บทที่ 733 : หนึ่งในสิบสาวงามแห่งปักกิ่ง!
“น้องสี่..นี่เจ้าให้ข้าจริงๆเหรอ! ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไป ข้า.. ข้าไม่กล้ารับไว้หรอก”
แม้ว่าหลิงซิ่วจะเป็นหลานสาวคนโตของตระกูลหลิงก็จริงแต่เพราะตระกูลหลิงตกต่ำมานานหลายปี นางจึงไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยดังเช่นหญิงสาวตระกูลอื่น หลิงเย่วเองก็ค่อนข้างเข้มงวดกับลูกๆมาก และไม่ยอมให้ลูกๆของเขาใช้จ่ายเงินทองอย่างฟุ่มเฟือย ดังนั้นหากเปรียบเทียบหลิงซิ่วกับหญิงสาวตระกูลใหญ่อื่นๆแล้ว นางก็นับว่าซอมซ่อที่สุดแล้ว!
แม้แต่เครื่องเพชรธรรมดาๆหลิงซิ่วยังไม่มีเลยจึงแทบไม่ต้องพูดถึงหยกจักรพรรดิทั้งสี่ชิ้นที่มีมูลค่ากว่าสองร้อยล้าน อย่าว่าแต่หลิงซิ่วจะไม่สามารถซื้อหามาเองได้เลย แม้แต่คนในตระกูลหลิงก็คงไม่มีใครซื้อให้นางแน่!
แต่การที่นางไม่ซื้อก็ไม่ได้หมายความว่านางไม่ชอบหรือไม่สนใจเวลานี้เศรษฐกิจของประเทศจีนเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งทั่วโลก็ยังนิยมสะสมเครื่องประดับอย่างเช่นหยกเป็นต้น และเพื่อนสนิทของหลิงซิ่วหลายๆคนก็มีทั้งเครื่องประดับราคาแพง และรถหรูหรามากมาย
เมื่อหลิงหยุนหยิบชุดเครื่องประดับที่ทำจากหยกจักรพรรดิทั้งสี่ชิ้นมาวางไว้บนฝ่ามือของหลิงซิ่วเช่นนี้มีหรือที่นางจะไม่ตกอกตกใจ!
ไม่เพียงหลิงซิ่วเท่านั้นที่ตกใจแม้แต่หลิงหย่ง หลิงเฟิง และหลิงเลี่วยต่างก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน ทุกคนได้แต่แอบคิดในใจว่านายน้อยอันดับสี่แห่งตระกูลหลิงนั้นราวกับเป็นเทพก็ไม่ปาน เพราะเด็กหนุ่มผู้นี้สามารถสร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนได้อย่างไม่หยุดไม่หย่อนเลยทีเดียว!
“นี่พี่หลิงซิ่ว..ถ้าเจ้าไม่อยากได้ ข้าก็จะเก็บคืนแล้วนะ!” หลิงหยุนหัวเราะ และพยายามจะดึงกลับเครื่องประดับกลับคืนมา
แต่หลิงซิ่วก็รีบเอื้อมมือสวยงามอีกข้างมาคว้าไว้ทันทีและตอบกลับไปว่า “เจ้ามอบให้ข้าแล้ว หากกล้าเอากลับคืนก็ลองดู!”
ไม่ใช่ว่าหลิงซิ่วจะเป็นคนโลภมากอยากได้ของผู้อื่นแต่เพราะนางได้ยอมรับโดยสนิทใจแล้วว่าหลิงหยุนเป็นน้องชายของตนเอง นางจึงปฏิบัติต่อหลิงหยุนไม่ต่างจากหลิงเฟิง และหลิงเลี่วย
หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ“พี่หลิงซิ่ว.. วันนี้ข้ารีบร้อนเดินทางมาที่นี่ จึงไม่มีเวลาเตรียมของขวัญให้เจ้า ไว้วันหน้าข้าจะเตรียมของขวัญที่ดีกว่านี้มาให้ รับรองว่าเจ้าต้องชอบมากกว่านี้แน่ๆ!”
หลิงหยุนยังมีหินล้ำค่าทั้งห้าสี– ม่วง ขาว แดง เหลือง และดำ หากนำมาแกะสลักเป็นเครื่องประดับ เชื่อว่าจะต้องสวยงามเหมาะกับหลิงซิ่วอย่างมากเลยทีเดียว หากนางได้สวมใส่คงจะต้องสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้พบเห็นได้อย่างแน่นอน!
หลิงหยุนหันกลับไปมองชายหนุ่มทั้งสามคนพร้อมกับหยอกล้อว่า“พวกเจ้าไม่ต้องไปมองเครื่องประดับพวกนั้นเลย นั่นไม่ใช่ของพวกเจ้า แต่..”
หลิงหยุนจงใจพูดค้างไว้แค่นั้นชายหนุ่มทั้งสามต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยให้หลิงหยุนพูดต่อให้จบ..
“แต่ข้ามีรถหรูและกระบี่น้ำดีมาให้พวกเจ้าแทน แล้วข้าจะนำมามอบเป็นของขวัญให้กับพวกเจ้า!”
“น้องสี่..เจ้าช่างเป็นน้องชายที่ดีจริงๆ!”
“น้องสี่..ข้าอยากได้กระบี่น้ำดีสักเล่ม เอาแบบที่ตัดเหล็กได้ เจ้าต้องหาซื้อให้ข้าด้วยนะ!”
และสำหรับหลิงเฟิงนั้นก็ไม่มีของขวัญอะไรที่จะดีไปกว่ากระบี่น้ำดีสักเล่ม..
เรื่องนี้ง่ายดายสำหรับหลิงหยุนมากเขาไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้ เขาก็จะสามารถตีกระบี่น้ำดีให้หลิงเฟิงสักเล่มได้อย่างแน่นอน
“พี่สี่..ข้าไม่อยากได้อะไร แต่ข้าอยากเรียนวรยุทธกับท่าน พี่สี่.. ท่านต้องสอนวรยุทธให้ข้าด้วยนะ!”
หลิงเลี่วยนั้นนับว่าเฉลียวฉลาดที่สุดแม้ว่าเขาจะอายุน้อยที่สุด แต่กลับเข้าใจดีกว่าคนอื่นๆว่าการให้ที่ดีที่สุดนั้น ก็คือการสอนให้คนผู้นั้นรู้จักตกปลากินเอง
หลิงลี่จ้องมองห้าพี่น้องพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นดีใจเขาขมวดคิ้วและทำเสียงตำหนิ
“พวกเจ้านี่จริงๆเลยเพิ่งจะได้พบกับหลิงหยุนวันแรก พวกเจ้าก็ขอโน่นขอนี่จากเขา ทำให้ปู่อับอายจริงๆ!”
แน่นอนว่าหลิงลี่ไม่ได้โกรธจริงๆชายชราเห็นห้าพี่ต้องต่างก็เข้ากันได้ดีเช่นนี้ ความจริงแล้วรู้สึกมีความสุขอย่างมาก
แต่ก็แอบกังวลใจอยู่ลึกๆเพราะได้ตามตัวหลิงซวี่กลับมาแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกผิดหวังในตัวหลิงห่าวอย่างมาก
หลิงหยุนและหลิงซวี่นั้นเป็นพี่น้องต่างมารดาเวลานี้หลิงเสี่ยวเองก็หายตัวไป และหลิงหยุนเองก็เพิ่งจะกลับเข้าตระกูล หลิงลี่จึงไม่มั่นใจว่าสองพี่น้องจะมีปัญหากันหรือไม่!
และสิ่งที่หลิงซวี่กังวลอย่างมากก็คือนิสัยที่ดื้อดึงของหลิงซวี่หลิงเสี่ยวนั้นไม่เคยรักใคร่ในตัวแม่ของหลิงซวี่เลย ในใจของเขามีแต่ธิดาพรรคมารซึ่งเป็นแม่ของหลิงหยุนเท่านั้น อีกทั้งหลิงซวี่เองก็เป็นเด็กสาวที่มั่นใจตัวเองมาโดยตลอด อายุเพียงแค่สิบหกปี นางก็ขอไปทำงานให้กับกลุ่มนภา
เวลานี้หลิงหยุนซึ่งเป็นลูกชายของหลิงเสี่ยวกับธิดาพรรคมารกลับเข้าตระกูลหลิงหากหลิงซวี่ได้พบกับหลิงหยุนเข้า ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง!
และหลิงลี่เองก็สงสารลูกชายและลูกสาวของหลิงเสี่ยวทั้งสองคนอย่างมาก!
‘ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรตามมาหรือไม่’หลิงลี่ได้แต่ครุ่นคิด และเป็นกังวลอยู่เงียบๆ
วันนี้นับว่าหลิงหยุนได้แสดงความีน้ำใจต่อคนตระกูลหลิงอย่างมากและรับปากพี่น้องของเขาทุกคนว่าจะนำของขวัญมาให้ และรับปากที่จะสอนวรยุทธให้กับหลิงเลี่วยอีกด้วย
แต่ดูเหมือนผู้ที่มีความสุขที่สุดจะเป็นหลิงซิ่วและก่อนที่จะกลับไปนางก็ได้หันมาบอกหลิงหยุนว่า
“นี่เจ้าเด็กตัวแสบ..ข้าจะบอกอะไรให้ พี่สาวของเจ้าคนนี้เป็นถึงหนึ่งในสิบสาวงามของปักกิ่งเชียวนะ!”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่อุทานออกไปอย่างประหลาดใจ “พี่หลิงซิ่ว.. นี่ท่านติดหนึ่งในสิบสาวงามเชียวรึ”
หลิงซิ่วหัวเราะคิกคักแต่ไม่ตอบหลิงเลี่วยจึงเป็นผู้พูดขึ้นเอง “พี่สี่.. น้องหลิงซวี่ก็ติดหนึ่งในห้า!”
หลิงหยุนนึกถึงใบหน้าและรูปร่างที่งดงามของหลิงซวี่ขึ้นมาทันทีจึงได้แต่แอบยิ้มมุมปากออกมาอย่างอบอุ่น
หลิงซิ่วหลิงหย่ง หลิงเฟิง และหลิงเลี่วย ต่างก็ขอตัวกลับ เหลือเพียงหลิงหยุน หลิงลี่ และเหล่ากุ่ยอยู่ในบ้านตามลำพัง
ทันทีที่ทุกคนออกไปแล้วหลิงลี่ก็เดินนำหลิงหยุนไปนั่งที่โซฟา ชายชราจ้องมองใบหน้าของหลิงหยุนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตาพร้อมกับพูดออกไปว่า
“หลานรัก..ขอปู่มองหน้าเจ้าให้ชัดๆอีกสักครั้ง!”
แม้ว่าจะเป็นเวลาตีสองครึ่งแต่ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องล้วนเป็นยอดฝีมือ พวกเขาจึงไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย
หลิงลี่ถามไถ่ชีวิตที่ผ่านมาของหลิงหยุนตลอดสิบแปดปีและท้ายที่สุดก็รู้ว่าหลานชายสุดที่รักของตนเองนั้นไม่ใช่หนุ่มบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความรักความเมตตาที่ท่านปู่มอบให้กับเขาเขาจึงได้แต่วางภาระในใจที่หนักอึ้งไว้ชั่วคราว และตอบคำถามของหลิงลี่อย่างตรงไปตรงมา ทั้งคู่พูดคุยสนทนากันจนถึงตีห้า และในที่สุดก็วกเข้ามาคุยเรื่องสำคัญต่อ
“หลิงหยุน..เรื่องคฤหาสน์ตระกูลหลิงที่เจ้าต้องการสร้างนั้น เจ้าอย่าไปสนใจคำพูดของลุงใหญ่ เรื่องเงินข้าจะสนับสนุนเจ้าเอง!”
“ท่านปู่..ข้าไม่ต้องการเงินของตระกูลหลิง และตั้งแต่วันนี้ไป.. ตระกูลหลิงจะไม่ขาดแคลนเงินทองอีก ต่อไปในวันข้างหน้า ท่านปู่ไม่ต้องกังวลใจเรื่องเงินทองอีกแล้ว!”
หลิงหยุนไม่ได้พูดล้อเล่นเขาเป็นถึงหมออมตะ เขาสามารถปลุกเสกยันต์และปรุงยาได้ ทั้งหมดนี้หลิงหยุนเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำเงินให้เขาได้อย่างมากมายแน่นอน!
นอกเหนือจากนี้หลิงหยุนเองก็ยังมีบริวารที่จงรักภักดีอย่างแวมไพร์ทั้งสี่ตน อีกทั้งเพียร์ซกับจอยซ์นั้นก็มีเงินทองมากกว่าพอลและเจสเตอร์หลายเท่านัก เงินของพวกมันทั้งสี่รวมกัน สามารถซื้อทีมบาสเก็ตบอลได้ถึงสี่หรือห้าทีมเลยทีเดียว และแต่ละทีมก็มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าร้อยล้านเหรียญสหรัฐ เรื่องเงินจึงไปไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับหลิงหยุน
หลิงหยุนได้ย้ำให้หลิงลี่มั่นใจถึงความจงรักภักดีของแวมไพร์ทั้งสี่ตนเพื่อให้หลิงลี่สบายใจว่าพวกมันจะไม่สร้างปัญหาให้กับตระกูลหลิง และจะเชื่อฟังคำสั่งของหลิงลี่ อีกทั้งยังจะทำหน้าที่ดูแลปกป้องตระกูลหลิงอีกด้วย!
“ปู่เข้าใจ..แต่การมีแวมไพร์อยู่ในบ้านนั้น หากตระกูลหลงและกลุ่มนภารู้เข้า คงจะมีปัญหาไม่น้อยแน่..” หลิงลี่รู้สึกกังวลใจ
แต่หลิงหยุนตอบกลับอย่างมั่นใจ“ท่านปู่อย่าได้กังวลใจในเรื่องนี้ เฉินเจี้ยนกุ่ยเองก็เป็นแวมไพร์เช่นกัน อีกทั้งมันยังพาแวมไพร์กลับมาด้วยตั้งยี่สิบกว่าตน ข้าไม่เห็นว่าตระกูลหลงหรือกลุ่มนภาจะใส่ใจในเรื่องนี้.. แล้วเหตุใดพวกเขาจะมาสนใจแวมไพร์แค่สี่ตนนี้ด้วยเล่า หากพวกเขาใส่ใจ ก็นับว่าไร้เหตุผลสิ้นดี!”
หลิงหยุนพูดต่อว่า“ท่านปู่.. แวมไพร์ทั้งสี่ตนนี้แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตระกูลหลิงได้ หากไม่มีเรื่องก็อย่าให้พวกมันแสดงตัวเท่านั้นเอง”
หลิงหยุนหว่านล้อมจนหลิงลี่ต้องยอมพยักหน้าอนุญาต“เอาล่ะ.. ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าบอกก็แล้วกัน!”
“ท่านปู่..เรื่องของตระกูลเกา พวกเราจะทำเช่นไรดี”
เมื่อพูดถึงเรื่องแวมไพร์หลิงหยุนก็อดที่จะถามถึงเรื่องของตระกูลเกาขึ้นมาไม่ได้
บทที่ 734 : เจ็ดตระกูลใหญ่!
เมื่อพูดถึงเรื่องของตระกูลเกาหลิงลี่ถึงกับถอนหายใจยาว แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นโศกเศร้า และนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
เห็นได้ชัดว่าโศกนาฏกรรมของตระกูลเกานั้นได้ทำให้ชายชราหวนนึกถึงเรื่องของตระกูลหลิงเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่หลิงลี่ก็ถึงกับส่ายหน้าพร้อมกับพึมพำออกมาว่า “ไม่น่าเชื่อจริงๆ เฒ่าเกาจิ้นสงระมัดระวังตัวมาตลอด แต่ก็ต้องพบกับหายนะด้วยน้ำมือของคนในครอบครัวแท้ๆ”
“ห๊ะ..อะไรนะ!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจและเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเกาเฉินเฉินเคยเล่าให้เขาฟังว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นเป็นญาติห่างๆของเธอเอง
หลิงลี่หันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับอธิบายต่อว่า“ลูกสาวคนที่สองของเกาจิ้นสง แต่งงานกับเฉินไห่ซันลูกชายคนที่สามของเฉิงจินเทียน”
หลิงหยุนได้แต่หัวเราะเย้ยหยันพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ทำลายครอบครัวของลูกสะใภ้ตัวเองงั้นรึ! การกระทำของตระกูลเฉินช่างน่าทึ่งจริงๆ!”
หลิงลี่ดูเหมือนจะเข้าใจความคิดของหลิงหยุนดีเขาจึงอธิบายต่อว่า “หลิงหยุน.. สิ่งที่เกิดขึ้นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา หลังจากที่ตระกูลหลิงต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมเมื่อสิบแปดปีที่แล้วจนตกมาอยู่อันดับเจ็ด ตระกูลเฉินก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นตระกูลอันดับสาม”
หากจัดอันดับตามความแข็งแกร่งของเจ็ดตระกูลตระกูลหลงจัดอยู่ในอันดับหนึ่ง รองลงมาก็คือตระกูลเย่ว ตระกูลเฉิน ตระกูลซัน ตระกูลเกา ตระกูลหลี่ และตระกูลหลิงเป็นอันดับสุดท้าย
แต่ก็จะมีการคัดเลือกตระกูลอันดับหนึ่งในทุกๆห้าปีและตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานี้ ก็มีการคัดเลือกไปแล้วทั้งหมดสามครั้ง แต่ละครั้งก็สร้างแรงสั่นสะเทือนขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
ต้องยอมรับว่าตลอดสิบแปดปีมานี้มีตระกูลใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมาย และเมื่อสามารถไต่เต้าขึ้นมาได้ ความแข็งแกร่งที่พวกเขาเริ่มมีขึ้นมานั้น ก็สามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับพวกเขาได้มากมายเลยทีเดียว จากนั้นก็สรรหาอำนาจเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตระกูล
ในปักกิ่งนั้นมีอีกหลายตระกูลที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลจอมยุทธและนิกายลับ และความแข็งแกร่งของตระกูลเหล่านั้นก็เหนือกว่าตระกูลหลิงอีกด้วย และนั่นคือสาเหตุที่ตระกูลเหล่านั้นแอบหัวเราะเยาะคนตระกูลหลิงอยู่เนืองๆ
ดังนั้นการที่ตระกูลหลิงซึ่งตกต่ำมานานถึงสิบแปดปีแต่ยังสามารถรักษาสถานะของการเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ไว้ได้นั้นนับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตระกูลหลิงยังคงสถานะเช่นนี้อยู่ได้นั้นก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลง และการที่ตระกูลหลงให้การสนับสนุนตระกูลหลิง ก็เพราะตระหนักถึงบางสิ่งที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังตระกูลหลิงนั่นเอง!
และสิ่งที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังตระกูลหลิงก็คือธิดาพรรคมารนั่นเอง!
ในอดีต..ช่วงเวลานั้นธิดาพรรคมารเพิ่งจะอายุสิบเพียงสิบเก้าปี แต่ก็สามารถฝึกวิชามารจนกำลังภายในของนางเวลานั้นล้ำลึกอย่างน่าเหลือเชื่อ และหาใครเทียบได้ยากนัก!
ในครั้งนั้น..ธิดาพรรคมารเองก็ตั้งครรภ์ และเพื่อต้องการปกป้องทารกในครรภ์ของตนเอง นางถึงกับยอมให้สมาชิกพรรคมารคนอื่นๆผิดใจ และยอมให้จอมยุทธทั่วหล้าดูถูกเหยียดหยามนาง ยอมทนดูหลิงเสี่ยวทำลายวรยุทธตนเอง และประกาศแต่งงานกับหญิงอื่นต่อหน้านาง
ตลอดสิบแปดปีมานี้ไม่มีใครรู้ว่าธิดาพรรคมารนั้นหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใด และไม่มีใครรู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่? อีกทั้งไม่รู้ว่ากำลังภายในของนางเวลานี้อยู่ในขั้นใดแล้ว?
ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีมานี้ธิดาพรรคมารก็อยู่ตามลำพังมาโดยตลอด หากวันใดที่นางมารอย่างนางไม่ต้องการอยู่คนเดียวลำพังอีกต่อไป และต้องการหวนกลับคืนสู่ยุทธภพแล้วล่ะก็ เมื่อนั้นเมืองหลวงคงต้องเกิดความปั่นป่วนโกลาหลยิ่งกว่าพายุเฮอริเคนถาโถมใส่เสียอีก..
สำหรับตระกูลใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นและไม่ทราบเรื่องราวเมื่อสิบแปดปีก่อน ก็มักจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ และดูถูกเหยียดหยามตระกูลหลิงที่ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งเจ็ดตระกูลใหญ่ได้ แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น มีใครบ้างที่ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังตระกูลหลิงนี้
มีผู้ใดบ้างที่จะกล้าดึงตระกูลหลิงลงมาจากอันดับเจ็ดตระกูลใหญ่มีผู้ใดบ้างที่จะกล้าฆ่าหลิงเสี่ยว? และมีผู้ใดบ้างที่จะไม่หวาดกลัวต่อธิดาพรรคมาร?
แต่ตระกูลเกาและตระกูลหลี่ซึ่งในอดีตเคยอยู่ในสองอันดับสุดท้ายนั้นล้วนแตกต่างจากตระกูลหลิงอย่างสิ้นเชิง!
จนถึงกระทั่งตอนนี้เกาจิ้นสง – ผู้นำตระกูลเกาคนก่อน ก็เพิ่งจะอยู่ในระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-4 เท่านั้น ส่วนเกาซิงฉาง – ผู้นำตระกูลเกาคนปัจจุบัน ก็เพิ่งจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน-1 เช่นกัน
และแทบไม่ต้องพูดถึงตระกูลหลี่เพราะในตระกูลหลี่นั้นมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้น และการที่ตระกูลหลี่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่นั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องทรัพยากรทางการเงินที่มีอยู่เท่านั้น!
และแหล่งที่มาของทรัพย์สินเงินทองนั้นก็มาจากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าและถ่านหินที่ตระกูลหลี่ครอบครองอยู่นั่นเอง ในยุคปัจจุบันที่พลังงานไฟฟ้าเปรียบเหมือนพระเจ้านั้น จึงไม่แปลกที่ตระกูลหลี่จะร่ำรวยมหาศาล!
แม้ตระกูลหลี่จะร่ำรวยมหาศาลแต่ก็ไม่ต้องการเป็นปรปักษ์กับใคร จึงได้วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด และผูกสัมพันธ์กับตระกูลทั้งหกอย่างเสมอมา ตระกูลหลี่จึงสามารถยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้
ส่วนตระกูลเกานั้นผู้นำตระกูลคนก่อน – เกาจิ้งสงซึ่งเป็นผู้ที่ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลานั้นกลับไม่สนใจเงินทองมากมายนัก แต่กลับสนใจเพียงแค่สถานะอำนาจของตระกูล
ดังนั้น..คนตระกูลเกาภายใต้การนำของเกาจิ้นสง จึงหมกมุ่นอยู่กับการสร้างเครือข่ายเพิ่มอำนาจบารมีจนละเลยกับการฝึกฝนวรยุทธ กำลังภายในของเขาจึงหยุดอยู่เพียงเท่านั้น
และยิ่งตระกูลเกามุ่งมั่นกับการสร้างเครือข่ายและอำนาจบารมีมากขึ้นเท่าไหร่ตระกูลเกาก็ยิ่งเข้าสู่การเป็นตระกูลธรรมดาๆมากขึ้นเท่านั้น!
และเพราะเหตุนี้ตระกูลเฉินจึงมองตระกูลเกาไม่ต่างจากน้ำผึ้งรสหวาน..
แล้วเหตุใดเฉินเจี้ยนกุ่ยจึงต้องกลายเป็นแวมไพร์อย่างนั้นหรือ
เพราะนั่นคือวิธีเดียวที่ตระกูลเฉินจะสามารถควบคุมผู้นนำตระกูลเกาทั้งสองรุ่นให้ยอมก้มหัวให้แก่ตระกูลเฉินได้และยอมฟังคำสั่งตระกูลเฉินนั่นเอง
เหล่ากุ่ยเองก็ได้เล่าเรื่องของตระกูลเกาให้หลิงลี่ฟังจนหมดแล้วหลิงลี่จึงยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า
“ในบรรดาเจ็ดตระกูลใหญ่นั้นตระกูลซันก็ถูกเจ้าทำลายที่เมืองจิงฉู และเวลานี้ก็ยังไม่ฟื้นตัว ตระกูลเฉินจึงได้ฉวยโอกาสนี้จัดการกับตระกูลเกา เพราะถึงอย่างไรตระกูลหลงกับตระกูลเย่ก็ไม่สนใจยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว..”
“ตระกูลเฉินจึงเริ่มเคลื่อนไหวด้วยการให้เฉินเจี้ยนกุ่ยซึ่งกลายเป็นแวมไพร์ค่อยๆเข้าควบคุมตระกูลเกาก่อน!”
“ตระกูลหลี่แม้จะร่ำรวยแต่ก็มีแค่ทรัพย์สินเงินทองไม่มีอำนาจมากพอ และแทบไม่ต้องเป็นห่วงตระกูลหลิงที่ตอนนี้ตกต่ำอย่างมาก ดังนั้นหากตระกูลเฉินสามารถควบคุมตระกูลเกาได้ ก็จะสามารถสร้างปัญหาให้กับตระกูลหลงได้อย่างมาก เพราะตระกูลเฉินนั้นมีทั้งแวมไพร์ และเหล่านินจา..”
“แต่ตระกูลเฉินก็คงทำได้เพียงแค่สร้างปัญหาเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเพราะด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเฉินเวลานี้ หากต้องการจะก้าวขึ้นมาแทนตำแหน่งของตระกูลหลงแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันอย่างมาก!”
“เฉินจิงเทียนดูท่าจะผยองมากเกินไปจนไม่เห็นแม้กระทั่งตระกูลหลงอยู่ในสายตา ดูท่ามันจะสำคัญตนผิดไปมาก!”
“แทบไม่ต้องถึงมือตระกูลหลงด้วยซ้ำไปเวลานี้หากตระกูลเย่ต้องการจัดการกับตระกูลเฉิน ก็เป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก”
หลิงลี่พยักหน้าเคร่งเครียดก่อนจะพูดต่อว่า“หลิงหยุน.. ความจริงแล้วนับว่าเจ้ายังโชคดีอยู่มาก! ปู่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าบุกเข้าบ้านตระกูลเฉินถึงสองครั้งสองครา และยังกล้าลงมือสังหารยอดฝีมือตระกูลเฉินไปตั้งมากมาย..”
“หากปู่รู้ก่อนก็คงต้องห้ามเจ้าไว้อย่างแน่นอน!”
หลิงหยุนได้แต่ร้องถามขึ้นด้วยความแปลกใจ“เพราะเหตุใดท่านปู่จึงต้องห้ามข้าด้วยเล่า”
แววตาของหลิงลี่เป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งพร้อมกับตอบไปว่า“เพราะในตระกูลเฉินนั้น อย่างน้อยก็มีอยู่สามคนที่จะสามารถเอาชนะเจ้าได้ ต่อให้เจ้ามีของดีอยู่ในมือมากมาย หากทั้งสามคน หรือสองคนร่วมมือกัน อย่างไรเจ้าก็ต้องพ่ายแพ้แน่นอน!”
หลิงหยุนถึงกับตกใจเขาเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับร้องอุทานว่า “เป็นไปไม่ได้!”
“ท่านปู่..นี่เหล่ากุ่ยยังไม่ได้เล่าให้ท่านฟังหรอกหรือว่า ข้ามีวิชาพลังมังกรที่สามารถเพิ่งกำลังภายในของตนเองได้ถึงสิบเท่า..”
หลิงหยุนไม่ต้องการที่จะปิดบังเรื่องนี้กับหลิงลี่เขาจึงเล่าไปตามตรง “หากหลานเพิ่มกำลังเป็นสิบเท่า เชื่อว่าจะไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-9 อย่างแน่นอน”
หลิงลี่ถึงกับขมวดคิ้วเขาจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาเศร้าพร้อมกับส่ายหน้า “หลิงหยุน อาจารย์ของเจ้าไม่ได้บอกเรื่องขั้นกำลังภายในให้เจ้าฟังบ้างเลยรึ”
หลิงหยุนถามขึ้นอย่างประหลาดใจ“ท่านปู่ต้องการบอกอะไรข้ากันแน่!”
หลิงหยุนมีอาจารย์ที่ใหนกันเล่าเขาคาดเดาจากการปะทะกับศัตรูทั้งนั้น
หลิงลี่ถึงกับตกใจเขาลุกขึ้นยืนจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า
“หลิงหยุน..นี่อาจารย์ของเจ้าไม่ได้บอกกับเจ้าเลยหรือว่า.. ต่ำกว่าขั้นเซียงเทียน-7 ล้วนเป็นเพียงแค่มดน่ะ!”
หลิงหยุนตอบกลับไป“เอ่อ.. เรื่องนั้นข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน”
แต่ไม่ใช่จากอาจารย์หลิงหยุนเพิ่งได้ยินจากอากมัทสุ ไคสุเกะเมื่อคืนนี้..
หลิงลี่ถอนหายใจยาวและพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน ด้วยกำลังภายในที่เจ้าแสดงออกมานั้น ต่อให้เจ้าสามารถเพิ่มกำลังภายในขึ้นเป็นสิบเท่า ก็ยังยากที่จะเอาชีวิตรอดจากยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ได้..”
“เจ้ายังเด็กเกินที่จะเข้าโลกยุทธภพ!”