WSSTH ตอนที่ 3,005 : ข้าคือ…
“พี่เจียเชา…เป็นไปได้ไหมว่าในบรรดาคนที่ข้าเคยฆ่าพวกมันไปก่อนหน้า อุปกรณ์อมตะระดับราชาของมันจะได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะมาก่อน?”
(ขอแก้ตอนเก่านะครับ ที่ขัดเกลาหล่อเลี้ยงอุปกรณ์อมตะระดับราชาจะเป็นจอมราชันอมตะ!)
หลังได้เห็นพลังอานุภาพของอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับบการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากราชาอมตะ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มนึกถึงสินสงครามที่เขาได้มาหลังเข่นฆ่าผู้คนไปทันที
“ย่อมมีความเป็นไปได้!”
หวงเจียเชาพยักหน้า “การเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำในอดีต ขุมกำลังบางขุมก็ได้มอบอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ ซึ่งเป็นของรางวัลจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลให้แก่ยอดเซียนอมตะที่โดดเด่นพกติดตัว!”
“และเรื่องนี้สำหรับขุมกำลังทั่วไปทั้งหลายใต้อาณัติคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้จอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงเป็นดั่งของที่ต้องพบพานด้วยโชควาสนา แสวงหามิอาจได้ครอง…จะมีก็แต่ 3 นิกาย 2 ตระกูลที่มีความสัมพันธ์กับคฤหาสน์เฉวียนโยวมากหน่อยเท่านั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกมันก็มีช่องทางหามาได้”
หวงเจียเชากล่าว
“ยอดเซียนอมตะที่เข้ามาร่วมช่วงชิงแสวงโชคในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากขุมกำลังระดับ 8 ใต้อาณัติ 3 นิกาย 2 ตระกูล…แน่นอนว่าถึงแม้อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้จอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงจะมีน้อยคนที่ได้ครอบครอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย ก็แค่ต้องจ่ายราคามากหน่อยเท่านั้น! อย่างประเทศฝูชิวเราเองก็มีอุปกรณ์อมตะระดับราชาเช่นนั้นเหมือนกัน”
เล่าถึงจุดนี้หวงเจียเชาก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยพูดต่อ “เท่าที่ข้ารู้มา องค์ชาย 4 หูจี้หย่งที่เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำพร้อมพวกเรา ก็ได้รับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่มีจอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากฝ่าบาทเช่นกัน”
“แบบนี้นี่เอง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า และคำพูดของหวงเจียเชาก็ทำให้เขาต้องขจัดความคิดหนึ่งที่พึ่งเกิดขึ้นทันที
เพราะหลังได้เห็นความแตกต่างระหว่างกระบี่หนักไร้คมกับอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เขาเคยมี เขาจึงอยากตรวจสอบดูว่าในบรรดาอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เขาได้มาหลังฆ่าคน มันมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่จอมราชันอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงบ้างหรือเปล่า
หากมี และเหล่าคนที่ตายไม่อาจได้มันมาจากขุมกำลังของตัวเอง ก็หมายความว่าสมควรเป็นของที่เจอในวาสนาสถานถ่ายเดียว เขาย่อมสามารถนำออกมาใช้ได้โดยที่ไม่ต้องกลัวใครจดจำได้
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หมายความว่าถึงเขาจะใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาเหล่านั้น ขุมกำลังเบื้องหลังคนที่ตายก็ไม่อาจจดจำเขาได้ ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าอัจฉริยะของพวกมัน
ก่อนถามหวงเจียเชาเขาตั้งใจไว้แบบนี้
แต่พอถามเรื่องราวจากหวงเจียเชาแล้ว เขาก็รู้ดีว่ามีอันต้องพับเก็บความคิดดังกล่าวไป
‘ดูเหมือนอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้มาจากการฆ่าคนไม่อาจเอาออกมาใช้ได้จริงๆ…เว้นแต่จะยืนยันได้ว่ามันเป็นอุปกรณ์อมตะรดับราชาที่ได้มาจากในแดนสววรรค์ใต้โบราณจริงๆ’
‘แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี…คนตายเป็นผีไปหมดแล้วข้าจะไปถามใครได้ล่ะ’
แม้จะรู้สึกเสีดายอยู่บ้าง แต่ต้วนหลิงเทียนก็สามารถตัดใจได้ทันทีและไม่คิดจะสนใจเรื่องนี้อีกต่อไป และหลังจากที่ได้รับกระบี่หนักไร้คมจากวาสนาสถานที่เรียกว่าสุสานกระบี่แห่งนี้แล้ว เขาก็พาหวงเจียเชาออกจากที่นี่ทันที
หลังจากออกมาจากสุสานกระบี่ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอาคมประการหนึ่ง จากนั้นไม่ทันที่เขากับหวงเจียเชาจะได้ไปไหนไกล ก็พบว่าเบื้องหลังกลับบังเกิดการสั่นไหวบางอย่าง
‘หมดหน้าที่แล้ว…ก็ทำลายตัวเองงั้นเหรอ?’
พอมองย้อนกลับไปต้วนหลิงเทียนก็พบว่าประตูเก่าแก่ทั้งแท่นหินรูปทรงกระบี่ที่สลักคำว่าสุสานกระบี่ได้เริ่มพังทลายลง สุดท้ายก็กลับกลายเป็นเศษซากปรักหัก!
แน่นอนว่าเมื่อทุกสิ่งพังทลาย ค่ายกลปิดกั้นมวลน้ำก็สลายตัวไปเช่นกัน มวลน้ำมากมายจึงเริ่มแพร่เข้ามาถมเติมด้วยความเร็วสูง ฝังกลบทุกสิ่งเอาไปให้กลายเป็นตะกอนดิน…
“น้องต้วนเรื่องนี้นับเป็นเรื่องปกติ วาสนาสถานใดๆในแดนสวรรค์ใต้โบราณ หากมีผู้ได้รับสมบัติไปครองแล้ว พวกมันก็จะทำลายตัวเองแบบนี้”
หลังเห็นว่าต้วนหลิงเทียนชมดูเรื่องราวด้ววยความสนใจ หวงเจียเชาก็กล่าวอธิบายผ่านพลังให้ฟังทันที
ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่มันได้เข้ามาแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำก็จริงแต่คำว่า ‘ไม่เคยกินหมู ก็ยังเคยเห็นหมูวิ่ง’ ก็เป็นความจริง มันได้ฟังเรื่องราวพวกนี้มาก่อนแล้ว
“อ่อ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับทราบ จากนั้นเขากับหวงเจียเชาก็พากันเหินร่างขึ้นไปจากใต้ทะเลสาบทันที
หลังออกจากทะเลสาบแล้ว ทั้งคู่ก็มุ่งหน้าไปยังวังจอมราชันอมตะตามที่พลังลี้ลับชี้นำสืบต่อ
…
7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกนั้น เป็นสถานที่อันตรายอย่างยิ่งยวด
ยังกล่าวกันหนาหูว่า ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะชนชั้นยอดฝีมือ หรือแม้กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์แต่หากล่วงล้ำเข้ามาก็ต้องพบเจอกับสถานการณ์ 9 ตาย 1 รอด!
เรียกว่าสถานที่ต้องห้ามทั้ง 7 ของระนาบเทวโลก ไม่ได้น่ากลัวแต่ชื่อเท่านั้น และต่อให้เป็นสถานที่ต้องห้ามที่มีอันตรายน้อยที่สุด ก็ยังสะกดตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะชนชั้นยอดฝีมือมากมายให้ไม่กล้าเข้ามาแสวงโชคอย่างบุ่มบ่าม
กระทั่งต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดใน 81 ระนาบเทวโลก ยังไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่าจะสามารถกลับออกมาจาก 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกได้อย่างปลอดภัย
และ ‘นรกอสุรา’ นั้น หากวัดกันในบรรดา 7 สถานที่ต้องห้ามแล้ว ความอันตรายของมันก็ติดอยู่ในลำดับที่ 4 ของสถานที่ต้องห้ามทั้งหมด!
ในนรกอสุรานั้นไร้กลางวันกลางคืน
จะมีก็แต่ฟ้าสีเลือดที่ทอแสงแดงฉานอยู่ตลอดเวลา
และนรกอสุราอันเป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้าม กล่าวไปก็เป็นระนาบอิสระระนาบหนึ่ง แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตเท่ากับระนาบเทวโลก แต่ความกว้างใหญ่ของมันก็ทัดเทียมกับระนาบทวยเทพที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเปิดสร้าง
แรกเข้าสู่นรกอสุราสิ่งที่ท่านจะพบเห็นก็คือฟ้าสีแดงเลือด อีกทั้งวิสัยทัศน์โดยรอบมองไปทางใดก็เห็นแต่สีแดงเลือด กระทั่งในบรรยากาศ ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง
ถึงแม้จะไม่ได้ล่วงลึกเข้าไปในนรกอสุรามากมาย แต่ลำพังแค่ปากทางเข้าก็เป็นสีแดงเลือดแล้ว
“ฆ่า!!”
บริเวณที่ห่างออกมาจากทางเข้าออกนรกอสุราประมาณหนึ่ง ปรากฏเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็เห็นชายวัยกลางคนที่ร่างเต็มไปด้วยบาดแผลโชกเลือดพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วสูง เพื่อปะทะกับงูเหลือมตัวเขื่องที่กำลังดิ่งลงจากฟ้าด้วยสภาวะดุดันปานดาวตก!
งูเหลือมยักษ์ตัวนี้ เนื้อตัวทั้งเกล็ดของมันประหนึ่งจะคั้นได้เป็นหยดโลหิตก็ไม่ปาน มันแดงฉานจนน่ากลัว ลำตัวของมันยังยาวนับร้อยๆหมี่ อีกทั้งทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยแผลเหวอหวะชุ่มเลือด ลูกตาของมันเปี่ยมล้นไปด้วยความคุ้มคลั่งอำมหิต เขี้ยวยังเผยประกายเยียบเย็น ปรากฏของเหลวสีดำที่มีไอแห่งความตายอบอวล ชี้ชัดว่าเป็นพิษร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนได้ไม่ยากเย็น
ร่างเขื่องดังกล่าวกำลังพุ่งดิ่งลงมาจากฟ้าด้วยสภาวะปานดาวตก ปากกระหายเลือดอ้าออกกว้าง หมายกลืนกินชายวัยกลางคนที่หาญกล้าต่อกรกับมันลงไปใน 1 คำ
พริบตาหนึ่งคนที่พุ่งเข้าหากันอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่ก้าว
เมื่อศีรษะมหึมาของงูเหลือมสีเลือดเจียนขยำงับร่างวัยกลางคน ร่างชายวยกลงคนดังกล่าวก็เบี่ยงออกข้างอย่างคล่องแคล่ว หลบหลีกปากกระหายเลือดที่ใหญ่พอจะกลืนร่างมันไปใน 1 คำได้ในระเฉียดฉิว จากนั้นมือที่ถือขวานอันเขื่องก็ง้างสับลงไปยังหลังศีรษะงูเหลือมยักษ์อย่างอำมหิต
เพียงหนึ่งขวานที่ฟาดสับจากบนลงล่างอย่างเรียบง่าย ก็สามารถตัดหัวงูเหลือมยักษ์ลงได้!
เปรี๊ยงงงง!!
หากแต่คนไม่ทันดีใจอะไร ก็พบว่าหางมหึมาปานเสาบ้าน ได้หวดฟากแหวกอากาศเข้ามาฉับไวสุดที่ชาววัยกลางคนจะตั้งตัวได้ทัน ซัดอัดเข้ากลางลำตัวของมันอย่างจัง ส่งให้ร่างวัยกลางคนปลิดปลิวร่วงฟ้าไปปานดาวหาง!
“อั๊ค…เดียรัจฉานบัดซบนี่! ก่อนตายยังไว้ลายฟาดข้าได้อีก!!”
ชายวัยกลางคนที่ถูกซัดจนปลิดปิวพยายามขืนร่างให้หยุดลงกลางหาวก่อนจะร่วงตกพื้น คนกระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ก่อนมุมปากที่ปรากฏคราบโลหิตไหลย้อยจะเริ่มคลี่ยิ้มสะใจ ยังหันไปมองซากร่างที่กำลังร่วงตกจากกลางหาวด้วยความภาคภูมิ!
“แต่ในที่สุด เจ้างูนรกก็ตายได้เสียที!!”
ชายวัยกลางคนค่อยๆโรยตัวลงไปยืนโอนเอนบนพื้นด้วยท่าทางอิดโรย ก่อนจะทอดตามองไปยังซากร่างเขื้องที่ร่วงตกลงมาแน่นิ่งบนพื้นด้วยรอยยิ้ม
ทว่าทันใดนั้นเอง
ซู่มมม!!
กีซซซซ!!
…
เมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งแหวกอากาศเข้ามาด้วยความเร็วอันน่ากลัว ชายวัยกลางคนก็เงยหน้าขึ้นไปมองต้นเสียงโดยไม่ทันรู้ตัว จากนั้นก็เห็นร่างมหึมาหนึ่งกำลังโฉบเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูงล้ำ
“นะ…นั่นมัน หรือจะเป็นอินทรีย์โลหิตยมโลก!?”
ร่างชายวัยกลางคนถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย เมื่อพบว่าร่างมหึมาที่กำลังโฉบลงจากเวหา มองคล้ายอินทรีย์ กรงเล็บเปล่งแสงสีแดงปานโลหิตเรืองๆ ให้ความรู้สึกเสมือนมีดดาบแกร่งกล้าทรงพลัง!
และวินาทีถัดมา มันก็พบว่าจุดหนึ่งของกรงเล็บอินทรีย์โลหิตยมโลก คล้ายมีเกล็ดสีแดงอันคุ้นตาติดอยู่!
“หรือว่า…งูเหลือมบัดซบที่บาดเจ็บมาก่อนแต่แรกที่ข้าพึ่งฆ่าไปนั่น จะเป็นเหยื่อของมัน?”
งูเหลือมบัดซบที่ชายวัยกลางคนเอ่ยถึง ก็คืองูเหลือยักษ์สีแดงฉานที่มันพึ่งตัดหัวไปนั่นเอง
และทั้งหมดเป็นเพราะงูเหลือมยักษ์ที่ว่าบาดเจ็บสาหัสมาก่อนแล้ว ไม่งั้นอาศัยด่านพลังจักรพรรดิอมตะ 7 ดาราของมัน แม้ความเข้าใจในกฏจะไม่ใช่ชั่ว แต่มันก็ไม่อาจสังหารงูเหลือมยักษ์ที่ว่าได้ด้วยพลังฝีมือของตัวเองแน่นอน
งูเหลือมยักษ์สีเลือดนั่น อย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก แถมกฏที่มันเข้าใจตามสัญชาตญาณก็ไม่ใช่ชั่วเลย
“จากความเร็วของอินทรีย์โลหิตยมโลกตัวนี้…สิบในสิบสมควรเป็นจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักเช่นกัน!”
ทันทีที่ชายวัยกลางคนพบว่าร่างที่พุ่งโฉบลงมาของจ้าวเวหาตัวเขื่องนั้น ได้เร่งความเร็วขึ้นในฉับพลันจนมันเห็นเป็นภาพเงาเลือนราง มุมปากของมันก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมาทันที
และพริบตาต่อมา เมื่อมันสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายคาวเลือดสาดกระทบใบหน้า ชายวัยกลางคนก็ได้แต่หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
มันรู้ดีแก่ใจ ว่าไม่ต้องกล่าวถึงมันที่กำลังบาดเจ็บสาหัสด้วยซ้ำ ต่อให้มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม ก็ไม่อาจเป็นคู่มือของอินทรีย์โลหิตยมโลกตัวนี้ได้
หากอินทรีย์โลหิตยมโลกคิดฆ่ามัน เช่นนั้นมันก็หลงเหลือเพียงหนทางเดียวเท่านั้น
รอความตาย!
อย่างไรก็ตาม หลังชายวัยกลางคนหลับตาลงไปได้พักหนึ่ง มันกลับพบว่าความตายที่ควรมาเยือน จนแล้วจนรอดกลับมาไม่ถึงเสียที กระทั่งกลิ่นคาวโลหิตอันกระหายเลือดที่สาดกระทบใบหน้าของมัน ก็หายไปไหนหมดไม่ทราบ
“ด้วยด่านพลังฝึกปรือของเจ้า พยายามอยู่ให้ใกล้ทางออกนรกอสุรามากกว่านี้หน่อยเถอะ…อย่างน้อยเจ้าจักได้ไม่ต้องไร้หนทางเหมือนตอนนี้ และยังพอมีโอกาสถอยหนีกลับไปได้”
เสียงแผ่วเบาหนึ่งดังขึ้น ทำให้ชายวัยกลางคนลืมตาขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ตึงงง!!
และทันทีที่มันลืมตาขึ้น ก็เห็นว่าร่างมหึมาของอินทรีย์โลหิตยมโลกที่ก่อนหน้ากำลังจะฆ่ามัน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นซากศพร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า!
และพอสังเกตให้ดี มันก็พบว่าหว่างคิ้วมหึมาของอินทรีย์โลหิตยมโลก กลับบังเกิดหลุมโลหิตหลุมหนึ่ง คล้ายถูกพลังอำนาจบางอย่างทะลวงเจาะเป็นแผลฉกรรจ์!
อีกทั้งเมื่อลองมองสำรวจไปทั่วร่างอินทรีย์โลหิตยมโลกให้ดี มันก็พบว่าทั่วร่างมหึมาเต็มไปด้วยหลุมโลหิตปุพรุนราวรังแตน คล้ายถูกห่าศรนับพันระดมยิง…
อีกทั้งในแต่ละหลุมโลหิตกลับแผ่กลิ่นอายพลังแห่งกฏอันน่าพรั่นพรึงออกมา ทำให้ชายวักลางคนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก
“ก…กฏแห่งการทำลายล้าง!?”
วินาทีต่อมาชายวัยกลางคนที่คล้ายดึงสติให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอย และตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เร่งหันไปมองร่างยอดคนที่ยื่นมือเข้าช่วยที่บัดนี้คนกำลังท่องกระบี่ออกไปด้วยความเร็วสูงเสียแล้ว มันก็เร่งเปล่งพลังชั่วชีวิตผสานเสียงตะโกนออกไปดังลั่น “ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ยื่นมือเข้าช่วย!!”
“มิทราบว่าข้าน้อยขอไถ่ถามนามท่านผู้อาวุโสได้หรือไม่ พระคุณช่วยชีวิตอันใหญ่หลวง ผู้น้อยจักหาทางตอบแทนท่านผู้อาวุโสในสักวัน!!”
ด้วยด่านพลังของชายยวัยกลางคน แม้ตอนนี้มันจะยังบาดเจ็บสาหัสแทบสิ้นแรง แต่สายตาของมันก็ยังไม่ถึงกับใช้การไม่ได้ จึงเห็นว่าจุดดำเล็กๆที่กำลังท่องกระบี่จากไปด้วยความเร็วสูงนั้น ที่แท้เป็นแผ่นหลังของร่างในรูปลักษณ์ชายหนุ่มคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามมันไม่กล้าดูเบาอีกฝ่ายเพียงเพราะรูปลักษณ์อ่อนวัยกว่ามันเด็ดขาด!
ตัวตนที่ฆ่าได้กระทั่งอินทรีย์โลหิตยมโลกที่บรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักได้ในชั่วพริบตา สิบในสิบไม่พ้นต้องเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศอันทรงพลัง และยังต้องเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่เข้าใจพลังแห่งกฏไม่ใช่ชั่ว
“หากเจ้าคิดตอบแทนข้า ช่วยแวะไปเยือนระนาบโลกียะเล็กๆที่เรียกว่าระนาบเซียน และตามหาหนุ่มน้อยนามต้วนหลิงเทียน…เมื่อพบเจอคนแล้ว ช่วยพาเจ้าหนุ่มนั่นไปยังวังจักรพรรดิจี้เมี่ยเทียนให้ข้า”
ภายใต้สายตาของชายวัยกลางคน ในที่สุดร่างชายหนุ่มที่พุ่งไปด้วยความเร็วสูงจนไม่ต่างอะไรจากจุดดำเล็กๆก็หยุดลง แล้วหันมากล่าวคำ จนเผยให้เห็นใบหน้าหล่อปานหยกเสลา เปี่ยมไปด้วยความสุขุม เคร่งขรึม
“แล้วก็…ข้าเรียกว่าฟงชิงหยาง”
พอเสียงกล่าวนามดังจบคำ ร่างชายหนุ่มหล่อเหลามาดขรึม พร้อมกระบี่อมตะใต้เท้าก็อันตรธานหายไปจากสายตามันทันที
“ฟะ…ฟงชิงหยาง!?”
เมื่อร่างชายหนุ่มท่องกระบี่หายไปจากสายตาแล้ว ลูกตาของชายวัยกลางคนก็หดเล็กลง สีหน้ายังเปลี่ยนไปไม่น้อย “นะ…นั่นมิใช่นามของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนที่ลือกันว่าตกตายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนหรอกรึ?”
“มิใช่ว่า ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนถูกผู้คนไล่ฆ่าจนต้องหนีเข้าสู่นรกอสุราแห่งนี้ และตกตายไปแล้วหรือไร?”
“ท่าน…ยังไม่ตายหรอกหรือ!?”
ชายวัยกลางคนพึมพำถึงจุดนี้ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ถึงแม้มันจะไม่ใช่คนของแดนสวรรค์ จี้เมี่ยเทียน แต่มันก็ได้ยินวีรกรรมของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนยมาไม่น้อย จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่ากลัวและมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา
“ฟังจากที่ท่านกล่าว…ดูเหมือนท่านคิดกลับไปยังจี้เมี่ยเทียนและยึดวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนกลับคืน!”