คนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ดีมีสุขอย่างจงหยุนเฉียง เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตที่เขาเคยพบมา ต้องมาเจอกับคนที่พยายามรอบสังหารตัวเอง ทำเอาสติของเขาหลุดออกไป ถึงกับว่าไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่ยืนโง่ๆอยู่ตรงนั้น
หญิงสาวโผเข้ามากระโดดกอดเขาเอาไว้ จากนั้นก็เอาตัวแนบลงไปแล้ว ใช้ฟันกัดเข้าไปบนคอของเขาอย่างแรง
” อ้าก! ”
จงหยุนเฉียงร้องออกมาด้วยเสียงโหยหวน เมื่อกี้ที่หญิงสาวจู่โจมเข้ามา ในมือของเธอไม่ได้ถืออะไรอยู่เลย แต่เป็นเพียงสีเงินที่เธอทาตอนไปทำเล็บก่อนหน้านี้เท่านั้น
เลยชวนให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของมีคม
เธอไม่มีอาวุธ แต่ก็ไม่ยอมที่จะโดนทิ้งง่ายๆ ถ้าตัวเองต้องตาย เธอก็จะลากไอ้คนอย่างจงหยุนเฉียงฝังไปพร้อมกับเธอ
” ช่วยด้วย! ”
จงหยุนเฉียงเจ็บจนต้องสะบัดไปทั่ว แต่สองมือของผู้หญิงคนนั้นเหนียวราวกับหนวดของปลาหมึก พันอยู่รอบตัวเขาไม่ยอมคลายออก หลังจากนั้นก็มีเลือดไหลลงมาจากปากของเธอ ชวนให้น่าขนลุก
เสิ่นเผยซวนยืนมองด้วยสายตานิ่งเฉยอยู่ข้างๆสักพัก ถึงจะเข้ามาลากตัวหญิงสาวออก
จงหยุนเฉียงเอามือกุมไปที่คอของตัวเอง ” นังผู้หญิงสาระเลวไปตายเลย ไปตายซะ! ”
ขณะที่พูดก็พยายามยกขาถีบไปยังผู้หญิงคนนั้น
แต่ก็ไม่มีใครเห็นใจเขาเลย ทุกคนต่างยืนดูอยู่ข้างๆ จนกระทั่งเสิ่นเผยซวนรู้สึกว่ามันพอสมควรแล้ว ก็เลยเปิดปากบอกให้คนเอาตัวจงหยุนเฉียงออกไป
” เอาเขาไปขังไว้ก่อน ตอนนี้เรามีหลักฐานมัดตัวแล้ว ที่เหลือก็รอให้ฝ่ายศาลเป็นคนตัดสิน ” พูดจบก็เดินออกไป
เสิ่นเผยซวนเดินไปยังห้องสังเกตการณ์ จงจิ่งห้าวก็เดินออกมาพอดี เขารีบสาวเท้าเดินเข้ามาหา ” ธุระที่เหลือ ฉันจะจัดการให้ดีที่สุด คงพักใหญ่เลยที่จะออกมาไม่ได้ คงต้องอยู่ในนั้นฉลองตรุษจีนหลายรอบไปยาวๆ ”
จงจิ่งห้าวตอบอืมสั้นๆ
จงหยุนเฉียงที่ถูกคุมตัวอยู่ เมื่อเห็นจงจิ่งห้าวกับเสิ่นเผยซวน ก็ตะโกนเรียก ” นายไม่ได้บอกว่าจะปล่อยฉันเหรอ ? ทำไมพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้นวะ? ไอ้เหี้ยเอ้ย! แล้วก็แกด้วยจงจิ่งห้าว ฉันเป็นถึงญาติมีศักดิ์เป็นลุงของแกเลยนะเว้ย แกจะเนรคุณฉันหรือไง? ! ”
เสิ่นเผยซวนพูดเสียงเย็น ” รีบคุมตัวเขาไป ”
ไม่นานนักเสียงกร่นด่าของจงหยุนเฉียงก็ค่อยๆหายไปตามทางเดิน
ใบหน้าของจงจิ่งห้าวดูซีดเซียว ดูไม่มีความอบอุ่นเลยสักนิด จากที่ปรายตามองด้วยความเย็นชาก็เก็บสายตากลับมา ” จัดการให้เรียบร้อย อย่าทิ้งจุดบกพร่องอะไรไว้อีก ” เผื่อจะได้หลีกเลี่ยงความวุ่นวายที่ไม่จำเป็น
เสิ่นเผยซวนตอบรับ ” เข้าใจแล้วครับ ”
จงจิ่งห้าวสาวเท้าเดินจากไป
เมื่อขับรถมาถึงคฤหาสน์แล้ว ก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูทางเข้า รถคันนี้เหมือนเขาจะเคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะเหมือนเครื่องยนต์ที่ผ่านการประกอบใหม่
ชายคนหนึ่งจอดรถแล้วเปิดประตูเดินลงมา เขาคนนั้นก็คือไป๋ยิ่นหนิง เกาหยวนช่วยเขาลงจากรถ เมื่อเห็นจงจิ่งห้าว เขาก็พยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดขึ้นมาว่า ” วันนี้เพิ่งจะมาจากไป๋เฉิง ก็เพิ่งจะได้ยินว่าที่ จริงควรจะมาแสดงความอาลัยอาวรณ์เสียหน่อย ”
จงจิ่งห้าวยืนนิ่งไม่โต้ตอบ
ไป๋ยิ่นหนิงก็จนปัญญา ” เห็นฉันแล้ว ไม่ดีใจเหรอ? ”
เขาก็ยังยืนนิ่งไม่พูดไม่จาเช่นเดิม
” ของชิ้นนี้ให้ลูกชายของนาย ฝากเอาให้เขาทีสิ ” ไป๋ยิ่นหนิงส่งกล่องที่ถูกตกแต่งจนดูปราณีตและสวยงามให้กับเขา ” ช่วงที่ฉันอยู่ไป๋เฉิง เหมือนวันเวลาผ่านไปยาวนานมาก ดูเหมือนทางนี้จะเกิดเรื่องขึ้นมากมายเลยนะ ”
จงจิ่งห้าวไม่ได้รับของขวัญที่ขอยื่นให้ แต่พูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและเย็นชา ” ประธานไป๋พูดจบหรือยัง? ”
ไป๋ยิ่นหนิงยิ้ม ” ความรู้สึกอาฆาตที่มีต่อฉันไม่ลดลงเลยหรอ ? ”
จงจิ่งห้าวไม่สนใจเขา จึงหันตัวแล้วเดินไปด้านในของคฤหาสน์
ของขวัญในมือไป๋ยิ่นหนิงยังคงถือนิ่งอยู่กลางอากาศ แต่เขาไม่ได้รู้สึกหน้าแตกที่จะเก็บมันกลับคืนมา แถมยังพูดตามหลังจงจิ่งห้าวว่า ” ฉันมีภรรยาแล้ว ทำไมนายต้องใจแคบขนาดนี้ด้วย? ”
ก้าวเท้าของจงจิ่งห้าวหยุดลง ก่อนที่จะหันตัวกลับไปมองไป๋ยิ่นหนิง ” ฉันมีปัญหาอยากจะให้นายแนะนำหน่อย ”
” นายว่ามาสิ ” ไป๋ยิ่นหนิงกลับรู้สึกแปลกใจ ใช่ใจแคบผู้นี้มีเรื่องอะไรจะถามเขางั้นเหรอ
” ถ้าคนที่นายรัก ถูกใครบางคนอยากจะได้ไปครอบครอง นายจะทำยังไง? ”
ไป๋ยิ่นหนิงตอบโดยที่ไม่ต้องคิดว่า ” ใครที่กล้ามาอยากได้คนของฉันละก็ ฉันจะตัดเอ็นขูดหนัง แล้วตามด้วยลูกถีบเต็มสองเท้าเลยเป็นไง ”
จงจิ่งห้าวแค่นขำ ” ตอนนั้นฉันคิดแบบนี้แหละ ”
ไป๋ยิ่นหนิง” …… ”
” ประธานจงช่างใจแคบเสียจริง ” ไป๋ยิ่นหนิงเอามือกุมหน้าผาก ดูเหมือนจะโดนเล่นแง่เข้าให้แล้ว ” ฉันมาถึงบ้านนาย บ้านไม่ให้เข้า น้ำสักแก้วก็ไม่มีให้ ขี้เหนียวจริงๆ ”
จงจิ่งห้าวขี้เกียจที่จะสนใจเขาแล้ว
ไป๋ยิ่นหนิงหัวเราะเยาะตัวเอง ที่ทำอะไรไม่ประมาณตัว ผู้ชายคนนี้ใจแคบเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แต่หากเป็นเขา เขาก็คงไม่ใจกว้างเช่นกัน
บนโลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถแบ่งปันได้ แต่คนที่เรารักมีเพียงคนเดียวนั้นไม่สามารถแบ่งปันได้
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองชั้นสอง แววตาดูนิ่งสนิท แล้วพูดเบาๆว่า ” เกาหยวนเราไปกันเถอะ ”
เกาหยวนรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ควรมา
” อันที่จริงคุณนายเป็นคนดีอยู่นะครับ ”
ถึงแม้โจวฉุนฉุนจะมีความคิดที่ไม่ค่อยเป็นผู้ใหญ่นัก แต่เธอชอบไป๋ยิ่นหนิงจริงๆ คนในครอบครัวเธอก็พอใจในตัวไป๋ยิ่นหนิงเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมาเขาให้ความช่วยเหลือและไม่เคยใจแคบต่อพวกเขามาก่อน
แต่เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมไป๋ยิ่นหนิงถึงอยากจะไปยุ่งกับคนที่แต่งงานแล้ว
รู้ว่าไม่มีวันได้เขามา แต่ก็ยังไม่ละทิ้งความพยายาม แบบนี้มันไม่ได้เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ
ไป๋ยิ่นหนิงหันไปมองหน้าเขา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แต่ตัวเขาก็รู้ดีว่าโจวฉุนฉุนก็เป็นคนดีเหมือนกัน
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลโจวแล้ว คุณนายโจวไม่เห็นหน้าค่าตาลูกสาวมาพักใหญ่แล้ว แต่ตอนนี้ลูกสาวกับลูกเขยมาที่นี่ ก็ดีใจจนหยุดไม่อยู่
ช่วงค่ำก็ให้คนทำอาหารเต็มโต๊ะ หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ลากลูกสาวมานั่งคุยเล่นตามภาษา
คนวัยชราเวลาพูดจาอะไร สามประโยคก็คงหนีไม่พ้นเรื่องลูก มิหนำซ้ำเขามีโจวฉุนฉุนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว แน่นอนว่าเขาเริ่มอยากจะอุ้มหลานแล้ว
โจวฉุนฉุนพูดอย่างเขินอายว่าตัวเองไม่อยากเป็นแม่คน
จริงๆไม่ใช่ว่าเธอไม่อยาก แต่เป็นเพราะตัวเองกับไป๋ยิ่นหนิงแต่งงานกันแค่ในนามเท่านั้น
คุณนายโจวเอามือของลูกสาวมากุมเอาไว้แล้วพูดว่า ” แกก็ไม่ใช่เล็กๆแล้ว ต้องรีบมีลูกกับยิ่นหนิง แบบนี้ฉันกับป๊าแกจะได้วางใจ ”
โจวฉุนฉุนก้มหน้าไม่พูดไม่จา
คุณนายโจวเห็นสีหน้าของลูกสาวแล้วก็ถามขึ้นมา ” แกกับยิ่นหนิงทะเลาะกันอย่างงั้นเหรอ? ”
โจวฉุนฉุนสายหน้าเป็นพัลวัน ” เพราะเรามีความสุขดีค่ะ เขาก็ดีกับหนูมาก หนูง่วงแล้วไปนอนก่อนนะคะ ”
เธอแค่ไม่อยากฟังคำบ่นของแม่ตัวเองก็เท่านั้นแหละ
หลังจากที่เปิดประตูห้องนอนเข้าไปแล้ว ก็เห็นไป๋ยิ่นหนิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ในมือของเขามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง และเขาก็อ่านมันอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปแล้วถามขึ้นมาว่า ” อ่านอะไรอยู่เหรอคะ? ”
ไป๋ยิ่นหนิงจึงปิดหนังสือ เธอก็มองชื่อบนปกหนังสือเล่มนั้น《ลมมาจากทิศใด》โจวฉุนฉุนนั่งยองๆลงตรงข้างหน้าของเขาแล้วถามว่า ” สนุกไหมคะ? ”
” ก็ทำให้คนที่นี่อ่านจิตใจสงบได้นะ ”
โจวฉุนฉุนวางหมอนลงบนตักของเขา แล้วพูดว่า ” ถ้างั้น ฉันมีเวลาว่างก็จะอ่านเหมือนกันค่ะ ”
เวลาที่เธออยู่กับเขา เธอมันจะทำตัวเงียบและเชื่อฟังแบบนี้เสมอ
ไป๋ยิ่นหนิงเอื้อมมือไปลูบที่ผมของเธอ แล้วลากลงไปที่มือ จากนั้นก็ค่อยๆใช้แขนโอบไปที่เอวของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ” ผมจะดีกับคุณให้มากๆ ”
นี่คือคำพูดที่ออกมาจากใจจริง มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่สามารถให้เธอได้ก็คือความรัก
โจวฉุนฉุนเอนตัวเข้าไปในอ้อมอกของเขาเงียบๆ แล้วพูดว่า ” ฉันรู้ ”
รู้ว่าเขานั้นดีกับตัวเองแค่ไหน แต่ก็รู้ว่า การกระทำพวกนี้ไม่เคยรวมถึงความรักอยู่ในนั้น
” คุณได้ไปเจอพี่สาวมาหรือยัง? ” จู่ๆโจวฉุนฉุนก็ถามขึ้นมา
” ไม่ได้เจอน่ะ ” ไป๋ยิ่นหนิงหลุบตาลงเพื่อมองเธอ ” แล้วคุณรู้ได้ยังไง? ว่าที่ผมออกไปเพราะอยากไปหาเธอ? ”
โจวฉุนฉุนยิ้มหวาน ” ฉันอยู่ข้างคุณมานานแล้ว ก็ต้องรู้ใจคุณบ้างสิคะ ”
ไป๋ยิ่นหนิงเลิกคิ้ว ” ถ้างั้นต่อไปคุณ ผมคงเป็นคนซื่อสัตย์และจริงใจกับคุณไม่ได้แล้วสิ? ”
ทำไมนานวันเข้ายิ่งฉลาดล่ะ?
ใครบอกว่าเธอโง่กัน?
” ฉันรู้ แต่ฉันไม่โกรธหรอกค่ะ ฉันจะคอยอยู่ข้างคนนิ่งๆแบบนี้ ” โจวฉุนฉุนพูดเรียบๆ
ไป๋ยิ่นหนิงเบือนหน้าออกไปมองแสงจันทร์ข้างนอก
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพื้นเดียวกันนี้ ภายในห้อง ซางหยูก็มองหลินซินเหยียนที่กำลังอุ้มลูกน้อยแกว่งไปมาเบาๆ ในใจก็มีความทุกข์ใจแฝงอยู่ ตอนนี้ลูกน้อยขวัญเสียเป็นอย่างมาก มักจะนอนหลับไม่ค่อยสนิท หรืออยู่ดีๆก็ร้องไห้ออกมา
เมื่อกี้เพิ่งจะนอนไปแต่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลินซินเหยียนจึงอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ แต่เหมือนเด็กชายจะได้กลิ่นที่คุ้นเคย ก็เลยเงียบไป
หลินซินเหยียนเห็นซางหยูที่ยืนจังก้าอยู่ตรงประตู ก็พูดเสียงเบาๆว่า ” มานั่งนี่สิ อย่ายืนอยู่เลย ”
ซางหยูก้มหน้าลง จากนั้นก็พูดขอโทษขอโพยว่า ” ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะฉัน….. ”
” เกี่ยวกับเธอที่ไหนกันล่ะ? ” หลินซินเหยียนรู้ว่าเรื่องนี้คงโทษซางหยูไม่ได้หรอก เพราะมันมีคนคิดเรื่องเลวๆต่างหาก
” อย่าคิดมากไปเลย ตัวเองกำลังท้องกำลังไส้ คิดมากไปก็ไม่ดีกับร่างกายเปล่าๆ ” หลินซินเหยียนพูดปลอบเธอ
” ลูกน้อยชอบร้องแบบนี้ ลองไปตรวจที่โรงพยาบาลดูไหมคะ ” ซางหยูถาม
” รอดูซักวันนึงก่อนค่อยว่ากัน ” เธอรู้สึกได้ว่า เวลาที่ลูกน้อยอยู่ในอ้อมอกของเธอก็หยุดร้องไห้ แกจะร้องไห้เวลาที่ถูกปล่อยให้นอนคนเดียวบนเตียงเท่านั้น
อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่ถูกอุ้มหายไป ก็เลยไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แล้วก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ก็เลยทำให้เสียขวัญ แต่เมื่อเธอเลี้ยงเขายังใส่ใจและระมัดระวัง อาการของลูกก็เหมือนจะดีขึ้น
ซางหยูจึงเดินมาลูกน้อย ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะง่วงนอนจริงๆซะแล้ว เพราะตาจะปิดให้ได้ ” ลูกน้อยโตมาต้องหล่อแน่เลยนะคะ ”
หลินซินเหยียนมองไปที่ลูกชาย สายตาก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนละมุน
คนที่เป็นแม่ทุกคนต่างรู้สึกว่าลูกของตัวเองคือสิ่งที่งดงามที่สุด
” ถ้าฉันมีลูกสาวก็คงจะดีนะคะ ” ซางหยูมองไปยังลูกน้อยขณะที่พูด