เขาคิดว่าซางหยูก็คงจะตอบกลับว่าคิดถึงเขาเช่นกัน แต่ว่ากลับเป็นบทกวี เขาจึงอ่านอย่างตั้งใจ
【งานเลี้ยงแห่งวสันติกาล ร่ำหนึ่งจอกสุราเคล้าหนึ่งเสียงเพลง พนมมือขอพรสามประการ หนึ่งให้ภัสดาอายุพันปี สองให้ภรรยานี้แข็งแรง สามให้รักดุจอีแอ่นครองคู่ชั่วนิรันดร์ 】
ต่อให้เขาไม่เคยอ่านบนกวีนี้มาก่อน แค่เพียงเห็นเนื้อหาก็พอจะรู้ว่าหมายความว่าอะไร แต่เพื่อความแน่ใจเขาก็ได้เสิร์ชหาความหมายอีกครั้งในเว็บไป๋ตู้
พลางดูริมฝีปากพลางยกขึ้น ข้างในบังเกิดความสุขใจ
เขาตอบกลับ “ผมได้รับแล้วนะ”
อีกฝั่ง ซางหยูส่งเสร็จก็ห่อซุกตัวเองอยู่ในผ้าห่ม รู้สึกเขินอาย รู้สึกกระดากเหมือนกับว่าตัวเองนั้นลุ่มหลงเกินไป
จากนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ในใจทั้งดีใจ ทั้งกลัวว่าเสิ่นเผยซวนจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นดัดจริต ที่ริมฝีปากชอบเอื้อนเอ่ยถึงความรัก
เธอคว้าโทรศัพท์มาด้วยใจกังวล คลิกเปิดข้อความ จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้ากับความเขินอายมลายหายไม่เหลือแม้แต่เงา
ผมได้รับแล้ว??!
เขาหมายความว่าอย่างไร
เธอรีบตอบกลับอย่างเร็ว “คุณเข้าใจความหมายของฉันหรือเปล่า”
เสิ่นเผยซวนคิดว่าเธอนั้นเข้าใจว่าตัวเองไม่เข้าใจความหมายของบทกวี จึงรู้สึกขำและตอบกลับไปว่า “ผมรู้ คุณคิดถึงผม อยากจะอยู่กับผมไปจนแก่เฒ่า”
ซางหยู “……”
นี่เป็น……ผู้ชายที่ปกติไหม
เขาไม่ควรที่จะกระตือรือร้นตอบกลับเธอด้วยบทกลอนรักที่ลึกซึ้งหรือ ต่อให้เขาไม่รู้จักบทกวีรัก แต่อย่างน้อยตอบกลับว่า ผมก็เช่นกัน ไม่ได้เชียวหรือ
ไม่ใช่แค่ตอบกลับมาหาฉันว่า ได้รับแล้ว เพียงไม่กี่คำก็ถึงกับทำให้เธอไปไม่เป็น
ซางหยูคิดในใจ คุณรู้ว่าฉันคิดถึงคุณ อยากจะอยู่กับคุณตลอดไป อย่างนั้นฉันจะรู้ไหมว่าคุณอยากจะอยู่กับฉันตลอดไปหรือเปล่า
เธอเม้มปากแล้วตอบกลับ 【ฉันจะนอนแล้ว】
【อืม ราตรีสวัสดิ์】เสิ่นเผยซวนตอบกลับ
ซางหยูโกรธจนแทบจะระเบิดแล้ว ผู้ชายคนนี้ช่างน่าโมโหชะมัด!
ตอนทำเรื่องอย่างว่านั้นช่างกระตือรือร้นยิ่งนัก เมื่อสวมกางเกงแล้วก็ทำเป็นจำกันไม่ได้ใช่ไหม
ซางหยูตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ติดต่อไปหาเขาก่อน
ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการคือความกระตือรือร้นและความใส่ใจจากเขา เธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง และหวังว่าผู้ชายของตัวเองจะสามารถทำให้ได้เหมือนกับเธอ ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือน ก็ต้องทำให้เธอได้รู้สึกได้ถึงความกระตือรือร้นของเขา
แต่เขากลับ……
เธอตัดสินใจจะวางเฉยต่อเสิ่นเผยซวน เขาไม่ติดกลับมาหาตัวเอง เธอก็จะไม่ติดต่อไปหาเขาก่อน
สองสามวันมานี้ฉินยาไม่ได้ถูกท่านย่าเร่งรัดให้มีลูกอีก และอาศัยอยู่ข้างนอกกับซูจ้านอย่างมีความสุข อีกทั้งซูจ้านได้รับหนึ่งคดีมาดูแล คดีนี้คือคดีของหญิงสาวที่ร้องไห้ไม่ยอมพูดยอมจาตอนที่พวกเขาไปทำงานแล้วเจอในวันนั้น
ความเป็นมาของเรื่องราว จากการตามหาคนรับใช้ของตระกูลลู่จนเจอ ทำให้ซูจ้านเข้าใจชัดเจนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เรื่องราวเป็นแบบนี้ ชายหนุ่มคนนั้นนอกใจ ไม่สิ บอกตรง ๆ ต่างหากว่าอยากจะเปลี่ยนภรรยา เขากับคุณแม่ของตัวเองร่วมมือกันโกหกภรรยา
จากคำให้การของสาวใช้ พวกเขาเข้าใจได้ว่า คุณแม่ของชายหนุ่มที่นอกใจคนนี้ก็ชอบเมียน้อยคนนี้เหมือนกัน ในแต่ละวันจึงให้ลูกสะใภ้ไปหาเธอโดยอ้างเหตุผลว่าเรียนรู้งานบ้าน ให้หลานชายมีเวลาอยู่กับเมียน้อยคนนี้ เพื่อวันหน้าหากหย่าร้างกัน หลานคนนี้จะได้คุ้นเคยกับ ‘แม่’คนใหม่
แผนการของพวกเขาดำเนินการมาได้สองปี เด็กน้อยที่อายุเพียงสองสามขวบ ยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว ไม่รู้ว่าคนดีคืออะไรคนชั่วคืออะไร รู้แต่เพียงว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเหมือนกับแม่ ภายใต้การชี้นำของพ่อและความพยายามของผู้หญิง ในเวลาสองปีทำให้เด็กตัวน้อย ๆคนนี้ แยกความแตกต่างระหว่างแม่ของเขากับผู้หญิงคนนี้ได้
คุณพ่อบอกว่า คนนี้คือคุณแม่ ชี้นำให้เขาเรียกเมียน้อยว่าคุณแม่
คลุกคลีด้วยกันสองปี บวกกับที่ผู้หญิงปฏิบัติดีต่อเขา เขาจึงเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าคุณแม่
ภรรยารู้ว่าลูกชายตัวเองเรียกเมียน้อยของสามีที่นอกใจว่าคุณแม่ สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งถือเป็นการทำร้ายสภาพร่างกายและจิตใจอย่างมาก
เธอยอมรับไม่ได้
นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำร้ายเธอให้เจ็บปวดที่สุด ทำให้เธอไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ หลังจากที่เธอหย่า ใช่ ต่อให้เธอจะไม่เต็มใจ แต่ว่าตระกูลลู่มีกำลังเงินมีกำลังคน ต้องการจะทำการหย่ากี่ครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ยาก แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจก็ตาม การหย่าครั้งนี้ก็สามารถได้
แต่!
หลังจากที่เธอหย่าร้าง ลูกชายของเธอตกอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลลู่ ตระกูลลู่ไม่อนุญาตให้เธอเยี่ยมลูกชาย เธอที่อ่อนแอไร้อำนาจ ไม่สามารถที่จะต่อสู้กับครอบครัวของสามีได้
ต่อให้เธอโกรธจะเกลียดมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะจากลูกชายไปได้ เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ฝั่งผู้ชายทำให้เธอเจ็บปวดสิ้นหวัง แต่อย่างไรลูกก็คือลูกของเธอ
เธอพยายามทุกวิถีทาง ขอร้องอดีตสามีอย่างไม่ย่อท้อหยุดหย่อน ขอให้เธอได้พบลูกของตัวเองบ้าง
ฝั่งผู้ชายไม่อนุญาต เธอจึงได้ไปร้องไห้โวยวายที่บริษัททุก ๆ วัน จนฝั่งผู้ชายจนปัญญา ยอมให้เธอได้เจอกับลูก แต่มีเวลาจำกัด แค่เพียงสามชั่วโมงเท่านั้น
เธออุ้มลูกกลับไปที่พักของตัวเอง ถูกหย่าร้าง ถูกไล่ออกจากบ้านตระกูลลู่ เรื่องราวพลิกผันเร็วฉับพลันจนจิตใจเธอตึงเครียด ทุกข์ทรมานว่าได้ลูกมาไหม และถ้าได้มาจะสูญเสียอีกลูกหรือไม่ จนบางครั้งบทจะร้องไห้ก็ร้อง โยนขว้างข้าวของ จนทำให้ลูกตกใจร้องไห้
จากนั้นเธอก็อุ้มลูกขึ้นมากอด จิตใจเจ็บปวดรวดร้าวแตกสลาย จนทำให้เธอรู้สึกว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมาย
เมื่อเห็นลูกเธอก็รู้สึกมีความหวัง อย่างน้อยเธอก็ยังมีลูก
จนกระทั่งเมียน้อยมารับลูก ได้ยินกับหูว่าลูกเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าคุณแม่อย่างสนิทสนม ทำให้เธอหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง
เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อคลอดลูกชายออกมา แล้วมาเรียกคนที่มาทำลายการชีวิตแต่งงานว่าคุณแม่
เธอจะยอมรับได้อย่างไร เธอตัดสินใจไม่อาจจะยกลูกให้กับพวกเขาได้อีก ยิ่งไม่มีทางให้ลูกชายของตัวเองเรียกผู้หญิงที่ทำลายชีวิตการแต่งงานของเธอว่าคุณแม่ ระหว่างที่ยื้อแย่งกับผู้หญิงคนนั้น ลูกชายกลับไปยืนข้างเธอ ท่าทางของเธอที่ดูดุร้ายน่ากลัวจนทำให้ลูกตกใจนร้องไห้
เธอจึงสูญเสียการควบคุม แย่งเด็กมาอุ้มแล้วกระโดดตึกจากบ้านที่สามีให้ไว้ตอนหย่า และก็เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
ต่อมาจึงมีเรื่องที่ผู้หญิงเสียชีวิตแล้วลูกสาวไปที่สำนักงานกฎหมายเพื่อหาทนายความต่อสู้คดี
บางครั้งฟังดูแล้วน่าเหลือเชื่อ บางครั้งเรื่องน่าเหลือเชื่อนี้ก็เกิดขึ้นกับรอบตัวของพวกเรา
เมื่อฟังคำพูดของคนรับใช้เสร็จ ฉินยารู้สึกเย็นวูบไปหมดทั้งตัว เธอเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงคนนั้นที่สิ้นหวังไร้หนทางในตอนนั้น แต่……นั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองนะ ตั้งครรภ์มาสิบเดือนแล้วคลอดออกมาอย่างยากลำบาก ทำไมถึงใจร้ายจบชีวิตของเขาพร้อมกัน