เห็นช่าวหยุนยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าร้าน ซูจ้านไม่กล้าลงจากรถไปเพราะกลัวว่าจะถูกค้นพบเอา จึงได้นั่งรออยู่ในรถ
ผ่านไปได้สักพักนึง เขามองเห็นฉินยาเดินออกมาอยู่ไกลๆ ชุดราตรีสั้นยาวถึงเข่าสีขาวล้วน เหมือนกับแสงจันทร์ที่กำลังห่อหุ้มรูปร่างอ้อนแอ้นของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน ผมลอนดำมัดรวบขึ้นไปลวกๆ ทิ้งปอยลงมาลวกๆ ปิดอยู่ตรงกรอบหน้าผากทั้งสองข้างยิ่งดูสวยหยาดเยิ้มมากยิ่งขึ้น
เธอนั้นเพื่อที่จะทำให้สีหน้าของตัวเองดูดีขึ้นมาหน่อย ก็ได้แต่งหน้าปิดใบหน้าที่ซีดเซียวไร้สีเลือดเอาไว้
ช่าวหยุนเห็นเธอเกิดความคิดบางอย่างออกมาทันที จากนั้นก็เอ่ยยิ้มๆออกมา “สวยขนาดนี้ วันนึงๆเอาแต่หลบอยู่แต่ในห้องทำงานน่าเสียดายออก ควรจะออกมาสร้างหายนะให้คนอื่นเขาเสีย”
ฉินยาแสร้งทำเป็นโกรธออกมา “อารองเอาฉันมาพูดล้อเล่นอีก ฉันจะไม่ออกไปไหนแล้วนะ”
“อย่า อย่า สวยขนาดนี้ เธอเดินอยู่ข้างๆฉัน ฉันจะได้หน้าไปด้วย” ช่าวหยุนยิ้มพลางเอ่ยออกมา
ฉินยาเองก็ยิ้มออกมา “ฉันไปออกงานกับคุณ นับว่าเป็นการช่วยงานคุณด้วยใช่มั้ย?”
ช่าวหยุนเปิดประตูรถ “นับ”
“งั้นคุณต้องตอบแทนน้ำใจฉันด้วย” ฉินยาโน้มตัวเข้าไปในรถ
ช่าวหยุนไม่ได้ขับรถออกไปโดยทันที แต่ได้ยืนอยู่ตรงประตูรถมองฉินยาอยู่ พลางยิ้มถามออกไป “ฉันยังดีต่อเธอไม่พอเหรอ? ไปออกงานกับฉันยังจะต้องมีพระคุณอะไรกันอีก ทำไมเธอถึงได้ใจแคบกับฉันขนาดนี้?”
“ฉันไม่สน คุณไม่ให้ฉันก็ไม่ไป” พูดไปแล้วฉินยาก็จงใจทำเป็นเตรียมที่จะลงจากรถ อันที่จริงเธอก็แค่ล้อช่าวหยุนเล่นเท่านั้นเอง ไม่ได้จะลงจากรถไปจริงๆ
ช่าวหยุนดึงเธอเอาไว้ “โอเคๆ ฉันติดหนี้บุญคุณเธอ” เขาได้หลุดเสียงพูดออกมา “เดิมทีแล้วฉันนั้นอยากให้เธอไปผ่อนคลายสักหน่อย ทำไมถึงได้กลายเป็นติดหนี้บุญคุณเธอไปได้? โบราณเขาพูดไว้ได้ดีเลย ที่ว่าคนถ่อยกับผู้หญิงเป็นพวกที่เข้าหากันเพื่อผลประโยชน์ พอหมดประโยชน์ก็ตีจากไปเหมือนกัน เธอก็คือผู้หญิง”
ฉินยาเลิกสายตามองขึ้นไป เธอแต่งตามาแล้ว ดวงตาที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา ยิ่งดูลึกซึ้งงดงามออกมามากยิ่งขึ้น “ฉันเป็นผู้หญิง อารองคุณเป็นคนถ่อยเหรอ?”
ช่าวหยุนส่งเสียงเฮอะออกมาทีนึง “ไม่คุยกับเธอแล้ว”
ปากของเด็กผู้หญิงคนนี้สุดยอดมากเลย
ช่าวหยุนขึ้นไปยังที่นั่งคนขับเพียงไม่นานรถก็ได้ขับออกไป รถค่อยๆหายไปจากระยะสายตา แต่สายตาที่มองอยู่ของซูจ้านก็ไม่ได้ถอนกลับไป มองไปอย่างเหม่อลอย วิญญาณออกจากร่างอยู่นานก็ไม่ได้สติกลับคืนมาสักที
ฉินยาจากเขาไปเพิ่งจะนานเท่าไหร่เอง? ดูแล้วเหมือนกับว่าจะฟื้นฟูสภาพจิตใจมาได้แล้ว เป็นเพราะช่าวหยุนเหรอ?
เมื่อก่อนเธอชอบคุยกับช่าวหยุนมากเลยเหมือนกัน
เขาค่อยๆหลุบตาลงไปช้าๆ เธอกับช่าวหยุน…
หัวใจของเขาเจ็บปวดเป็นอย่างมาก หัวใจเหมือนกับถูกคนควักออกไป เลือดไหลหยดลงมาไม่หยุด
ซูจ้านแทบจะไม่พักผ่อนเลยทั้งคืน ขับรถมาถึงเมืองCก็ไม่ได้พักผ่อนเลยสักครู่เดียวเหมือนกัน แล้วก็ได้มารอฉินยาอยู่ที่นี่ นึกไม่ถึงว่าดันมาเห็นเธอแต่งตัวหรูออกไปพร้อมกับช่าวหยุน ดวงตาที่เดิมทีก็มีเส้นเลือดฝอยแดงอยู่แล้วก็ได้แดงออกมามากขึ้นกว่าเดิม
ในทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยิ้มเยาะตัวเองออกมา ในรอยยิ้มได้เต็มไปด้วยความขมขื่น
ถ้าเธอมีความสุข เขาก็ควรอวยพรให้เธอ เดิมทีก็ได้ตกลงกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แต่เพียงหลักฐานยืนยันที่ไม่ได้ทำ เธอมีอิสระของเธอ
แต่ก็เจ็บปวดใจจนหายใจได้ลำบาก
ใบเมเปิ้ลบนต้นร่วงลงมา ร่วงลงมาอยู่ตรงหน้ากระจกหน้ารถ เปล่าเปลี่ยวจนเพียงไม่นานก็จะถูกลมพัดปลิวไปอีก เหมือนกับเขาที่โดดเดี่ยวจนเหมือนกับว่าเป็นคนน่าสมเพชที่ถูกทุกคนทอดทิ้งไป
หลังจากที่หยุดอยู่ที่เดิมอยู่นาน เขาก็สตาร์ทรถขับออกไป
ระหว่างทางที่มาจากเมืองBมาถึงเมืองCไม่ได้พักผ่อนเลย และกลับไปเมืองBจากเมืองCไปโดยที่ไม่พักเลยอีกเช่นกัน เขาเหนื่อยล้ามาก ความเหนื่อยล้าจากร่างกายไม่สามารถทำให้เขาทรุดตัวไปได้ แต่สิ่งที่ทำให้เขาแบกรับเอาไว้ไม่ไหวคือการเห็นฉินยายิ้มให้กับคนอื่นอีกคน
บอกตัวเองว่าต้องอวยพรให้เธอมีความสุขไปอย่างใจกว้าง แต่ก็ยังคงไม่อาจทำให้ตนสงบลงได้เลย
เขาเดินเข้าห้องไปเอาเสื้อคลุมทิ้งไปบนโซฟาอย่างลวกๆ ท่านย่าไม่มีใครพูดด้วย จึงได้ดูทีวีไป
“ซูจ้าน” ท่านย่าเห็นสีหน้าเขาไม่ดี นึกเป็นห่วงเขาขึ้นมา
ซูจ้านไม่ได้ตอบกลับไป เดินตรงไปยังห้องพร้อมปิดประตูลง เวลาที่เขาอยู่บ้านก็จะขังตัวเองอยู่ในห้อง อย่างมากที่สุดก็ตอนที่กินข้าวที่จะปรากฏตัวออกมาที่โต๊ะอาหาร แทบจะมีการพูดคุยกับท่านย่าเป็นศูนย์เลยทีเดียว
ความกระตือรือร้นในตอนเริ่มแรกของท่านย่าก็ได้แต่ก็ค่อยๆนิ่งลงไปช้าๆ ท่าทีอย่างนั้นของซูจ้าน เธอ ก็ไม่มีกะจิตกะใจอะไรด้วยเหมือนกัน
เคลื่อนรถเข็นไปยังระเบียง ระเบียงห้องรับแขกเชื่อมอยู่กับห้องนอนของซูจ้าน ตรงกลางกั้นเอาไว้เพียงผนังกระจกเท่านั้น เธอเห็นซูจ้านนั่งลงบนพื้น เสื้อเชิ้ตที่อยู่บนร่างยับยู่ยี่ ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปบ้าง ทั้งร่างมองไปแล้วโทรมเป็นอย่างมาก
ท่านย่าเห็นสภาพอย่างนี้ของซูจ้านภายในใจก็รู้สึกไม่ดีรุมเร้าเข้ามา
เธอคิดไปเบาๆ เธอผิดเหรอ?
“ฉินยา” บ่าของซูจ้านสั่นออกมาเล็กน้อย
ท่านย่าเห็นซูจ้านเจ็บปวดอย่างนี้แล้ว เบ้าตาแดงก่ำ ไม่กล้าอยู่ตรงระเบียงต่อ จึงเคลื่อนรถเข็นกลับห้องไป แล้วขังตัวเองอยู่ในห้อง ความตั้งใจเดิมของเธอไม่ได้เป็นอย่างนี้ เธอเพียงแค่ต้องการหลานสักคน ไม่ได้อยากให้ซูจ้านต้องเจ็บปวด
สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเอาไว้เลย ฉินยาจากไปแล้ว ซูจ้านก็เย็นชาจนเหมือนกับซากศพเดินได้ที่ไม่มีอุณหภูมิมีความรู้สึกใดๆอยู่เลย
ก๊อกก๊อก
ประตูห้องมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ท่านย่าหันไปพูด “เข้ามา”
ป้าจี๋เปิดประตูเข้ามา “เค้กที่คุณอยากกินทำเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ฉันไปอยากกินเค้กตอนไหนกัน?” ท่านย่าเอ่ยเสียงเรียบออกไป
ป้าจี๋ขมวดคิ้วออกมาเล็กน้อย “ก็เมื่อกี้นี้ไงคะ”
“ฉันไม่ได้อยากกินเค้กอะไรสักหน่อย” ท่านย่าจำเรื่องที่ตัวเองให้ป้าจี๋ทำเค้กไม่ได้เลยสักนิด
ป้าจี๋ไม่ได้มีอาการตื่นตกใจออกมา ช่วงหลายวันมานี้ท่านย่าเกิดเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว เมื่อวานเธอได้วางรีโมททีวีไว้บนโต๊ะในห้องเอง แต่ผลสุดท้ายก็หาไม่เจอ บอกว่าเธอทำหายเสียให้ได้ ครั้งนี้ป้าจี๋ก็เห็นเรื่องประหลาดๆมาจนชินไปแล้ว
ผันร่างเดินไปที่ห้องครัว ท่านย่าก็เรียกเธอเอาไว้
ป้าจี๋หันหน้ามา “คุณมีอะไรให้รับใช้คะ?”
“เอ๊ะ ฉันอยากจะพูดอะไรแล้วนะ?” เมื่อกี้ท่านย่ามีเรื่องอยากจะพูดกับป้าจี๋ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ลืมไปเสียแล้ว
“งั้นรอคุณนึกได้แล้วค่อยบอกดิฉันแล้วกันค่ะ” ป้าจี๋เดินออกไป
ท่านย่ามีสีหน้างงงวยออกมา เมื่อกี้นี้เธออยากพูดอะไรแล้วนะ?