“ปกติแล้วมีแต่อาหารที่เด็กๆชอบกิน วันนี้เอาใจขนาดนี้เลยเหรอ” จงฉีเฟิงเงยหน้ามองป้าหยู
ป้าหยูไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ
จวงจื่อจิ่นรีบรักษาบรรยากาศ “ก็ปกติสนใจแต่เด็กๆ ตอนนี้จึงอยากจะดูแลพวกเราขึ้นมาบ้าง”
จงฉีเฟิงถอนหายใจ มองสีหน้าท่าทางทุกคนที่มองอาหารบนโต๊ะก็รู้ คงจะรู้เรื่องของเขาแล้ว “ที่ฉันไม่บอก ก็เพราะกลัวพวกเธอจะเป็นแบบนี้”
บนโต๊ะอาหารไม่มีใครมีความอยากอาหารเลย นอกจากเด็กสองคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จงเหยียนซีคีบอาหารให้เขา “วันนี้คุณปู่อารมณ์ไม่ดีเหรอคะ”
จงฉีเฟิงลูบศีรษะหลานสาว “ปู่ไม่ได้โกรธ ต่อให้โกรธพอเห็นหลานก็หายโกรธแล้วละ” พูดจบก็มองไปยังทุกคน “กินข้าวกัน”
“กินข้าวกันเถอะ” ตัวหลินซินเหยียนเองก็กินไม่ลง ยังเรียกให้คนอื่นกินอีก ไม่อยากให้บรรยากาศอึดอัด แบบนี้ไม่ได้มีผลดีต่อการักษาอาการป่วยของจงฉีเฟิงเลย
อันดับแรกเขาต้องเป็นคนอารมณ์ดี จึงจะมีแรงไปทำการรักษา
หลังจากทานอาหารเย็นแล้ว หลินซินเหยียนอุ้มลูกน้อยอยู่ที่ชั้นบน จงจิ่งห้าวกลับมาก็ขึ้นชั้นบน บอกว่าตอนกลางคืนมีงานต้องทำ ไม่ลงมากินข้าว หลินซินเหยียนรู้ดีว่าที่เขาเป็นแบบนี้เพราะการอาการป่วยของจงฉีเฟิง
เธอผลักประตูห้องนอน ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มืดตืดตื๋อ ม่านหน้าต่างไม่ได้ปิด มีเงาหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น เธอเดินเข้าไปเปิดไฟที่หัวเตียง แสงไฟสีเหลืองนวลทำให้ภายในห้องสว่างขึ้นมาเล็กน้อยเธอเอาลูกน้อยวางบนเตียง เด็กน้อยไม่ได้หลับ วางบนเตียงแบบนี้ก็ไม่ร้อง
เธอเดินไปที่หน้าต่าง นั่งลงบนตักเขา จงจิ่งห้าวโอบรอบเอวเธอเอาไว้ เอาหน้าซุกในอกเธอ หลินซินเหยียนกอดเขาถามว่า “คุณหมอบอกว่ายังไงคะ”
เนิ่นนานที่เขาไม่พูดอะไร
หลินซินเหยียนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขาสั่นเบาๆ แก้มกับริมฝีปากที่แนบชิดอยู่กับตนเองเย็นเฉียบ
จูบที่หน้าผากเขาอย่างสงสาร เธอรู้ว่าการที่จงฉีเฟิงป่วยคนที่เสียใจที่สุดคือเขา “ไม่ว่าอย่างไรฉันกับลูกก็อยู่เคียงข้างคุณ ร้านเสื้อผ้าที่เมืองC ฉันคิดว่าจะยกให้ฉินยา”
ฉินยามีความสามารถ ควรจะมีกิจการเป็นของตัวเอง
ความจริงก่อนหน้านี้เธอก็เคยมีความคิดแบบนี้ แต่ว่าเพราะไม่มีโอกาสดี ตอนนี้อาศัยโอกาสนี้ฉินยาก็คงไม่ปฏิเสธแล้ว
“ฉันกับลูกๆจะเฝ้าดูแลบ้านหลังนี้ของพวกเรา ฉันจะไม่ไปไหน จะอยู่ข้างกายคุณ ช่วยคุณดูแลคุณพ่อ” สองมือเธอยึดใบหน้าเขาไว้ ให้เขามองตัวเอง “เห็นคุณเสียใจ ฉันก็เสียใจ”
จงจิ่งห้าวเอามือเธอออก เอาหน้าซุกเข้าไปในอกของเธอใหม่อีกครั้ง พูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ให้ผมอยู่เงียบๆอีกหน่อย”
หลินซินเหยียนไม่ว่าอะไรกอดเขาอยู่อย่างนี้
ผ่านไปพักใหญ่
“มะเร็งปอดระยะสุดท้าย ลุกลามแล้ว ที่สมองมีเงาดำๆ” จงจิ่งห้าวส่งเสียงออกมาจากในอ้อมอกเธออัดอั้น
ความหมายของคุณหมออาจจะคือลามไปถึงสมอง นี่คืออันตรายอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่อย่างน้อยก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสามถึงหกเดือน ถ้าลุกลามไปที่สมองจริง ก็อาจจะมีเวลาจำกัดหนึ่งถึงสามเดือน
นี่เป็นข่าวที่เลวร้ายมาก
หลินซินเหยียนเตรียมใจเอาไว้แล้ว ได้ยินแบบนี้ก็ยังอดขอบตาแดงขึ้นมาไม่ได้ เธอคิดว่ายังไงก็น่าจะมีเวลาอีกสักหนึ่งหรือสองปี คิดไม่ถึงว่าจะร้ายแรงขนาดนี้เลย
“คุณหมอบอกว่ายังไงคะ” หลินซินเหยียนถามด้วยเสียงแหบพร่า
“คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัด ความจริงแล้วผลการรักษาไม่มีดีนัก พ่อเองก็ไม่ยอมผ่าตัด” จงจิ่งห้าวออกมาจากอ้อมอกของหลินซินเหยียน มองเธอท่ามกลางแสงไปสลัว “เขาหัวดื้อมาก”
ดังนั้นเขาก็ไม่รู้จะทำยังไง
จงฉีเฟิงบอกว่า พ่อเองก็อายุปูนนี้แล้ว จะต้องผ่าสมองอีกเหรอ
หลินซินเหยียนลูบคลำใบหน้าเขา “ตอนนี้ยังใช้วิธีรักษาแบบประคับประคองโรคด้วยยาเหรอคะ”
จงจิ่งห้าวส่ายหน้า
“ทางนั้นวันนี้ฉันให้คนไปทำความสะอาดแล้ว พรุ่งนี้พวกเราก็ย้ายไปได้เลย”
“อุแว้……อุแว้……”
ลูกน้อยที่อยู่บนเตียงจู่ๆก็ส่งเสียงร้องไห้ จงจิ่งห้าวคิดจะลุกขึ้นยืน หลินซินเหยียนออกมาจากอ้อมกอกเขาลงมายืนที่พื้น
“ผมไปอุ้มเอง” จงจิ่งห้าวพูด เขาอาจจะนั่งนานเกินไป หลินซินเหยียนนั่งทับอยู่บนตักเขาจนชาไปแล้วในตอนนี้ เขาก้มตัวลงไปบีบๆนวดๆน่อง หลินซินเหยียนย่อตัวลงมาช่วยเขานวด
ไม่นานก็ดีขึ้น เขาอุ้มลูกชายขึ้นมา ลูกน้อยไม่ได้หิวและก็ไม่ได้อึ แค่อยากให้คนอุ้ม พอจงจิ่งห้าวอุ้ขึ้นมาเขาก็หยุดร้องไห้ทันทีเลย
เขาอุ้มมานานหลายปีแล้ว แต่ท่าทางก็ยังคงเก้งก้าง
หลินซินเหยียนบอกว่าจะไปดูลูกสองคน เดินออกจากห้องไป
จวงจื่อจิ่นเพิ่งจะอาบน้ำให้พวกเขาเสร็จ ลูกทั้งสองคนสวมชุดนอน หลินซินเหยียนลากพวกเขาสองคนมานั่งที่ข้างเตียง “แม่มีเรื่องจะพูดกับหนูสองคน”
“พูดอะไรเหรอคะ” จงเหยียนซีซุกเข้ามาในอ้อมอกเธอ หลินซินเหยียนอุ้มลูกสาวขึ้นมานั่งบนตักตัวเอง
หลินเหยียนเฉินมานั่งข้างๆราวกับผู้ใหญ่ ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ ตอนกินข้าวผมเห็นทุกคนกินไม่ลงกันเลย หลังจากกินข้าวเสร็จคุณปู่รองก็ไปหาคุณปู่ที่ห้อง จนตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา”
หลินซินเหยียนลูบศีรษะลูกชาย พูดว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะย้ายไปอยู่ที่บ้านเก่า ที่เมื่อก่อนพวกเราเคยอยู่”
“อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน” จงเหยียนซีพูด “ขอแค่มีพวกคุณไปด้วยก็พอ”
“แน่นอนจ้ะ พวกเราไปกันหมดทุกคน” หลินซินเหยียนพูดกับเธอ “ต่อไปลูกต้องเอาใจใส่คุณปู่ให้มากรู้มัย”
“หนูก็รักคุณปู่มากอยู่แล้วนะคะ” จงเหยียนซีตอนนี้รู้เรื่องมากขึ้นแล้ว แต่ว่าหลินซินเหยียนพูดคลุมเครือเกินไป เธอไม่รู้ว่าคุณปู่ป่วยแล้ว
แต่จงเหยียนเฉินกลับรู้อะไรบางอย่าง ถามว่า “คุณปู่ไม่สบายใช่มั้ยครับ”
ไม่งั้นทำไมจู่ๆก็มากำชับพวกเขาด้วยคำพูดแบบนี้
หลินซินเหยียนยื่นมือมาดึงลูกชายเข้าไปในอ้อมกอด ไม่ได้ปฏิเสธ และก็ไม่ได้ยอมรับ แต่พูดกับพวกเขาอย่างจริงจังว่า “คุณปู่อายุมากแล้ว ชอบให้ลูกกับน้องอยู่ข้างๆเขา ลูกกับน้องอยู่กับปู่ให้มากๆหน่อย พูดคุยกับคุณปู่นะลูก”
“หม่ามี๊สบายใจเถอะครับ พวกเราจะทำตามที่บอก” จงเหยียนเฉินตอบอย่างเชื่อฟัง
“หม่ามี๊ คุณน้าเยี่ยนเยี่ยนล่ะครับ” นับตั้งแต่ฉินยาเปลี่ยนท่าที ครั้งก่อนหลังจากที่ตั้งชื่อนี้ เด็กทั้งสองก็เรียกแบบนี้มาตลอด ไม่เรียกว่าน้าฉินยาแล้ว
ฉินยาก็ทานอาหารเย็นไปนิดเดียว กินเสร็จก็ออกไป ดูเหมือนจะได้รับโทรศัพท์จากซูจ้านแล้ว
เรื่องราวเป็นยังไง หลินซินเหยียนก็ไม่รู้แน่ชัด แต่หลินซินเหยียนก็พอจะเดาได้ น่าจะเกี่ยวกับท่านย่า
พอมีเรื่องจงฉีเฟิงแล้วเธอก็ไม่มีกระจิตกระใจไปสนใจเรื่องของคนอื่นแล้ว
หลังจากอาหารเย็นฉินยาได้รับโทรศัพท์จากซูจ้าน เขาบอกว่าโทรศัพท์แบตหมดปิดเครื่องไปแล้ว หลังจากเปิดเครื่องก็เห็นข้อความที่เธอส่งมา
จึงได้โทรมาหาเธอทันที
ท่านย่าล้มศีรษะกระแทก แม้จะไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต แต่ก็หมดสติไปนานมาก ตอนนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมา
ฉินยาได้ยินเสียงซูจ้านไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้ว่าซูจ้านจะบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรสบายดีก็ตาม แต่ว่าฉินยาฟังออกว่าในน้ำเสียงเขาฟังดูไม่ดีเลย
ฉินยาเป็นห่วงเขาเล็กน้อย จึงไปที่โรงพยาบาล
ตอนที่เธอไปถึงซูจ้านนั่งอยู่ม้านั่งยาวตรงระเบียงทางเดิน นั่งคอตกมองไปแล้วหมดสภาพเล็กน้อย
“ซูจ้าน” ฉินยาเรียกเขา
ซูจ้านเงยหน้าขึ้นมาเห็นฉินยา ดวงตาที่มืดมนในตอนแรกก็เปล่งประกายขึ้นมาในชั่วพริบตา เขายืนขึ้นมา “คุณมาได้ยังไง”
ฉินยาเดินมา ตอนแรกเป็นห่วงว่าเขาอยู่คนเดียว ปากกลับพูดว่า “ฉันมาเยี่ยมท่านย่า。”
ซูจ้านในใจมีความผิดหวังเล็กน้อย ตอนแรกคิดว่าเธอเป็นห่วงตัวเอง “เธออยู่ที่ห้องผู้ป่วย”
“ตอนนี้คุณยังไม่ได้กินข้าวใช่มั้ย” ฉินยาได้ยินเสียงเขาแหบพร่า
ซูจ้านพูดว่า “ไม่มีเวลาจะสนใจเลย”
“ฉันไปซื้ออะไรให้คุณกิน” ฉินยาหมุนตัวไป
ซูจ้านเดินมา “ผมไปกับคุณด้วย”
ฉินยาไม่ตอบอะไร เป็นการยอมรับด้วยความเงียบกลายๆ
ทั้งสองเดินเคียงกัน ตอนกลางคืนมีคนเดินอยู่ที่ระเบียงน้อย
พวกเขาเดินออกมาจากประตูโรงพยาบาล ตรงข้ามมีร้านขายของกินสองสามร้าน พวกเขาเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เดินเข้าไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่ง
ซูจ้านสั่งบะหมี่เนื้อหนึ่งชาม ถามฉินยาว่า “คุณกินอะไรมั้ย”
ฉินยานั่งลงพูดว่า “ฉันทานมาแล้ว”
ซูจ้านพยักหน้า ถามอีกว่า “คุณจะดื่มมั้ย”
ฉินยาตอบว่า “ฉันไม่ดื่ม”
ซูจ้านอยากจะพูดอะไรกับเธอบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ทันใดนั้นก็โพล่งออกมาว่า “วันนี้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้น เรื่องหย่า พวกเราค่อยไปจัดการพรุ่งนี้แล้วกันนะ”
มือของฉินยาที่วางอยู่บนโต๊ะบีบอยู่ด้วยกัน สีหน้าไม่มีท่าทีสีหน้าอะไร “รีบร้อนจะหย่ากับฉันขนาดนี้เลยเหรอ”
ซูจ้านมองเธอ “ไม่ใช่ว่าคุณเตรียมพร้อมแล้วเหรอ ผมทำให้คุณเสียเวลานานขนาดนั้น ต่อไปจะทำให้คุณเสียเวลาไม่ได้แล้ว”
“คุณคิดว่าทำฉันเสียเวลาเหรอ จะชดเชยให้ฉันเหรอ” สีหน้าของฉินยาทนไม่ไหว
โกรธคำพูดของเขา!
“คุณต้องการอะไร” ซูจ้านไม่ใจแคบกับเธอ ขอแค่เธอต้องการ เขาให้ทุกอย่าง
“คุณยังจะมีอะไรอีก” เงินของเขาก็ให้เธอแล้ว ตอนนี้เขายังมีอะไรอีก
ฉินยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรกับเขาไปโดยที่ไม่มีสติ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป
“ฉินยา” ซูจ้านลุกขึ้นยืนตาม
ฉินยาพูดว่า “คุณกินเถอะ ฉันออกไปสูดอากาศหน่อย”
ซูจ้านไม่สบายใจตามออกมาด้วย “คุณเป็นอะไร”
“ฉันสบายดี!” ฉินยารู้สึกรำคาญมาก “คุณไม่ต้องตามฉันมา”
“ผมเป็นห่วงคุณ” ซูจ้านเม้มปาก “คุณโกรธแล้วเหรอ”
ฉินยาหันกลับไป มองเขาท่ามกลางแสงไฟข้างทาง ส่งเสียงหัวเราะเยาะ “คุณไม่ได้ถามว่าฉันต้องการอะไรเหรอ คุณให้ได้ทุกอย่างที่ฉันต้องการใช่หรือไม่”
ซูจ้านตอบอย่างไม่ลังเล “คุณต้องการอะไรผมก็ให้ ขอแค่ผมสามารถให้คุณได้”
“ดี ในเมื่อคุณคิดว่าคุณติดหนี้ฉัน ก็เอาชีวิตคุณมาให้ฉันเถอะ!” ฉินยาพูดอย่างโมโห
ซูจ้านมองหน้าที่โมโหของเธอ “คุณโมโหแล้วเหรอ”
ครั้งนี้ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคบอกเล่า
“ทำไม มองซ้ายทีขวาทีไม่ตอบ คิดจะกลับคำเหรอ”ฉินยาบีบถามเขา
ซูจ้านมองเธออย่างสงสัยพูดว่า “เปล่า ผมเคยบอกแล้วว่าคุณต้องการอะไรผมให้ได้หมด ก็ต้องทำได้อย่างที่พูด สิ่งที่ผมหวงแหนที่สุดผมยังยอมทิ้งได้ ยังจะมีอะไรที่ให้ไม่ได้อีก”