ชิดกันมาก ซูจ้านเห็นรอยฝ่ามือบนหน้าของคุณย่า
ระหว่างทางมาโรงพยาบาล เขารีบเกินไป ไม่ได้สังเกตเห็นรอยฝ่ามือบนแก้ม
สีหน้าเขาโมโหขึ้นทันที ไอ้สารเลวเหอรุ่ยเจ๋อ
ตอนนี้เขาถึงเข้าใจ ว่าทำไมพยาบาลถึงได้เย็นชาขนาดนั้น ต้องคิดว่าเขาทรมานคนแก่แน่นอน
เขาจูบมือของคุณย่า “ไม่เป็นไรแล้ว หลานย่าอยู่นี่แล้ว”
“เจ้าหลานแสบ คนนั้นคือใคร?” ตอนนี้คุณย่าถึงนึกขึ้นได้ คนที่จับตัวเธอไว้ ดูเหมือนซูจ้านรู้จัด
“ก็แค่คนบ้าคนหนึ่ง ถูกตำรวจจับตัวไปแล้ว อย่าไปคิดอีกเลยนะครับ พวกเราต้องพักรักษาตัว” ซูจ้านปลอบคุณย่า
ฉินยาช่วยพยาบาลเข็นคุณย่าเข้าไปในห้องพักฟื้น ไม่ต้องพักโรงพยาบาล แต่ต้องรอดูอาการหนึ่งคืน พรุ่งนี้ก็กลับได้
พอถึงห้องพัก ซูจ้านอุ้มคุณย่าไปนอนบนเตียง ฉินยาช่วยพยาบาลเข็นเตียงออกไป “ขอบคุณค่ะ รบกวนพวกคุณแล้ว”
“เป็นหน้าที่ของพวกเราค่ะ” พยาบาลยิ้มให้ฉินยา
ฉินยาปิดประตู เดินเข้าไปในห้อง
“ฉินยา มา มา” คุณย่าโบกมือให้ฉินยา ฉินยาเดินเข้าไป
คุณย่าดึงมือของเธอ วางบนมือของซูจ้าน “ซูจ้าน โตขนาดนี้ เพิ่งทำเรื่องที่เอาไหนหน่อยแค่เรื่องเดียว ก็คือแต่งงานกับหนู”
ฉินยารู้สึกเขินจนก้มหน้าลง
ซูจ้านกับมือของฉินยา “คุณย่า ทำไม มีหลานสะใภ้แล้ว ไม่เอาหลานชายคนนี้แล้วเหรอ?”
“เอาเราไปทำไม รู้แต่ทำให้ย่าโกรธ” คุณย่าแกล้งทำเป็นโกรธ
ซูจ้านรีบยอมแพ้ทันที “จากนี้ไปไม่ทำให้ย่าโกรธอีกแล้ว”
พยาบาลบอกแล้วว่า คุณย่าอายุเยอะแล้ว ทนรับการกระตุ้นไม่ไหว เขาต้องทำตามความต้องการของคุณย่า
“ย่าหิวแล้ว” คุณย่าพูดขึ้นกะทันหัน
“ผมออกไปซื้อให้ครับ” ซูจ้านรีบลุกขึ้น “ย่าอยากกินอะไร?”
คุณย่าส่งสายตาให้เขา ซูจ้านไม่เข้าใจความหมายของเขา ถามว่า “ย่ากระตุกตาทำไม ไม่สบายตรงไหนไหม?”
คุณย่า “…….”
คุณย่ากลอกตาในใจ คิดในใจว่าเด็กโง่คนนี้ ส่งสายตาให้ยังไม่เข้าใจ?
ฉินยาดูออกแล้ว คุณย่าอยากให้เธอออกไป จึงพูดขึ้นเอง “หนูไปซื้อดีกว่า คุณย่าอยากกินอะไรคะ?”
“ซื้อข้าวต้มให้ย่าละกัน” คุณย่าพูด
“เอาอย่างอื่นเพิ่มไหมคะ?” ฉินยาถาม
คุณย่าโบกมือ “ไม่เอาแล้ว”
“ถ้างั้นหนูออกไปซื้อ ซูจ้านคุณดูแลคุณย่าดีๆนะ”
ฉินยาเดินออกไปแล้ว ซูจ้านถึงเข้าใจความหมายของย่า เขาดูย่าตัวเอง แล้วเดินตามฉินยาออกไป อธิบายว่า “ย่าผมอาจจะเพราะไม่สบาย อยากพูดอะไรกับผมหน่อย คุณอย่าใส่ใจนะ”
ฉินยาหัวเราะ เธอดูออก ว่าซูจ้านกับย่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เธอเข้าใจ
“ฉันไม่ใส่ใจหรอก คุณเข้าไปเถอะ ฉันไปซื้อของกิน คุณอยากกินอะไรไหม ฉันซื้อมาให้ “ ซูจ้านก็ยุ่งมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้คงหิวแล้ว
“ผมอยากกินเปาะเปี๊ยะ” ซูจ้านก็ไม่เกรงใจ
ฉินยาตอบรับ
“คุณเข้าไปเถอะ ทิ้งคุณย่าไว้คนเดียว เดี๋ยวท่านกังวล” ฉินยาโบกมือเดินจากไป
ซูจ้านมองร่างของเธอ มุมปากยิ้มขึ้น
เธอเป็นคนเข้าใจคนอื่น
ซูจ้านหันกลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู
เขาเดินไปนั่งที่ขอบเตียง “ย่าอยากพูดอะไรครับ ยังต้องให้เขาออกไป เขานิสัยดีไม่ใส่ใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นนิสัยไม่ดี คงต้องโกรธแล้ว”
คุณย่ายิ้มจนตาหรี่ “ตอนนี้ช่วยสะใภ้เรียกร้องความยุติธรรมแล้ว?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” ซูจ้านรีบโบกมือ “มีเมียแล้วก็ไม่ลืมพระคุณการเลี้ยงดูของย่าหรอกครับ”
คุณย่าถอนหายใจ “ย่าแก่แล้ว”
“คุณย่าไม่แก่” ซูจ้านชิดตัวเข้าไป อ้อนอยู่ตรงหน้าย่าตัวเอง
ย่าถูกเขาล้อจนหัวเราะ ไม่นานรอยยิ้มก็หายไป เปลี่ยนเป็นสีหน้าอันเคร่งขรึม “ย่ารู้สึกว่าฉินยาเป็นเด็กเข้าใจคนอื่น มีเหตุมีผล หน้าตาก็สวย เราต้องดีกับเขาให้มากๆนะ”
“ผมรู้ ย่าพูดตั้งกี่รอบแล้ว” ซูจ้านเตือนย่าด้วยความใจเย็น
คุณย่าถอนหายใจ “ตอนที่หลานอายุแค่กี่ขอบก็เสียพ่อกับแม่ไปแล้ว ย่าเลี้ยงมาป้อนข้าวป้อนนำมากับมือจนโต……”
พูดถึงเรื่องเมื่อก่อน ท่าทางล้อเล่นของซูจ้านก็หายไป เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“เราก็อย่าไปโทษแม่อีกเลย…..”
“ทำไมผมจะโทษเขาไม่ได้?” ซูจ้านตาแดง ถึงแม้จะผ่านไปนานแล้ว เขาก็ไม่เคยปล่อยวาง
ระหว่างทางไปซื้อข้าว ฉินยาพบว่าตัวเองลืมเอาเงินไปด้วย เธอออกไปอย่างรีบร้อน มือถือกับเงินไม่ได้เอาไปสักอย่าง จึงกลับมาเอาเงินกับซูจ้าน พอถึงหน้าห้องก็ได้ยินคำสนทนาของพวกขา
“ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ผมจะเสียพ่อไปด้วยเหรอ? เขาหวังแค่ความสุขของตัวเอง” ซูจ้านยิ่งพูดยิ่งอารมณ์ร้อน ผ่านไปสักพัก เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรเป็นแบบนี้ เวลาผ่านไปนานแล้ว เขาควรปล่อยวางได้แล้ว แต่ก็ห้ามความโมโหในใจตัวเองไม่ได้
คุณย่าน้ำตาคลอ มือที่จับซูจ้านไว้เริ่มสั่น “เป็นความผิดของย่าเอง ไม่ควรพูดถึงเรื่องในอดีต”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับย่า?” ซูจ้านฝืนยิ้ม ถ้าจะว่าไม่ดี ก็คือชะตาชีวิตเขาไม่ดี ที่มีแม่ที่พฤติกรรมย่ำแย่ ต้องดึงพ่อของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ฉินยาอึ้งไปครู่หนึ่ง คำพูดของพวกเขาหมายความว่าอะไร?
พ่อแม่ของซูจ้าน?
แต่คิดไปแล้ว เธอแอบฟังแบบนี้ก็เสียมารยาท ดังนั้นจึงเคาะประตู
ซูจ้านสงบสติอารมณ์ ยืนขึ้นไปเปิดประตู
ประตูเปิดออกก็เห็นว่าเป็นฉินยา ซูจ้านถาม “คุณซื้อของเร็วขนาดนี้……”
สายตามองลงไปถึงเห็นว่าเธอมือเปล่า ไม่ได้ถืออะไรเลย
จึงขมวดคิ้ว