WSSTH ตอนที่ 2,937 : การประลองสวรรค์ใต้
“นายท่าน ตลอดเดือนที่ท่านปิดด่านบ่มเพาะ ข้าที่ว่างไปหาข่าวในเมือง ก็ได้รู้เรื่องราวในประเทศฝูชิวเพิ่มไม่น้อย รวมถึงเรื่องลูกชายคนเล็กทั้ง 2 ของหวงเหยี่ยนเฟย เจ้าเมืองตู้อวิ๋นด้วย”
ในขณะที่คนในอัฒจันทร์กำลังสนทนากันถึงเรื่องนี้ เสียงผ่านพลังของงหลิวก่วงหลินก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนพอดี
“ลูกชายคนที่ 4 ของหวงเหยี่ยนเฟยเจ้าเมืองตู้อวิ๋นผู้นั้น อายุของมันยังไม่ถึง 200 ปีที…หากแต่ด่านพลังกลับบรรลุถึงขอบเขตอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว! อีกทั้งยังแตกฉานวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับขุนนางไม่ว่าจะสายโจมตี ป้องัน หรือท่าร่างครบหมดสิ้น!!”
หลิวก่วงหลินมองชายหนุ่มร่างสูงแลดูหล่อเหลาไม่ด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนมากเท่าไหร่ ถัดจากหวงเหยี่ยนเฟยพลางกล่าวบอกรายละเอียดผ่านพลัง
“พรสวรรค์นี้ของมัน…เกรงว่าในพื้นที่ชายขอบของภาคกลางได้นอกจากนายท่านและแม่นางฮ่วนเอ๋อแล้ว คงไม่มีใครเทียบมันได้! อย่างน้อยๆข้าก็มิเคยได้ยินว่ามีใครมีพรสวรรค์สูงกว่าท่านกับแม่นาฮ่วนเอ๋อ!!”
ถึงแม้ว่าฮ่วนเอ๋อจะมี ‘เร้นกลิ่นอาย’ ที่เหอเผยหยวนมอบให้พกติดตัว จนไม่มีผู้ใดสามารถบ่งบอกอายุที่แท้จริงของนางได้ แต่หลังติดตามรับใช้ต้วนหลิงเทียนและออกตามหาฮ่วนเอ๋อพร้อมต้วนหลิงเทียนอยู่นาน มันก็ได้รับทราบอะไรมาบ้าง
ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้ว่าฮ่วนเอ๋อนั้น ที่แท้ยังมีอายุน้อยกว่าต้วนหลิงเทียนเสียอีก!
“นอกจากนั้นลุกชายคนที่ 5 ของหวงเหยี่ยนเฟยเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน…มันอายุน้อยกว่าหวงเจียหลงสิบปี หากแต่มันก็ทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอดแล้วเช่นกัน วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางที่ฝึกปรือ ก็มีความสำเร็จไม่น้อยใกล้แตกฉานครบทุกสาย”
“พลังฝีมือของพวกมันทั้งคู่กล่าวไป รั้งอยู่ 5 อันดับแรกของยอดฝีมือขอบเขตยดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งประเทศฝูชิว…”
หลิวก่วงหลินกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดเล็กน้อย ค่อยหยีตากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ในเมื่อวันนี้ประเทศฝูชิวจะเฟ้นหายอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะทั้งสิ้น 9 คน เช่นนั้นพวกมันทั้งคู่ก็ต้องเป็น 2 ในนั้น”
“พรสวรรค์ไม่ธรรมดาจริงๆ”
ได้ยินคำพูดของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชายหนุ่มทั้ง 2 ไกลตาด้วยความสนใจ
ในพื้นที่ชายแดนนั้น เขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครจะมีความสามารถและพรสวรรค์เทียบเท่าลูกชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงผู้นี้เลย
‘อย่างไรก็ตามการประลองสวรรค์ใต้นั้นไม่จำกัดอายุ…ต้องมีผู้ที่ติดค้างอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมานานแล้วเข้าร่วมประลองด้วยแน่’
‘และคนเหลานั้น ย่อมไม่ขาดผู้แตกฉานวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังครบทุกสาย…’
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจ
เซียนอมตะนั้น ตราบใดที่ไม่ถูกใครฆ่าตาย ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด
ตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นรุ่นเยาว์ อาจเป็นเฒ่าชราอายุหลายพันหรือกระทั่งหลายหมื่นปีก็เป็นได้ แม้พรสวรรค์ของพวกมันจะไม่ได้ดีอะไร แต่ด้วยอยู่มานานขนาดนี้ พลังฝีมือก็ไม่ต่ำทรามแน่นอน
อย่างน้อยๆหากให้เทียบกันในบรรดายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดด้วยกัน พวกมันก็ไม่ใช่ชั่ว
หลังจากนั้นผู้คนของอัฒจันทร์ซ้ายขวาเบื้องหน้าก็เริ่มทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ คนไหนดังหน่อยก็มีผู้คนกล่าวถึงมากหน่อย
อย่าไรก็ตามหากเทียบกับ 3 พ่อลูกจากเมืองตู้อวิ๋นแล้ว คนอื่นดูเหมือนจะไม่โด่งดังและสร้างความฮือฮาได้เท่าพวกมัน
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักว่าเขาเดาถูก
อัฒจันทร์ซ้ายขวานั้น มีไว้ให้แขกบางกลุ่มจริงๆ
คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีหน้ามีตาและมีอำนาจในประเทศฝูชิว นอกจากพวกเจ้าเมืองกับลูกหลานแล้ว ก็มีคนของตระกูลใหญ่และขุมกำลังบางส่วนในประเทศฝูชิว
แน่นอนว่าหากเทียบกับภาคกลางทั้งหมดแล้ว ตระกูลกับขุมกำลังเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นตระกูลและขุมกำลังธรรมดาๆ พลังรบยังอ่อนด้อยกว่าตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูชิวมาก
หลังสนใจพ่อลูกเมืองตู้อวิ๋นอยู่พักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหลับตาสงบจิตใจ ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากการทะลวงด่านพลังเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น หากทว่าก้าวเดียวดังกล่าวก็ไม่อาจข้ามผ่านได้ทันเวลา
‘อีกแค่นิดเดียวก็จะทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์แล้วแท้ๆ…แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าในงานประลองสวรรค์ใต้ ข้าทำได้แค่พึ่งพลังที่เหลืออยู่ของอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองเท่านั้น’
ต้นหลิงเทียนลอบคิดในใจอย่างทอดถอน
หลังจากนั้นไม่นาน
“พวกตระกูลราชวงศ์มากันแล้ว!”
ไม่ทราบว่าเป็นเสียงของผู้ใดที่ดังขึ้น แต่ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนที่หลับตาอยู่ลืมตาขึ้นมาทันที
มองไปปราดหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็เห็นชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมปักลายมังกรสีทอง แลดูสง่างามรายล้อมไปด้วยข้าราชบริพานมากมาย
ครู่อมาคนกลุ่มดังกล่าวก็ไปนั่งบนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม
ถึงแม้ว่าอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามกล่าวไปจะมีขนาดเท่าๆกับอัฒจันทร์อื่น หากแต่ที่นั่งนั้นมีน้อยกว่ากันมาก ไม่ถึง 1 ใน 10 ของจำนวนที่นั่งบนอัฒจันทร์ต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
…
และเมื่อกลุ่มคนดังกล่าวนั่งลง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีผู้คนในอัฒจันทร์ซ้ายขวาไม่น้อยที่ลุกขึ้นยืนประสานมือกล่าวคำทักทายชายวัยกลางคนในชุดคลุมปักลายมังกรทอง
กลับกันเป็นอัฒจันทร์ของต้วนหลิงเทียนที่ไม่ค่อยมีใครสนใจหรือลุกขึ้นทักทายอะไร
นั่นเพราะผู้คนในอัฒจันทร์ที่นั่งหลังนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนพเนจร ไม่ได้สนใจเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์อะไร
‘นั่นน่ะเหรอ ฮ่องเต้ฝูชิว ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ?’
ต้วนหลิงเทียนมองสังเกตชายวัยกลางคนในชุดคลุมปักลายมังกรทองด้วยความสนใจ จากนั้นก็ค่อยเบนตาไปมองผู้ที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังของมัน
อัฒจันทร์ฝั่งนั้นมีแค่ 2 ชั้นเท่านั้น
อย่าไรก็ตาม กลับมีคนที่ยืนรักษาความปลอดภัยหนาแน่นมาก หลายคนยังเอาแต่แผ่สำนึกเทวะสำรวจรอบข้าง ไม่ได้สนใจเรื่องราวใดอื่น แลดูทุ่มเทให้กับหน้าที่นัก
“ชายหนุ่มชุดเขียวที่อยู่ข้างๆฮ่องเต้ฝูชิวนั่น มันใช่องค์ชายที่ว่ากันว่ามีพรสรรค์สูงกว่าใครเพื่อนหรือไม่?”
“มิผิด มันคือองค์ชาย 4 ฝูชิว หูจี้หย่ง!”
“หูจี้หย่งผู้นี้พรสวรรค์มิอาจดูเบาได้จริงๆ อายุแค่สองร้อยเศษๆก็บรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว ไม่เพียงแต่จะแตกฉานวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางสายโจมตีป้องกันและท่าร่างจนแตกฉาน เห็นว่าเวทย์พลังระดับขุนนางของมัน ก็แตกฉานทั้ง 3 สายจนหมด กระทั่งเวทย์พลังสนับสนุนของมันยังเป็นเวทย์พลังสนับสนุนระดับขุนนางที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย”
“ในแง่พรสวรรค์มันอาจจะเทียบกับบุตรชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงไม่ได้ หากแต่พลังฝีมือของมันท่าทางว่าจะแกร่งกว่าบุตรชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงเสียอีก”
“กล่าวได้ว่างานประลองสวรรค์ใต้ที่เฟ้นหายอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะ 9 คนครานี้ เหมือนองค์ชาย 4 กับลูกชายทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงคว้าไปแล้ว 3 ตำแหน่ง…”
…
ต้วนหลิงเทียนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มชุดเขียวที่นั่งถัดจากฮ่องเต้ฝูชิวด้วยความสนใจ
ชายหนุ่มชุดเขียวข้างฮ่องเต้ฝูชิวนั้น เค้าโครงใบหน้าก็ราวกับถอดพิมพ์เดียวมากับฮ่องเต้ฝูชิวก็ว่าได้ หากแต่คนแลดูมีลักษณะนิสัยเย็นชา เพียงนั่งอยู่เงียบๆหลับตาทำสมาธิไม่สุงสิงกับผู้ใด คล้ายใดๆในโลกหล้าล้วนไม่เกี่ยวข้องกับมัน
ทันใดนั้น
“หืม?”
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายประกายเรืองวูบ เพราะเขาพบว่าฮ่องเต้ฝูชิวที่เดิมนั่งอยู่ข้างๆองค์ชาย 4 ได้อันตรธานหายไปแล้ว
คนคล้ายกับสาบสูญไปในอากาศธาตุ!
ครู่ต่อมาเขาก็สัมผัสได้ถึงสายลมหอบหนึ่งที่โชยมาปะทะใบหน้า จึงพบว่าบัดนี้ฮ่องเต้ฝูชิวได้วูบร่างมาหยุดอยู่กลางฟ้าเหนือสังเวียนแสงทั้ง 9 เรียบร้อย
“สำหรับการประลองสวรรค์ใต้ ข้าเชื่อว่าทุกท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่ามีจุดประสงค์อันใด ข้าจึงไม่คิดจะอธิบายอะไรอีก”
“ตอนนี้ข้าจักกล่าวถึงกฏการประลองสวรรค์ใต้ให้พวกท่านฟัง”
“สังเวียนประลองสวรรค์ใต้มีทั้งสิ้น 9 สังเวียน…ทุกคนสามารถเลือกขึ้นไปยังสังเวียนใดก็ได้ และทุกคนมีอิสระในการท้าทายผู้ใดในสังเวียนก็ได้ หากเอาชนะผู้ที่ครองสังเวียนอยู่ก่อน ก็สามารถกลายเป็นเจ้าสังเวียนได้แทน”
“ทว่าทุกคนไม่ว่าผู้ใด มีสิทธิ์ท้าประลองได้เพียง 9 ครั้งเท่านั้น…และหากพ่ายแพ้ต่อผู้ใดแล้ว ก็ไม่อาจท้าทายคนผู้นั้นได้อีก”
“และการประลองสวรรค์ใต้ครั้งนี้จะดำเนินไปในลักษณะนี้เรื่อยๆ เมื่อถึงกาลสิ้นสุด ทั้ง 9 ที่เป็นเจ้าสังเวียนก็จักได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ”
“ในสังเวียนประลองนั้น นอกจากห้ามใช้อุปกรณ์อมตะประเภทสนับสนุนและประเภทสิ้นเปลืองแล้ว ยังห้ามมิให้ตั้งใจเข่นฆ่าผู้อื่นหรือทำให้พิการโดยเจตนาเด็ดขาด และหากคู่ประลองกล่าวยอมแพ้หรือหลุดออกจากสังเวียนแล้ว หากยังลงมือไม่เลิกก็มิอาจอ้างว่าติดพันอันใด และจะถูกปรับแพ้ทันที!”
…
ฮ่องเต้ฝูชิวที่วูบร่างมาปรากฏตัวเหนือสังเวียนแสงทั้ง 9 ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กล่าวประกาศกฏกติกาการประลองครั้งนี้ออกมาทันที
‘สังเวียนแสงนี่ หากออกนอกเขตรัศมีแสงก็ถือว่าออกจากสังเวียนสินะ แล้วถ้าออกนอกเขตรัศมีแสงแล้วก็ถือว่าแพ้พ่ายเลย?’
หลังได้ยินกฏกติกาจากฮ่องเต้ฝูชิว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นคราหนึ่ง
สังเวียนแสงที่ว่านั้น เกิดจากค่ายกลเหนือขึ้นไปบนฟ้าสูงที่ยิงลำแสงลงมาปานไฟฉายสว่างจ้า เส้นผ่านศูนย์กลางก็มีราวๆ 300 หมี่เท่านั้น เรียกว่าคับแคบสำหรับตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดนัก อย่าว่าแต่ 300 หมี่ให้เป็น 30 ลี้ ด้วยความเร็วของยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ระยะทางเท่านี้ก็เหมือนไม่มี
‘จะว่าไปกฏนี้ก็เยี่ยมไปเลย…แบบนี้ข้าก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังต่อยตีผู้อื่นให้มาก เพียงเลือกขึ้นไปท้าเจ้าสังเวียนเอาตอนใกล้ๆจบการประลองก็พอแล้ว เท่านี้ก็ได้สิทธิ์เข้าสู่แดนลับระดับต่ำได้ง่ายๆ!’
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกถูกใจกฏกติกาการประลองเป็นที่สุด! เพราะนี่หมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังเซียนอมตะมากเท่าไหร่!!
ก่อนหน้านี้เขายังคิดหนักด้วยกลัวว่าการประลองสวรรค์ใต้จะเป็นรูปแบบการจับฉลากแบ่งสายอะไร และขึ้นไปประลองฝีมือคัดคนไปจนเหลือ 9 คนสุดท้ายอะไรทำนองนั้น
“กฏการประลองเช่นนี้ มิใช่ว่าหากผู้ใดขึ้นไปยืนบนสังเวียนก่อนจะไม่เสียเปรียบผู้อื่นตายหรือ? เพราะมิพ้นต้องโดนท้าจนสิ้นเปลืองพลังทั้งบาดเจ็บสะสมไปเรื่อยๆ”
หลิวก่วงหลินที่นั่งอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวออกด้วยความสงสัย เพราะมันรู้สึกว่ากฏกติกาเช่นนี้ เหมือนจะไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ลงมือก่อน
“พี่ชายท่านนี้ ใช่ท่านพึ่งมาเข้าร่วมงานประลองสวรรค์ใต้ครั้งแรกหรือไม่?”
ตอนนี้เอง ชายวัยกลางคนหน้าตายิ้มแย้มผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหลังหลิวก่วงหลินก็เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้วสหาย”
หลิวก่วงหลินก็หันกลับไปมองอีกฝ่ายพลางพยักหน้ากล่าวตอบ
“การประลองสวรรค์ใต้ หลังผู้ใดประลองเสร็จแล้ว จักได้รับระเวลาพักฟื้นฟูกำลัง กระทั่งประเทศฝูชิวยังจะมอบโอสถอมตะให้ท่านใช้เพื่อฟื้นฟูพลัง”
“และหากท่านบาดเจ็บ ทางตระกูลราชวงศ์ก็จะมอบโอสถอมตะรักษาให้ท่านตามอาการ หนักหน่อยก็รับประทานโอสถอมตะระดับสูงสุดไป เบาหน่อยก็โอสถอมตะทั่วไป เรียกว่าต่อให้ท่านเจียนตาย ที่นี่ก็มีโอสถอมตะระดับราชาให้ใช้ฟรี!”
ชายวัยกลางคนกล่าวถึงจุดนี้ก็คลี่ยิ้มบางๆ “เรียกว่าหากพี่ชายไม่ถึงขั้นพิกลพิการ ขอเพียงรับประทานโอสถอมตะระดับราชาสักเม็ด รับรองท่านสามารถลุกมาสู้ต่อได้ในเวลาอันสั้น!”
“และถึงอาการบาดเจ็บท่านจะหนักหนาจริง แพ้ครั้งหนึ่งก็มิใช่ว่าจบสิ้นกันแล้ว ท่านก็แค่พักรักษาตัวก่อนค่อยขึ้นไปท้าทายชิงเจ้าสังเวียนภายหลังก็ได้ อย่างไรเสียก็มีโอกาสท้าได้ถึง 9 ครั้ง”
“ดังนั้นในสังเวียนประลองสวรรค์ใต้ ท่านมิต้องกลัวเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอันใด บางคนยังชมชอบด้วยซ้ำ เพราะโอกาสประมือกับยอดฝีมือก็มิใช่ว่าจะมีมาง่ายๆ ใครจะไปรู้ขณะต่อสู้อาจเกิดแรงบันดาลใจ หรือรู้แจ้งอันใดก็เป็นได้ บางคนก็คิดแสดงฝีมือเพื่อหวังชื่อเสียง จักได้มีโอกาสเข้าร่วมขุมกำลังในประเทศภายหลัง…”
“แถมผู้ที่โดดขึ้นเวทีไปก่อนเพื่อขัดเกลาตัวเอง กล่าวไปยังมีมากกว่าผู้ที่รอประลองช่วงใกล้จบเสียอีก”
ชายวัยกลางคนกล่าวออกมารวดเดียวจบ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
และแทบจะทันทีที่ชายวัยกลางคนกล่าวจบ ดั่งจะยืนยันคำพูดของมันก็ไม่ปาน เพราะมีร่าง 7 ร่างพุ่งขึ้นสังเวียนไปฉับไวปานฟ้าผ่า!