คนขับรถกล้ากลับมาก็แสดงว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว บทลงโทษแบบไหนเขาล้วนยอมรับ
เขาเงยหน้า “ผมพบว่าที่เขาทำแบบนี้ล้วนเป็นเพราะหลงเสน่ห์ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายคนนั้นครับ”
“คุณรู้ได้อย่างไร” เสิ่นเผยซวนถาม
คนขับรถนึกย้อนดู ตอนที่ภรรยาของเขาเพิ่งจะถูกจับไป ตอนที่เขาพบกับจงหยุนเฉียงครั้งแรก ก็เป็นผู้หญิงคนนั้นที่พูดตลอด
“ผมไม่กล้าพูดโกหก” คนขับรถเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจน่าเชื่อถือ
เสิ่นเผยซวนเดินเข้ามา “เชื่อได้หรือ”
เขาไม่เข้าใจในตัวจงหยุนเฉียงคนนี้ ถ้าหากว่าหลงเสน่ห์หญิงสาว นั่นก็จัดการได้ง่าย ถ้าหากว่าต้องจำศีลมาตลอด จิตใจก็ยิ่งใหญ่มากแล้ว
จงจิ่งห้าวหลุบตาลงเล็กน้อย เพื่อปิดบังความรู้สึก จงหยุนเฉียงนั้นอยู่อย่างสงบเรียบง่ายมาโดยตลอด ถ้าหากว่าตลอดมานี้หาโอกาสแย่งชิงทรัพย์สมบัติของตระกูล ช่วงเวลาแห่งการจำศีลก็ดูเหมือนว่าจะนานเกินไปแล้ว เขาแก่แล้ว แย่งสมบัติตระกูลไปได้จะมีประโยชน์อะไรกัน? เขาไม่มีลูก เอาเงินมากขนาดนั้นไปทำอะไร? ยิ่งกว่านั้นเงินเขาก็ไม่ได้น้อยด้วย
หลายปีมานี้การใช้ชีวิตลอยไปลอยมา ก็ไม่เหมือนกับว่าแกล้งทำ
การเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนกับมีสาเหตุมาจากโลกภายนอก ไม่เหมือนกับวางแผนมานานแล้ว ถ้าหากว่าเขาต้องจำศีลหลายสิบปีเพื่อวางแผนให้ได้บทสรุปเช่นนี้ เช่นนั้นก็โง่เกินไปแล้ว
“ตอนนี้พวกเรายังมีเวลาอยู่ไหม” เสิ่นเผยซวนถาม
จงจิ่งห้าวมองไปที่คนขับรถ พลางเอ่ยถามว่า “นายเคยไปที่บ้านของพวกเขา?”
เขาได้ยินมาว่าจงหยุนเฉียงมีบ้านช่องเยอะมาก เพราะว่าเขาไม่ชื่นชอบไปมาหาสู่กับคนทางนี้ จึงไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก ตอนนี้ไปตรวจสอบทีละแห่งก็เสียเวลาเกินไป
คนขับรถรีบพยักหน้า คิดอยากจะทำความดีชดเชยความผิด “ผมรู้ครับ ผมสามารถพาพวกคุณไปได้”
เสิ่นเผยซวนเอ่ยถามข้อสงสัยออกมา “สถานที่ที่คุณก็รู้จัก จงหยุนเฉียงยังจะพักอยู่ที่นั่นอีกหรือ”
“ในสายตาของพวกเขา ผมเป็นคนที่ทรยศประธานจง จะคิดว่าผมกล้ากลับมาได้อย่างไรครับ คงนึกว่าผมหนีไปแล้ว อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าผมจะพาคุณไปหาพวกเขา” คนขับรถเอ่ย
เสิ่นเผยซวนรู้สึกว่าเป็นไปได้ จึงเอ่ยกับจงจิ่งห้าวว่า “รอฟ้ามืดแล้ว ฉันจะพาคนไปนำตัวลูกน้อยกลับมา”
“เผยซวน นายจัดการคนที่มีฝีมือดีไปที่คฤหาสน์ก่อน” หลินซินเหยียนกับลูกๆอยู่ที่นั่น เขาไม่วางใจ แต่จะให้หลินซินเหยียนกลับมา เธอก็จะรู้ว่าลูกน้อยหายไป เธอจะต้องได้รับความสะเทือนใจแน่นอน เขาจึงจงใจส่งเธอไปที่คฤหาสน์ เพราะอยากจะปิดเธอเอาไว้
“ลูกน้อยล่ะ” จวงจื่อจิ่นบุกเข้ามากะทันหัน
เธออยู่ข้างกายเฉิงยู่เวินตลอดเวลา ในภายหลังเมื่อกลับมา ป้าหยูกับเธอก็ได้ยินว่าหลินซินเหยียนกับเด็กๆสองคนไปที่คฤหาสน์แล้ว พวกเธอจึงแบ่งงานกัน คนหนึ่งไปดูแลที่คฤหาสน์ อีกคนหนึ่งดูแลอยู่ที่บ้าน เธอไม่ได้อยู่บ้านทั้งวัน เมื่อกลับมาจึงไปดูเป็นลูกน้อยอย่างแรก สุดท้ายก็เห็นว่าลูกน้อยไม่อยู่
ซางหยูกัดริมฝีปาก น้ำตาเอ่อคลอรอบหน่วยตา “ลูก…น้อย ไม่…”
“ผมให้คนอุ้มลูกน้อยไปที่คฤหาสน์แล้ว” จงจิ่งห้าวลุกขึ้น พลางเอ่ย “รออีกสักครู่ผมก็จะไปเช่นกัน”
ไม่ใช่จงใจจะปิดบัง แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ก็กลัวว่าทุกคนจะรับไม่ไหว
ตอนนี้จงหยุนเฉียงอยากได้ทรัพย์สมบัติของตระกูล ทรัพย์สมบัติของตระกูลยังไม่ถึงมือ ก็จะไม่ทำร้ายลูกน้อย อย่างนั้นจึงไม่มีอันตรายไปชั่วคราว
“อ่อ” จวงจื่อจิ่นก็ไม่ได้คิดมาก หมุนตัวเดินออกไป
เสิ่นเผยซวนเอ่ยว่าจะไปจัดการและถือโอกาสพาซางหยูกลับไปด้วย
เมื่อจัดการคนเรียบร้อย รอจนถึงกลางดึก ก็มีคนขับรถพาพวกเขาไปยังบ้านหลังหนึ่งของจงหยุนเฉียง สถานที่นั้นลึกลับมาก แต่ว่าตำแหน่งทางภูมิศาสตร์นั้นดีมาก
ตอนนี้เทคโนโลยีทางสถาปัตยกรรมพัฒนาแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เทคโนโลยีที่ใช้ป้องกันขโมยจะดีด้วยเช่นกัน เมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน เสียงเตือนขโมยก็ดังขึ้นทันที
เสิ่นเผยซวนจึงทำได้เพียงแค่พาคนถอยออกมาก่อน
อยากจะลอบเข้าไปด้านในโดยที่ไม่มีใครรู้นั้นเกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว กลับกัน การมาแบบนี้ก็เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วย
“ที่นี่มีระบบป้องกันขโมย แต่มีคนไม่เยอะ พวกเราสามารถบุกเข้าไปได้” คนขับรถเอ่ย เขายังคงมีความเชื่อมั่นในฝีมือของตัวเองอยู่บ้าง
เสิ่นเผยซวนเอ่ยนิ่งๆว่า “พวกเราไม่รู้ว่าลูกน้อยอยู่ที่นี่หรือไม่ บุกเข้าไปแบบนี้ ถ้าหากว่าลูกน้อยไม่อยู่ จะเป็นการสร้างอันตรายให้เขาหรือไม่ ถ้าหากว่าย้ายไปแล้ว พวกเราก็ไม่มีหนทางที่จะหาเจอ”
จงจิ่งห้าวชั่งน้ำหนักคุณและโทษในใจ พลางเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเราแหวกหญ้าให้งูตื่นไปแล้ว อย่างนั้นก็ใช้แผนซ้อนแผน”
ถ้าหากว่าลูกน้อยอยู่ที่นี่จริงๆ เหตุการณ์เมื่อครู่นี้จะต้องดึงดูดความสนใจของพวกเขาอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าลูกน้อยอยู่ที่นี่ อย่างนั้น พวกเขาก็ต้องกลัวว่าจะถูกพบ จะต้องย้ายตำแหน่งแน่นอน เช่นนี้ พวกเขาเพียงแค่ทิ้งคนให้เฝ้าที่นี่เอาไว้ ก็จะสามารถหาเบาะแสของลูกน้อยเจอ ถ้าหากว่า ลูกน้อยไม่อยู่ที่นี่ ก็เกรงว่าจะเป็นการทำให้พวกเขาเพิ่มความระแวดระวังมากยิ่งขึ้น
“ฉันจะเฝ้าอยู่ที่นี่” เสิ่นเผยซวนเอ่ย
ตอนนี้มีเพียงแค่เสิ่นเผยซวนเฝ้าอยู่ที่นี่ด้วยตัวเองเท่านั้น เขาถึงจะสามารถวางใจได้
“ผมก็จะอยู่ที่นี่ด้วย” คนขับรถอยากจะทำคุณชดเชยความผิด
จงจิ่งห้าวไม่พูดอะไร ถือว่าเป็นการอนุญาตแล้ว และหมุนตัวเดินไปที่รถ
เขาขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องยนต์ ตอนที่กำลังจะขับรถจากไป โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ดังขึ้น เป็นโทรศัพท์จากซูจ้าน บอกว่าหลินซินเหยียนเป็นไข้
หลังกลับมาจากข้างนอก เธอก็นอนตลอด ฉินยาพบว่าผิดปกติ ถึงได้รู้ว่าเธอมีไข้
จงจิ่งห้าวเอ่ยว่า “ฉันรู้แล้ว”
เขาวางโทรศัพท์ กลับรถมุ่งหน้าไปทางคฤหาสน์
ระหว่างทางไม่มีไฟถนน จึงต้องอาศัยความสว่างจากไฟรถ ผ่านไปพักใหญ่ เขาถึงได้ไปถึงคฤหาสน์
หน้าประตูมีคนอยู่ เสิ่นเผยซวนจัดให้คนมาเฝ้า จงจิ่งห้าวเข้าไปในตัวบ้าน ซูจ้านอยู่ในห้องรับแขก เห็นเขาเดินเข้ามา ก็ลุกขึ้นจากโซฟา
“คนอยู่ข้างบน ฉินยาให้กินยาแล้ว”
จงจิ่งห้าวพยักหน้า ถามว่า “เด็กอีกสองคนล่ะ?”
“ฉินยาพาพวกเขาไปเข้านอนแล้ว” ซูจ้านตอบคำถาม
“ดึกมากแล้ว นายก็พักผ่อนเถอะ” เอ่ยจบก็ขึ้นไปที่ชั้นบน
เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไปก็มืดสนิท ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ คืนวันนี้กระทั่งพระจันทร์ก็ไม่มี เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จึงกดเปิดไฟขึ้น
เสียงแกร๊กดังขึ้น หลินซินเหยียนที่หลับลึกไม่ได้ถูกเสียงรบกวนจนทำให้ตื่นเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินเข้าไปที่ข้างเตียงอย่างแผ่วเบา ยื่นมือออกไปแตะหน้าผากเธอ อาจจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่งกินยาเข้าไปได้ไม่นาน หน้าผากจึงยังร้อนอยู่บ้าง
เขานั่งมองเธออยู่ข้างเตียง
ภายในระยะเวลาสั้นๆไม่กี่วันก็ซูบผอมลงไม่น้อย ถ้ารู้ว่าลูกน้อยหายไปแล้ว จะต้องเป็นหนักมากขึ้นแน่นอน
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความให้กับเสิ่นเผยซวน ให้เขาส่งคนไปจับตาดูจงหยุนเฉียงกับผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขาคนนั้นเอาไว้
ไม่ว่าก่อนคืนวันพรุ่งนี้จะสามารถหาเจอหรือไม่ เขาก็ต้องพยายามจนถึงที่สุด