อย่างไรก็ตามแม้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินจะร่ำร้องเสียงหลง ขอให้เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับหยุดเพียงใด ทว่าทั้งคู่ก็ไม่คิดหยุดมือเพราะคำวิงวอนของมันเลย
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนั้น มันก็คือ 1 ในเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เช่นกัน ย่อมมีความถือดีและความภาคภูมิใจในตัวเองสูงลิบ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รวมกับเทพแห่งธาตุอื่นๆในร่างต้นเดียวกัน
ดุจเดียวกับสถานการณ์ของเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับในตอนแรก ตอนที่เพลิงเทพโกลาหลยังอยู่ในขั้นที่ 2 ก็ได้พิจารณาข้อเสนอของทองเทพสุดลี้ลับอยู่นาน กว่าจะเห็นชอบเรื่องอยู่อาศัยในร่างต้นเดียวกัน
และในตอนนั้นทองเทพสุดลี้ลับก็ได้ยื่นข้อเสนอว่าจะให้ความร่วมมือกับเพลิงเทพโกลาหล โดยการช่วยเหลือเพลิงเทพโกลาหลเรื่องกลืนกินเพลิงเทพโกลาหลอื่นๆในภายภาคหน้า
ต่อมาทองเทพสุดลี้ลับก็ได้กระทำตามคำพูด และช่วยให้เพลิงเทพโกลาหลได้กลืนกินเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2 ที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าได้สำเร็จ จนในที่สุดก็สามารถบรรลุถึงขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น
‘ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินนี้ ฟังจากเสียงแล้วเสมือนเด็กน้อยที่พึ่งหัดพูดได้คล่องปาก…แต่จากน้ำเสียงแน่วแน่ของมัน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากอยู่ในร่างข้าร่วมกับเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับ…’
หลังได้ยินคำพูดของปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดิน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักถึงจุดนี้ได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้กังวลเรื่องนี้เลย
เพราะเขาเชื่อว่าในเมื่อเพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับเลือกจะหลอมรวมอีกฝ่ายเข้าร่าง ทั้งคู่สมควรเตรียมการรับมือมาเป็นมั่นเหมาะแล้ว
หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับจะเสี่ยงทำเรื่องนี้ จนอาจเป็นเหตุให้ตัวเองต้องสูญเสียร่างต้นไป
“หึหึ…”
ได้ยินเสียงร่ำร้องโอดครวญทั้งก่นด่าของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ทองเทพสุดลี้ลับหัวเราะออกมาเบาๆ ค่อยกล่าวออกเสียงขรึมว่า “สหายตัวน้อย…ดูเหมือนเจ้าจักยังไม่เข้าใจสถานการณ์เอาเสียเลย…”
“เพลิงเทพโกลาหลกับข้า พวกเราได้บรรลุข้อตกลงเรื่องอยู่อาศัยในร่างต้นเดียวกันแล้ว…พวกเราที่อาศัยอยู่ในร่างต้นเดียวกัน จักร่วมมือและต่อสู้ช่วงชิงกับเทพแห่งธาตุตนอื่นๆในใต้หล้า!”
“ตอนนี้ต่อให้เจ้าคิดขับไล่พวกเราคนใดคนหนึ่งออกไป อีกคนย่อมไม่มีวันยอมแน่นอน และอย่าหวังว่าในบรรดาพวกเราจะมีใครจะเข้าข้างเจ้า…”
“เช่นนั้น…สหายตัวน้อยเจ้า เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้แล้วหรือยัง?”
เสียงกล่าวท้ายประโยคของทองเทพสุดลี้ลับ พาลให้คิดว่าหากมันมีใบหน้าไม่พ้นต้องกำลังแสยะยิ้มด้วยความสาสมใจอยู่เป็นแน่!
เพราะในฐานะที่มันเป็นแค่ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 แล้ว การได้รังแกเอาชนะปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 3 ได้ ทำให้มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก บังเกิดความฮึกเหิมลำพองอยู่บ้าง!
“ผู้ใดเป็นสหายตัวน้อยของเจ้า! เจ้ามันก็แค่ทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 2 เท่านั้น! ส่วนนายท่านปฐพีเทพผู้นี้อยู่ในขั้นที่ 3 แล้วนะ! หากเจ้าเรียกข้าว่าสหายตัวน้อย ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าสหายตัวน้อยกว่า!!”
เสียงเจื้อยแจ้วของปฐพีแรกกำเนิดฟ้าดิน เปี่ยมล้นไปด้วยความไม่พอใจถึงขีดสุด อย่างไรก็ตามฟังแล้วไม่ได้มีพลังอำนาจขู่ขวัญผู้คนแม้แต่น้อย เพียงสร้างได้ก็แต่ความระคายแก้วหูเท่านั้น
“เหอะๆ ข้าฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว มิใช่เจ้ามันก็แค่เด็กน้อยยังไม่โตหรือไร ข้าเรียกเจ้าว่าสหายตัวน้อยข้าผิดอันใด?”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวออกเสียงขรึมทำนองหยอกล้อ ยังเอ่ยยถามต่อว่า “หรือ…สหายตัวน้อยเจ้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้…เช่นนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกสักคราเถอะ!’
“หน้าด้าน! ขี้โกง! ไร้ยางอายที่สุด! หากเจ้าแน่จริงก็มาสู้กับข้าตัวๆซี่!!”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้ง
“สู้กับเจ้าตัวๆ? แม้พวกเราล้วนเป็นหนึ่งในเทพแห่งงธาตุทั้ง 5 แต่ข้ายังรั้งอยู่ในขั้นที่ 2 เท่านั้น ทว่าเจ้าอยู่ในขั้นที่ 3 แล้ว…ให้ข้าสู้กับเจ้าตัวๆ ไม่ใช่ว่าข้าเป็นตัวโง่งมแล้วหรือ?”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวปฏิเสธอย่างไม่ไยดี “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามาสนทนาภาษาธุรกิจกันเถอะ…ตกลงเจ้าจะอยู่ร่วมกับพวกเราในร่างต้นเดียวกัน หรือเจ้าจะออกไปหาร่างต้นคนใหม่?”
“หากข้าเดาไม่ผิด…สาเหตุที่ไฉนกลิ่นอายพลังของเจ้าถึงได้เบาบบางจนแทบเหือดหายไปอยู่รอมร่อ ไม่พ้นร่างต้นคนก่อนหน้าของเจ้าถูกเข่นฆ่าสังหารใช่หรือไม่ อีกทั้งในยามที่ร่างต้นเจ้าตกตายร่างต้นของอีกฝ่ายก็คงตายตกไปพร้อมกัน ตัวเจ้าจึงไร้ที่ไป สุดท้ายก็สิ้นสูญพลังจนเกือบหมด?”
ทองเทพสุดลี้ลับเอ่ยคาดเดา
ได้ยินคำพูดขอทองเทพสุดลี้ลับปบพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวตอบ แต่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทะนงตัว “ในฐานะที่พวกเราเป็นเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เหมือนกัน ไยเจ้าถึงไม่มีศักดิ์ศรีเลยเล่า? เจ้าไม่คิดหรือว่าการอาศัยอยู่ในร่างต้นเดียวกันมันไร้ศักดิ์ศรี?”
“ศักดิ์ศรี?”
ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน
“สหายตัวน้อย ข้าขอบอกต่อเจ้าตามตรง ข้าเองก็เคยคิดเช่นเดียวกับเจ้า…”
ตอนนี้เองเสียยงชราของเพลิงเทพโกลาหลพลันดังขึ้นอย่างละมุนหู “ตอนแรกที่ทองเทพสุดลี้ลับพาร่างต้นมาพบเจอกับข้า มันก็เสนอให้ข้าอาศัยอยู่ในร่างต้นร่วมกันเช่นนี้ หากทว่าด้วยอัตตาของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ทั้งศักดิ์ศรีที่เจ้ากล่าวถึง ข้าจึงไม่คิดใช้ร่างต้นร่วมกับผู้ใดเหมือนเจ้า…”
“หากแต่สิ่งที่ทองเทพสุดลี้ลับเสนอให้ข้าในวันนั้น กลับทำให้ความเชื่อมั่นของข้ามีอันต้องสั่นคลอน”
“ต่อมาปรากฏว่า หนทางที่ข้าเลือกนั้น นับว่าถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง…เพียงละทิ้งอัตตาและศักดิ์ศรีอันใดของเทพแห่งธาตุทั้ง 5 อันไร้สาระนั่นไปเสีย แล้วเลือกหนทางที่ทำให้ได้รับประโยชน์โดยที่ไม่มีผลเสียอันใด นับเป็นเรื่องประเสริฐที่สุด!”
คำพูดของเพลิงเทพโกลาหลนั้น ชวนให้ผู้ฟังคล้อยตามไม่น้อย
“มันเสนออะไรให้เจ้า?”
เสียงเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมดังขึ้นอีกครั้ง และยังแฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นชัดเจน
“ตอนนั้นตัวข้ายังเป็นเพียงเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2…และทองเทพสุดลี้ลับที่เป็นขั้นที่ 2 เช่นกันก็ได้ยื่นข้อเสนอให้ข้า ว่าหากวันใดที่ข้าเจอเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2 เหมือนกัน มันจะช่วยข้าต่อกรรับมือศัตรูและช่วยให้ข้าดูดซับกลืนกินศัตรู!”
“สหายตัวน้อยเจ้าเชื่อหรือไม่…หลังจากนั้นข้ากลับพบเจอเข้ากับเพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 2 เข้าจริงๆ อีกทั้งอีกฝ่ายยังบรรลุถึงขั้นที่ 2 มานานกว่าข้า ตบะพลังแก่กล้ากว่าข้ายิ่งนัก หากต้องสู้กับมันผู้ที่จักต้องสลายหายกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้อื่นไม่พ้นเป็นข้าแน่แท้…แต่ด้วยมีทองเทพสุดลี้ลับช่วยเหลือ ข้าจึงได้ชัย! กลืนกินเจ้านั่นลงได้สำเร็จ โดยที่ข้ายังเป็นตัวข้า สำนึกสติยังคงเป็นของข้า ไม่ใช่หินรองเท้าให้ผู้อื่น!!”
เพลิงเทพโกลาหลยังคงกล่าวออกมา ด้วยน้ำเสียงชวนระทึก
จังหวะนี้ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินถึงกับนิ่งฟังเรื่องราวโดยไม่ส่งเสียงใดๆ
“สหายตัวน้อย ตราบใดที่เจ้าอาศัยอยู่ในร่างต้นร่างนี้กับพวกเรา…วันหน้าจริงอยู่หากเจ้าพบเจอปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินที่อ่อนด้อยกว่าขั้นที่ 3 เจ้าคงสามารถเอาชนะและกลืนกินมันได้ไม่ยาก แต่ถ้าเจ้าเจอขั้นที่ 3 ที่บรรลุก่อนเจ้าเล่า? หรือแม้กระทั่งขั้นที่ 4 เจ้าจักทำอย่างไร? ทว่าหากเจ้ามีพวกเราช่วยเหลืออย่าว่าแต่ขั้นที่ 3 ที่ทรงพลังเหนือเจ้าเล็กน้อย ให้เป็นขั้นที่ 4 ที่ไม่แกร่งกล้ามากนัก พวกเราก็ช่วยให้เจ้าเป็นฝ่ายกลืนกินมันได้!!”
ทองเทพสุดลี้ลับยังกล่าวเสริมออกมา
“เจ้าพูดมันก็ง่ายนี่นา…ถ้าข้าเจอปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 4 ที่แข็งแกร่งมากๆล่ะ…ถึงตอนนั้นจะมีพวกเจ้าช่วยก็จริงแต่สุดท้ายไม่พ้นก็ต้องแพ้พ่ายและข้าต้องถูกกินอยู่ดีนี่นา และพอมันกลืนกินข้าได้ร่างต้นนี้ก็จักตกเป็นของมัน พวกเจ้าเองก็สู้มันไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องถูกขับไล่ไปอยู่ดี จากนั้นไม่ใช่ว่าพวกเจ้าที่ไร้ร่างต้นทั้งยังบาดเจ็บเพราะถูกขับไล่ ก็ต้องมีอันต้องถูกทองเทพสุดลี้ลับตนอื่นหรือเพลิงเทพโกลาหลตนอื่นกลืนกินอยู่ดีหรือไร?”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินเผยความกังวลออกมา
“ทุกเรื่องราวในใต้หล้ามีทั้งกำไรและขาดทุน…เจ้าไม่อาจมองแต่ข้อเสีย ไยไม่เปิดใจมองชมข้อดี? เพียงแค่ละทิ้งอัตตาความภาคภูมิใจอันใด อนาคตอันสดใสก็รอเจ้าอยู่! จักไปเลือกหนทางอันมืดมิดอย่างที่เคยเป็นมาทำอะไร…มองย้อนกลับไปตอนนั้น เจ้าใช่เห็นอนาคตอันใดหรือไม่?”
กล่าวถึงจุดนี้เพลิงเทพโกลาหลก็หยุดลงอย่างเหมาะสม
“ละทิ้งอัตตา อนาคตสดใสรออยู่…ละทิ้งอัตตา อนาคตสดใสรออยู่…จักไปเลือกหนทางอันมืดมิดอย่างที่เคยเป็นมาทำอะไร…หากเกิดเรื่องนั้นขึ้นซ้ำร้อยเดิม ข้ายังจะเห็นอนาคตอีกไหม…”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าวพึมพำทวนซ้ำคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล และลองมองยย้อนกลับไปในอดีตทั้งคิดไตร่ตรองอยู่ราวๆหนึ่งก้านธูป จากนั้นมันก็ตัดสินใจเลือกที่จะเชื่อฟังทั้งคู่ ยินดีอยู่อาศัยในร่างต้วนหลิงเทียนกับเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับ
เห็นสถานการณ์เป็นไปได้ด้วยดี ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ถึงแม้ว่าตัวเขาจะเป็น ‘ร่างต้น’ แต่ก็ไม่อาจเข้าไปแทรกแซงสอดปากระหว่างที่ทั้ง 3 กำลังสนทนากันได้เลย เรียกว่าทำได้แค่นั่งฟังเพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับ และปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินอยู่วงนอก
แต่ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เลย
โชคดีที่ผลลัพธ์ทำให้เขาพอใจ
‘เพลิงเทพโกลาหลสามารถใช้ต่างเพลิงอมตะได้…ส่วนทองเทพสุดลี้ลับก็สมารถใช้ต่างอุปกรณ์อมตะประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณได้…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ‘ไม่รู้ว่าปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ที่เป็นหนึ่งในเทพแห่งธาตุทั้ง 5 เหมือนกับเพลิงเทพโกลาหลและทองเทพสุดลี้ลับจะช่วยอะไรข้าได้บ้าง…’
ในขณะที่เพลิงเทพโกลาหล ทองเทพสุดลี้ลับบและปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกำลังสนทนากันไปอย่างออกรส..
“ว่าแต่ ไฉนเจ้าถึงไปอยู่ในหินดิบได้?”
อยู่ๆเพลิงเทพโกลาหลก็เอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ข้ายังอยู่ในขั้นที่ 2 ข้าได้พบเจอเข้ากับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินขั้นที่ 2 เหมือนกัน…ในการปะทะกันระหว่างข้ากับมันนับว่าไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ และร่างต้นของข้ากับมันก็กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็ดันตายตกไปด้วยกันทั้งคู่…”
“จากนั้นการต่อสู้ระหว่างข้ากับปฐพีเทพอีกตน ในที่สุดก็เป็นข้าที่โชคดีเอาชนะมันและเป็นฝ่ายที่กลืนกินมันได้สำเร็จ จนพัฒนาขึ้นสู่ขั้นที่ 3 ได้อย่างราบรื่น…ทว่าพลังที่ข้ามีตอนนั้น ก็เหลือไม่พอที่จะออกไปตามหาร่างต้นคนอื่น”
“ดังนั้นข้าที่ไร้หนทางเลือกอื่นใด เพื่อเป็นการปกป้องตัวเอง ข้าก็เลยอาศัยหินดิบปกคลุมร่าง เพื่อลดการสูญเสียพลังประคองสภาพ…”
“หลังจากอยู่ในหินดิบแล้วข้าก็ผล็อยหลับไป…ส่วนหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นพวกเจ้าก็รู้แล้ว ร่างต้นได้มาพบข้าเพราะการแนะนำของพวกเจ้า”
ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว
ถึงแม้ว่าเทพแห่งธาตุทั้ง 5 จะสามารถผละออกจากร่างต้นได้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่หากไร้ร่างต้นให้อยู่อาศัยเป็นเวลานานล่ะก็ แม้จะไม่ถึงขั้นดับสูญไป แต่พลังในร่างกายก็สูญเสียไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ต้องเข้าสู่สภาวะหลับไหลเป็นเวลานาน…
และหากมีเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ตนอื่นมาพบเจอในขณะที่กำลังหลับไหลล่ะก็ แม้จะมีขั้นที่สูงกว่า แค่ก็ไม่พ้นถูกอีกฝ่ายกลืนกินเอาได้ง่ายๆ
ดังนั้นเทพแห่งธาตุที่สามารถพัฒนามาสู่ขั้นที่ 2 ได้แล้ว มักจะแสวงหาร่างต้นที่เหมาะสม เพื่อลดโอกาสที่จะถูกผู้อื่นกลืนกิน…
ยิ่งไปกว่านั้นหากได้ร่างต้นที่เก่งกาจ ก็ยังมีโอกาสได้กลืนกินเทพแห่งธาตุทั้ง 5 ประเภทเดียวกัน และสามารถบรรลุความก้าวหน้า พัฒนาร่างไปสู่ขั้นที่สูงกว่ามากขึ้น…
“อย่างที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด…”
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวคาดเดาก่อนหน้านั้น ถูกเผง!
“ฮ่าๆๆๆ!!”
ทันใดนั้นเอง อยู่ดีก็มีเสียงหัวเราะดังสนั่นปานฟ้าคำรน กึกก้องออกมาจากด้านนอก
“ในที่สุด ข้า ไป๋เจิ้นเยว่ ก็ได้อุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันมาครอง!”
หลังเสียงหัวเราะหยุดลง เสียงชราหนึ่งก็ดังขึ้นตามหลัง ยังดังประหนึ่งฟ้าร้องเหมือนเคย สนั่นกึกก้องไปทั่วพระราชวังหลวงของประเทศตั้นจี้!
“ไป๋เจิ้นเยว่?”
ต้วนหลิงเทียนชะงักไปเล็กน้อย “คนผู้นี้ หรือจะเป็น 1 ใน 2 รองหัวหน้าเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว?”
พอได้ยินอีกฝ่ายกล่าวถึงเรื่องได้ครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน ทั้งได้ยินว่าอีกฝ่ายมีแซ่ไป๋ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นคนจากเผ่าพยัคฆ์เหิน
นอกจากนี้ยังเป็นคนของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว ที่เร่งรุดเดินทางมาด้วยความเร็วสูงสุด หลังได้รับแจ้งเรื่องราวของกระบี่อมตะจอมราชันจากไป๋กัง
และฟังจาคำพูดที่ว่าตัวมันเองก็คือเจ้าของอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน เห็นได้ชัดว่าฐานะในเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวของอีกฝ่ายคงสูงส่งไม่น้อย
‘ในเวลาแค่ไม่กี่วันกลับเดินทางจากเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวมาถึงเมืองหลวงของประเทศตันจี้ได้…สิบในสิบคนผู้นี้สมควรเป็น 1 ใน 2 รองหัวหน้าเผ่าพยัคฆ์เหิน ยิ่งไปกว่านั้นสมควรเป็น 1 ใน 3 ราชาอมตะ 10 ทิศของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว’
ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็มีได้ฟังเรื่องราวจากหวงเจียหลงมาบ้าง
ว่าภายในเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีพยัคฆ์เหินลายทองทั้งสิ้น 5 คน และ 3 ใน 5 ก็ล้วนบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศ และทั้ง 3 ที่ว่า ก็ล้วนเคยพบพานโชควาสนาครั้งใหญ่มาทั้งสิ้น
เพราะโดยทั่วไปแล้ว พยัคฆ์เหินลายทองที่เป็นเพียงสัตว์อมตะระดับราชาขั้นสูง ตราบใดที่ไม่ตกตายไปเสียก่อน เรื่องจะบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าจะช้าหรือเร็ว…
หากทว่าคิดจะก้าวหน้าและทะลวงด่านพลังไปอีกขึ้นจนบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศได้นั้น จำต้องพบพานโชควาสนาไม่น้อย!
กล่าวได้ว่าพยัคฆ์เหินลายทอง 3 ใน 5 ของคฤหาสน์เฉวียนโยว ล้วนเคยพบพานโชควาสนาครั้งใหญ่มาแล้ว จึงสามารถบรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะ 10 ทิศได้อย่างทุกวันนี้!
‘อาไป๋เคยเล่าให้ฟังว่า…ในเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันอยู่แค่ชิ้นเดียวเท่านั้น และยังอยู่ในมือของหัวหน้าเผ่า’
‘ส่วนรองหัวหน้าเผ่าทั้งสองก็เป็นราชาอมตะ 10 ทิศดุจเดียวกัน และทั้ง 3 ก็คือราชาอมตะ 10 ทิศของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว’
ด้วยรู้เรื่องดังกล่าวมาก่อนต้วนหลิงเทียนจึงเดาได้ไม่ยากว่า ไป๋เจิ้นเยว่ ที่เดินทางมาถึงพระราชวังหลวงของประเทศตันจี้ผู้นี้ สมควรเป็น 1 ใน 2 รองหัวหน้าเผ่าของเผ่าพยัคฆ์เหินสาขาคฤหาสน์เฉวียนโยว!