ตอนที่ 2,929 : ฮ่วนเอ๋อจากไป ไร้คำร่ำลา…
“เอาล่ะ”
เมื่อเห็นความแน่วแน่ของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าขานคำรับสั้นๆ จากนั้นก็เริ่มนั่งขัดสมาธิกลางหาว หลับตาลงเตรียมบ่มเพาะพลังทันที
เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนรับหลิวก่วงหลินเป็นผู้ติดตาม ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าหลิวก่วงหลินเป็นคนเชื่อถือได้ แต่เป็นเพราะการตัดสินใจอย่างฉลาดของอีกฝ่ายด้วย
เหตุไฉนที่เขาเปิดเผยต้นตอพลังของเขาออกไปให้หลิววก่วงหลินรู้ เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนอยากให้หลิวก่วงหลินติดตามรับใช้เขาด้วยตัวเอง ไม่ใช่พลังความแข็งแกร่งที่เป็นดั่งภาพมายา
ระหว่างเดินทางเขาต้องการคนที่น่าเชื่อถือทั้งฉลาดเฉลียว เรียกว่าสามารถใช้การได้จริงๆ
หลิววก่วงหลินนั้น หากไม่นับเรื่องด่านพลังฝึกปรือที่อ่อนด้อยไปบ้าง แต่ความน่าเชื่อถือกับความเฉลียวฉลาดของอีกฝ่ายก็เข้าตาต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง
ฮ่วนเอ๋อที่พึ่งฟื้นสติก็หันไปรับคำทักหลิวก่วงหลินเล็กน้อย จากนั้นนางก็เริ่มนั่งขัดสมาธิและหลับตาลงกลางหาวเช่นกัน แต่จะบ่มเพาะพลังหรือตีความวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังนั้นไม่อาจทราบได้
และนางก็ไม่คิดจะเอ่ยทักอะไรต้ววนหลิงเทียนสักคำ
ต้วนหลิงเทียนเองย่อมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของฮ่วนเอ๋อที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่ แต่เขาเองก็รู้ดีว่าเพราะอะไรถึงทำให้นางอารมณ์นางไม่คงที่แบบนี้
นั่นเพราะเมื่อครู่เขาแนะนำนางให้หลิวก่วงหลินรู้จักในฐานะน้องสาว
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องนี้ และเชื่อว่าอีกไม่นานฮ่วนเอ๋อก็ต้องสงบสติอารมณ์ลงได้เป็นธรรมดา
หลังจากนั้นหลิวก่วงหลินที่พึ่งทะลวงถึงขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้เป็นผลสำเร็จ ก็ได้หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินทาง ไม่เพียงแต่ความเร็วในการเดินทางจะเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิม แต่ยังไม่มีใครปรากฏตัวออกมาปล้นชิงพวกเขาระหว่างเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนอีกเลย
ถึงแม้ว่าในพื้นชายแดนอาจจะยังมีตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะที่ผันตัวเป็นโจรปล้นชิงบ้าง แต่ตัวตนเหล่านี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
อีกทั้งเส้นทางที่เชื่อมระหว่างพื้นที่ชายแดนกับภาคกลาง มีผู้คนสัญจรไปมาน้อยเหลือเกิน ต่อให้จะมีโจรขอบเขตขุนนางอมตะดำรงอยู่จริงๆ พวกมันก็ไม่คิดจะเลือกมาหากินแถบนี้
วันเวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ไม่กี่เดือนผันผ่านไป ดุจเวลาชั่วลัดนิ้วมือ
‘ในที่สุดก็มาถึงก้าวสุดท้าย…ขอเพียงทะลวงจุดรอคอยนี้ได้ ข้าก็จะบรรลุถึงยอดเซียนยอมตะขั้นปฐพีได้สำเร็จราบรื่น!’
ต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะพลังอยู่สูดอากาศเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มโคจรพลังในร่างเร็วรี่ สั่งสมพลังเตรียมทะลวงด่าน!
ขณะเดียวกันโอสถหลัวเทียนในร่างต้วนหลิงเทียนก็ถูกดูดซับเร็วไว กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดโคจรไปตามแนวทางเคล็ดอมตะ ไท่อี้สุดลี้ลับ! มวลพลังโคจรหมุนวนรอบแล้รอบเล่า แต่ละรอบพลังยังเพิ่มพูนมากขึ้นทุกขณะ!!
ราวๆครึ่งเดือนต่อมา
ซู่มมม!!
ทันใดนั้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนที่หลับตาขัดสมาธิกลางอากาศ ก็ปะทุกลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามหนึ่งออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
และกลิ่นอายพลังที่กำจายออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากกลิ่นอายพลังก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
‘ในที่สุด…ก็ทะลวงผ่าน!’
“ยอดเซียนอมตะขั้นปฐพี!”
หลังจากทะลวงด่านพลังแล้ว ต้วนหลิงเทียนนก็ลืมตาขึ้นมาทันที พอดีกับรอยยิ้มสดใสที่คลี่กางขึ้นบนใบหน้าอย่างแช่มชื่น!
“ยินดีด้วยนายท่าน!”
ด้านหลิวก่วงหลินเองก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน แม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะถือครองพลังขอบเขตราชาอมตะ 4 รูปอยู่ หากแต่กลิ่นอายพลังที่ปะทุออกมาทั่วร่างตอนนี้กลับเป็นของยอดเซียนอมตะขั้นปฐพีอย่างเห็นได้ชัด
หลิวก่วงหลินก็เลยรู้ว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านพลังแล้ว
ขณะเดียวกันในใจมันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกครั้งใหญ่
‘นายท่านผู้นี้…ที่แท้ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีงั้นหรือ!?’
เมื่อต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านพลัง หลิวก่วงหลินที่ตกใจกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็ได้แผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจวสอบเรื่องราวโดยไม่รู้ตัว เช่นนั้นไม่เพียงแต่มันจะรู้ว่าด่านพลังต้วนหลิงเทียนก้าวหน้า มันยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเลือดเนื้อต้วนหลิงเทียนเช่นกัน!
ด้วยเหตุนี้ใจมันจึงอดไม่ได้ที่จะสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ!
ยอดเซียนอมตะอายุไม่ถึงร้อยปี?
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงยอดเซียนอมตะขั้นปฐพี!?
ตัวตนเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่เคยปรากฏตัวในประวัติศาสตร์ของพื้นที่ชายแดนมานานนับหมื่นๆปีแล้วไม่ใช่หรือ?
“หืม?”
พอได้ยินคำแสดงความยินดีของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองอีกฝ่ายเป็นธรรมดา และเขาก็ตระหนักถึงความผิดปกติได้ทันที
“ฮ่วนเอ๋ออยู่ไหน?”
นั่นเพราะเขาพบว่ารอบกายเขาตอนนี้เหลือแต่หลิวก่วงหลินแค่คนเดียวเท่านั้น ไร้ซึ่งร่องรอยฮ่วนเอ๋ออย่างสิ้นเชิง!
หลังต้วนหลิงเทียนหันมองไปรอบๆ แล้วไม่พบว่าฮ่วนเอ๋ออยู่ที่ไหนเลย เขาก็ย้อนกลับมามองหลิวก่วงหลินอีกครั้ง สีหน้ายังมืดดำลงปานจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก!
“นายท่าน…”
เผชิญหน้ากับสายตาที่มองจ้องมาอย่างดุร้ายของต้วนหลิงเทียน สีหน้าหลิวก่วงหลินก็เผยความอับจนหนทางออกมา คลี่ยิ้มแหยๆ แลดูขื่นขมกล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงจนปัญญาว่า “แม่นางฮ่วนเอ๋อ…นางจากไปแล้ว”
“อะไร!? ฮ่วนเอ๋อไปแล้ว!?”
ได้ยินคำของหลิวก่วงหลินหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนสีไปทันที “แล้วนางไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไฉนเจ้าถึงไม่รีบบอกข้า!?”
เขาไม่ได้สงสัยในคำพูดของหลิวก่วงหลิน
เพราะเว้นเสียแต่ฮ่วนเอ๋อจะเป็นฝ่ายจากไปเองเงียบๆ ไม่งั้นเขาก็ไม่อาจจับความเคลื่อนไหวใดๆได้เลย
“นางจากไปตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน…”
หลิวก่วงหลินเอ่ยถึงจุดนี้ก็เรียกแหวนพื้นที่วงหนึ่งยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน “แหวนวงนี้ เป็นแม่นางฮ่วนเอ๋อฝากข้าไว้ ให้มอบให้นายท่าน…”
“ตอนที่แม่นางฮ่วนเอ๋อกำลังจะจากไปโดยไม่ร่ำลา นางได้ส่งเสียงผ่านพลังมาข่มขู่ข้า ว่าอย่าได้แจ้งเตือนนายท่านเด็ดขาดแล้วก็อย่าได้ติดตามนางไป…หาไม่แล้วนางจะตายต่อหน้าข้าให้ดู”
“ตอนนั้นสีหน้าแววตาของแม่นางฮ่วนเอ๋อแลดูจริงจังทั้งแน่วแน่ยิ่ง ข้าน้อยเชื่อว่านางไม่ได้ล้อเล่นเป็นแน่…ข้าก็เลยไม่กล้าปลุกนายท่าน และไม่กล้าสะกดรอยตามนางไป”
หลังกล่าวจบคำนอกจากรอยยิ้มขื่นขมแล้ว บนใบหน้าของหลิวก่วงหลินยังฉายชัดถึงความอับจนหนทาง ด้วยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้เห็น
หลังได้ยินคำพูดของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้ารีบรับแหวนพื้นที่วงดังกล่าวมา จากนั้นก็แผ่สำนึกเทวะลงไปเพื่อส่องดูภายในแหวนทันที
ภายในแหวนพื้นที่วงนี้ นอกจากของสองสิ่งที่ตั้งไว้ ด้านในก็ว่างเปล่าไร้สิ่งใดอื่นอีก
วูบ
เมื่อเห็นสิ่งของ 1 ใน 2 ที่วางไว้ในแหวนพื้นที่ สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง
เพราะนั้นคือจี้ห้อยคอที่ฮ่วนเอ๋อมักสวมใส่ไว้เสมอ และตัวจี้นั่นก็เป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ชัดเจนว่ามีความสำคัญอย่างไร
ผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อ เก็บไว้ในนั้น!
อาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด จี้ดังกล่าวก็เปิดออกมาทันที จากนั้นกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลก็พวยพุ่งออกมา ฟุ้งตลบไปทั่วพื้นที่แหวนในเวลาชั่วพริบตา
“ฮ่วนเอ๋อ…”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นปั้นยากนัก เพราะเขาไม่คิดเลยว่าฮ่วนเอ๋อไม่เพียงแต่จะจากไปเงียบๆ แต่นางยังทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุดไว้ให้เขาอีกด้วย
เพราะสุดท้ายแล้วหากไร้ผลึกเทพ การบ่มเพาะพลังของฮ่วนเอ๋อหลังจากนี้ต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
“ยาโถวโง่งม! ยาโถวที่โง่งมนัก!”
หน้าต้วนหลิงเทียนมืดคล้ำดำลงถึงที่สุด หลิวก่วงหลินที่อยู่ด้านข้างก็เงียบไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้ครึ่งคำ
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปสนใจของอีกชิ้นที่อยู่ในแหวน ยังนำมันออกมาจากแหวนทันที เพราะมันคือยันต์อมตะบันทึกเสียงที่สามารถกักเก็บถ้อยคำวาจาเอาไว้ได้ เมื่อจ่ายพลังลงไป ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงฮ่วนเอ๋อทันที
“พี่หลิงเทียน ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อคงไม่ได้อยู่ข้างท่านแล้ว…ที่จริงฮ่วนเอ๋อไม่อยากไปไหนเลย แต่ฮ่วนเอ๋อคิดว่าหากฮ่วนเอ๋อหายตัวไป บางทีพี่หลิงเทียนอาจจะคิดถึงและเป็นห่วงฮ่วนเอ๋อบ้าง…เป็นห่วงฮ่วนเอ๋อเหมือนที่ห่วงพี่สาวมู่หรงปิง พี่สาเค่อเอ๋อ พี่สาวลี่เฟย และพี่สาวเฟิ่งเทียนหวู่…”
“พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อยังรู้ว่าท่านต้องการยกระดับพลังให้เข้มแข็งขึ้นให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ไปช่วยพี่สาวเค่อเอ๋อและคนอื่นๆ…ดังนั้นถึงแม้ว่าฮ่วนเอ๋อจะจากไป แต่ฮ่วนเอ๋อจะมอบจี้ห้อยคอที่ท่านแม่มอบไว้ให้ฮ่วนเอ๋อให้พี่หลิงเทียน หวังว่าพี่หลิงเทียนจะก้าวหน้าขึ้นโดยเร็ว”
จากนั้นเสียงของฮ่วนเอ๋อก็เงียบไป
“ฮ่วนเอ๋อ…”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งกลับกลายเป็นอัปลักษณ์ ลึกลงไปในแววตายังสั่นไหวไปด้วยอารมณ์สะทกสะท้อน
ไม่คิดเลยว่าฮ่วนเอ๋อจะทิ้งผลึกเทพไว้ให้เขาเพราะสาเหตุนี้!
หากไม่มีผลึกเทพ ความเร็วในการบ่มเพาะของนางหลังจากนี้ เป็นธรรมดาว่าต้องช้าลงหลายส่วน!
“เด็กโง่! ช่างโง่งมนัก!”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนฉาแวววิตกกังวลออกชัด ขณะเดียวกันก็เร่งหันไปมองถามหลิวก่วงหลินเสียงหนัก “ตอนไป ฮ่วนเอ๋อไปทางไหน!?”
“ทางนี้นายท่าน”
หลิวก่วงหลินช้มือไปยังทิศทางหนึ่ง
และแทบจะทันทีที่หลิวก่วงหลินกล่าวจบคำ ร่างต้วนหลิงเทียนก็สั่นไหว พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขอบเขตราชาอมตะ 4 รูปปะทุออกมาอย่างเกรี้ยวกราด จากนั้นคนก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาหลิวก่วงหลิน ประหนึ่งสาบสูญไปในความว่างเปล่า
ด้านหลิวก่วงหลินเองก็เข้าใจเรื่องราว จึงเลือกที่จะลอยร่างค้างไว้กลางหาวตำแหน่งเดิม เพื่อรอต้วนหลิงเทียน
มันเองก็รู้ว่านายท่านของมันไม่พ้นต้องไปตามหาแม่นางฮ่วนเอ๋อแน่
จริงดังนั้น
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้เหินร่างด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อตามหาฮ่วนเอ๋อ
พลังที่ได้รับจากอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง ถูกใช้อย่างไม่เสียดาย สำนึกเทวะยังแผ่พุ่งเหินนำไปยังทิศทางที่ฮ่วนเอ๋อหายไปเต็มกำลัง
อย่างไรก็ตาม แม้พลังจะพร่องไปส่วนหนึ่งแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนกลับไม่พบอะไร
‘อาศัยความเร็วของฮ่วนเอ๋อ หากนางยังคงมุ่งหน้ามาทางนี้ไม่เปลี่ยน ป่านนี้ข้าสมควรตามนางทันแล้ว…ดังนั้นไม่พ้นระหว่างทางนางต้องเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปทางอื่นแทน’
‘และด้วยนิสัยของฮ่วนเอ๋อ นางย่อมไม่คิดจะรั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ไร้อะไรให้นางสนใจอีกแน่นอน…เช่นนั้นนางไม่พ้นต้องมุ่งหน้าไปยังภาคกลางแน่ ก็แค่นางจงใจหลอกให้หลิวก่วงหลินสับสน จากนั้นพอเดินทางได้ระยะหนึ่งนางก็เลือกจะเปลี่ยนเส้นทาง เพื่อมุ่งหน้าไปยังภาคกลางตามเดิม’
คิดถึงจุดนี้ ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบไหว ย้อนกลับไปยยังจุดที่หลิวก่วงหลินอยู่ด้วยความเร็วสูง จากนั้นสะบัดมือคราหนึ่งเขาก็หอบหิ้วร่างหลิวก่วงหลินออกค้นหาตามเส้นทางระหว่างพื้นที่ชายแดนกับภาคกลางแบบปูพรม
แม้จะหอบหิ้วหลิวก่วงหลินไปด้วย แต่ความเร็วของต้วนหลิงเทียนก็ยังสูงล้ำนัก ไม่นานก็มาถึงสุดขอบพื้นที่ชายแดนแล้ว
“นายท่าน แนวเทือกเขาเบื้องหน้าก็เป็นดั่งกำแพงกันระหว่างพื้นที่ชายแดนกับพื้นที่ภาคกลาง…ตรงนั้นยังเป็นสถานที่จัดตั้งค่ายกลกั้นแดน เพื่อบีบให้ตัวตนขอบเขตราชาอมตะไม่ให้รั้งอยู่พื้นที่ชายแดนนาน และต้องมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคกลาง…แนวเทือกเขาดังกล่าว ยังเป็นดั่งปราการธรรมชาติ ที่แบ่งเขตระหว่างพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ส่วนกลางของแดนสวรรค์ใต้อย่างอัศจรรย์…”
ในขณะตระเวนหาฮ่วนเอ๋อแบบปูพรมด้วยความเร็วสูง ระดับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ตกลงมาอยู่ที่ขอบเขตราชาอมตะ 3 ศักดิ์ทั่วไปเท่านั้น
เช่นนั้นหลิวก่วงหลินที่ถูกหอบหิ้วเดินทางก็ไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลยนอกจากแสงสว่างเป็นเส้นๆ เพราะความเร็วในการเดินทางมันเหนือขีดจำกัดสายตาของมัน
เหมือนกับตอนที่ต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาไม่มีผิด…
ความเร็วของต้วนหลิงเทียนสูงล้ำเกินไป
“ไม่ทันไรก็จะเข้าพื้นที่ภาคกลางแล้วงั้นเหรอ? ด้วยความเร็วของฮ่วนเอ๋อเป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาถึงที่นี่ก่อนข้า…”
“….นางคงไม่ได้เจอโจรขอบเขตขุนนางอมตะเข้าระหว่างทางหรอกนะ คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางใช่ไหม?”
“ให้ตายเถอะ หากรู้แต่แรกว่าฮ่วนเอ๋อจะจากไปแบบนี้ อย่างน้อยๆข้าก็น่าจะให้นางทิ้งลูกแก้ววิญญาณเอาไว้”
ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างลอยค้างกลางหาว มองจ้องไปยังแนวเทือกเขาที่เป็นปราการกั้นแดนระหว่างพื้นที่ชายแดนกับพื้นที่ภาคกลางของแดนสวรรค์ใต้ตาลอย กล่าวพึมพำออกมาด้วยใบหน้ามืดดจนราวกับจะคั้นได้เป็นหยดน้ำหมึก!
ในแววตา ยังปรากฏความวิตกกังวลฉายให้เห็นเด่นชัด