“วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาทั้ง 5 เจ้าต้องใช้มันต่อหน้าข้า มิอาจนำมันออกจากหอตำราแห่งนี้ได้”
ชายชรายกมือขึ้นเบาๆก็ปรากฏพลังไร้สภาพหอบหิ้วยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาทั้ง 5 ที่ต้วนหลิงเทียนเลือกเอาไว้ออกมา ขณะที่ยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน ชายชรายังไม่ลืมเอ่ยเตือนเรื่องดังกล่าวอีกรอบ
ยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟทั้ง 5 นั้น แน่นอนว่าสามารถใช้ได้ครั้งเดียว พอใช้แล้วมันก็จะแตกสลายกลับกลายเป็นละอองธุลีทันที…
เช่นนั้นชั้นบนสุดของหอตำราจึงต้องมีผู้เฝ้า และปกติชั้นวางจะมียันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาเหล่านี้เอาไว้แค่ชิ้นเดียว เมื่อมีคนใช้มันก็จะหายไป และผู้ที่เฝ้าดูแลก็จะนำชิ้นใหม่ไปเติมในชั้นวาง
แน่นอนว่าหากจะสร้างยันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชา ก็ต้องให้ผู้ที่ฝึกปรือมันเข้าใจความลึกซึ้งที่แฝงอยู่ถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างมันออกมาได้ แน่นอนว่าตอนสร้างก็สิ้นเปลืองพลังไม่น้อย
“ทราบแล้วอาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าขานตอบชายชรา จากนั้นเขาก็เริ่มบดขยี้ยันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้ง 5 เพื่อใช้งานมันทีละชิ้นๆต่อหน้าอีกฝ่าย และเคล็ดความของวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟทั้ง 5 ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำเขาทันที
ต้วนหลิงเทียนยืนหลับตาจัดเรียงข้อมูลมหาศาลที่ได้รับมาอยู่พักหนึ่ง และเมื่อเขาตรวจสอบคร่าวๆแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด สองตาของเขาก็ลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ยังเผยประกายสดใส รอยยิ้มพึงใจคลี่กางขึ้นบนใบหน้า
‘กฏแห่งไฟ…หากนับรวมกับความหมายแห่งไฟแล้ว มีความลึกซึ้งทั้งสิ้น 9 ประการ…และตอนนี้ข้าก็ได้โอกาสที่จะเข้าใจความลึกซึ้ง 6 ประการในคราวเดียว…แค่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ข้าต้องเข้าใจมันได้ทั้งหมดแน่’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดรู้สึกยินดีมีสุขไม่ได้
“ขอบคุณผู้อาวุโส”
หลังกลับมารู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองชายชราข้างๆพลางเอ่ยคำขอบคุณออกมา
“เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้อยู่แล้ว มิต้องขอบคุณข้าหรอก”
ชายชรากล่าว
“อย่างไรข้าก็ยังต้องขอบคุณผู้อาวุโสอยู่ดีที่สละเวลามาช่วยเหลือข้า หาไม่แล้วข้าคงต้องเสียเวลาเดินสำรวจยันต์อมตะเก็บความทรงจำไปเรื่อยกว่าจะเจอสิ่งที่ข้าต้องการ แต่พอมีผู้อาวุโสช่วยแบบนี้ นับว่าประหยัดเวลาไปได้มากโขทีเดียว”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆ
ชายชราผงะไปด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ค่อยส่ายหัวไปมาพลางยิ้ม “เจ้าหนู นอกจากมากพรสวรรค์แล้วเจ้ายังปากหวานอีกด้วย…เอาล่ะ หากเจ้าไม่รีบร้อนก็ลองไปดูชมชั้นอื่นๆต่อเถอะ ชั้นล่างๆมียันต์อมตะเก็บความทรงจำที่บันทึกข้อมูลอันมีประโยชน์ไว้มากมาย ยังมีลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกฉากการต่อสู้ของผู้ใช้พลังแห่งกฏต่างๆ สิ่งเหล่านี้สมควรมีประโยชน์และเป็นแนวทางให้กับเจ้าได้มิใช่น้อย”
“ขอบคุณอาวุโสที่ชี้แนะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณชายชราอีกครั้ง จากนั้นก็ผสานมืออำลาอีกฝ่าย ก่อนจะเดินลงจากชั้นบนสุด
หลังเดินลงมาจากชั้นบนสุด ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รีบร้อนไปไหน แต่เลือกที่จะลองศึกษาหาข้อมูลในหอตำราดูก่อน
ดั่งที่ชายชราว่าไว้ ในหอตำรามียันต์อมตะเก็บความทรงจำที่เป็นประโยชน์กับเขามากมาย ชั้นวางแต่ละชั้นก็มีการแบ่งประเภทไว้เรียบร้อย ทำให้เขาสามารถเลือกศึกษาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างสะดวก ท้ายที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบความรู้มากมายที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนในอดีต
กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังเลือกจะหาความรู้อยู่ที่หอตำราเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม!
ทั้งหมดเพราะความรู้ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำนั้นมีประโยชน์กับเขามาก และต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าความรู้คือพลัง และขุมทรัพย์ที่มีค่ามากกว่าสิ่งใด เมื่อมีโอกาสอยู่เบื้องหน้าไหนเลยเขาจะไม่คว้าเอาไว้ จึงใช้เวลาไปกับมันพอสมควร
“3 เดือน?”
อย่างไรก็ตาม แม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าตัวเองอยู่ในหอตำราเป็นเวลานาน แต่ก็อดผงะไม่ได้เมื่อพบว่าตัวเองนั้นท่องไปในมหาสมุทรแห่งความรู้โดยกินเวลาไปทั้งสิ้น 3 เดือนเต็มๆ!
“ได้เวลากลับแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาตอนนี้ก็คือรีบทะลวงไปยังขอบเขตขุนนางอมตะ นอกจากนั้นด้วยมีความช่วยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล เรื่องจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งไฟได้ครบ 6 ประการก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ความลึกซึ้งทั้ง 6 ประการที่ว่าก็มาจากวรุทธ์อมตะกับเวทย์พลังทั้ง 5 ที่เขาเลือกมานั่นล่ะ แน่นอนว่ายังมีผลพลอยได้คือเขาจะมีวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังให้ใช้รับมือสถานการณ์ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ต้วนหลิงเทียน”
ทว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนกลับจากหอตำราได้ไม่ทันไร ขณะเดินทางไปยังหุบเขาที่พักศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ที่แท้จริง เขาก็พบร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาขวางทางเขาเอาไว้
“ประมุข?”
ผู้มาก็คือประมุขนิกายอมตะเป้าผู้ ซุนเหลียงเผิง!
“ท่านประมุขมาหาข้าแบบนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”
พอเห็นซุนเหลียงเผิงที่ย่ำเท้าผ่าอากาศมาบรรลุถึงเบื้องหน้าในพริบตา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
“ข้าได้ยินมาจากผู้เฒ่าโจว…เจ้าไปชั้นบนสุดของหอตำรา แต่ไม่ได้เลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุดิน ทว่ากลับเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟไป 5 อย่างหรือ?”
หว่างคิ้วซุนเหลียงเผิงขดย่นเป็นปมหลวมๆเอ่ยถาม
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนลงมาจากชั้นบนสุด มันก็ได้รับแจ้งจากผู้เฒ่าโจว ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลหอตำราชั้นบนสุดทันที สิ่งนี้ยังทำให้ซุนเหลียงเผิงอดไม่ได้ที่จะงุนงงอยู่บ้าง ด้วยไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงตัดสินใจเลือกแบบนี้
มันไม่เชื่อว่าต้วนหลิงเทียนคนนี้ นอกจากเข้าถึงกฏแห่งดินแล้วยังจะเข้าถึงกฏแห่งไฟอีกด้วย!
ตอนนั้นซุนเหลียงเผิงก็คิดมาไถ่ถามต้วนหลิงเทียนทันที แต่ทว่าพอเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังหยิบยืมยันต์อมตะเก็บความทรงจำจากชั้นต่างๆมาใช้งานอยู่ มันก็เลิกคิดที่จะเข้าไปขัดจังหวะและรบกวนอีกฝ่าย
จนเมื่อวันนี้ต้วนหลิงเทียนได้ออกจากหอตำรา และผู้ที่เฝ้าดูแลชั้น 1 ของหอตำราที่มันฝากไว้ให้แจ้งเตือนยามต้วนหลิงเทียนกำลังจะกลับ ได้ติดต่อมา มันจึงเร่งรุดมาหาถึงที่นี่ทันที
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ต้วนหลิงเทียน แม้นิกายยอมตะเป้าผู่เราจะมีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟมากที่สุด แต่เจ้ามิจำเป็นต้องเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟแบบนี้…ตัวเลือกที่ดีที่สุดของเจ้าก็คือวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุดิน”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ประมุขนิกาย หรือท่านกำลังคิดว่าที่ข้าเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาธาตุไฟมาเป็นเพราะความโลภ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ไหนเลยเขาจะไม่เข้าใจความนัยของซุนเหลียงเผิง?
แน่นอนว่าเขารู้ว่าที่ซุนเหลียงเผิงมาหาเขาแบบนี้ เพราะอีกฝ่ายคิดจะเตือนเขาด้วยความหวังดี
“เจ้า…คงมิได้เชี่ยวชาญกฏแห่งไฟจริงๆหรอกนะ?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่คลี่กางบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน ใจซุนเหลียงเผิงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ยังเผลอเอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ประมุขนิกาย เรื่องนี้เดี๋ยววันหน้าท่านก็จะรู้เอง…ตอนนี้ข้าเองก็คิดจะกลับไปบ่มเพาะฝึกฝน หากท่านประมุขไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”
หลังยกมือขึ้นมาป้องประสานเอ่ยคำขอตัว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างจากไปทันที
ซุนเหลียงเผิงก็ได้แต่เฝ้ามองแห่นหลังต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างจากไปไวๆ ลูกตายิ่งมายิ่งฉายแววสับสน ทางเลือกดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน อีกทั้งความมั่นใจของต้วนหลิงเทียนนั่น ทำให้มันรู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนยิ่งมายิ่งยากหยั่งถึง
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้เป็นใครกันแน่?”
“ตัวตนเช่นนี้จักเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระไร้พื้นเพจริงๆหรือ?”
ในใจของซุนเหลียงเผิงยิ่งมายิ่งปั่นป่วน ยากจะหาความสงบพบเจออยู่นาน
ในเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างกลับไปยังลานบนเกาะลอยส่วนตัวสำหรับศิษย์ที่แท้จริง
ภายในหุบเขาเดียวกัน ในลานของศิษย์ฝ่ายในแห่งหนึ่ง เจิ้งหงอี้ที่ยืนอยู่ในลานและแหงนมองต้วนหลิงเทียนเหินร่างกลับเข้าไปในลานบนเกาะส่วนตัว อยู่ๆก็ขมวดคิ้วคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
“หลังผ่านไป 3 เดือน…ในที่สุดก็มีข่าวแล้วหรือ?”
เจิงหงอี้พึ่งจะได้รับการติดต่อมาจากแดนไกล และผู้ที่ติดต่อมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นลูกนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด ที่มันกำลังเฝ้ารอนั่นเอง
และมันก็ได้รอข้อความตอบกลับดังกล่าวมาเป็นเวลา 3 เดือนแล้ว
ตลอดช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่าน กล่าวได้ว่ามันตั้งหน้าตั้งตารอการติดต่อกลับมาราวกับ ‘มองธารใส’ ถึงขั้นกังวลไปเองว่าลูกนอกสมรสของรองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดคนนี้ ใช่ลืมเลือนมันไปแล้วหรือไม่ ใช่ไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณอย่างที่รับปากมันไว้ก่อนหน้ารึเปล่า…
(มองธารใส = เฝ้ารอด้วยสายตาคำนึงหาเปี่ยมหวัง)
“ต้วนหลิงเทียนมาจากพื้นที่ชายแดน?”
และพอได้รับทราบข้อมูลที่อีกฝ่ายส่งมา สองตาเจิ้งหงอี้ก็ฉายชัดถึงความตกตะลึงไปพักหนึ่ง
พื้นที่ชายแดน?
มันย่อมรู้ดีว่าแดนสวรรค์ใต้นั้นจะแบ่งออกเป็นพื้นที่ภาคกลาง กับพื้นที่ชายแดน…
ในอดีตนั้น สำหรับมันพื้นที่ชายแดนก็ไม่ต่างอะไรจากดินแดนไร้อารยะของคนเถื่อน เพราะมีม่านพลังปิดกั้นระหว่างพื้นที่ชายแดนกับพื้นที่ภาคกลาง และในพื้นที่ชายแดนก็จำกัดให้ผู้อยู่อาศัยมีด่านพลังใต้ขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ราชาอมตะจะไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดน
ด้วยเหตุนี้ในพื้นที่ชายแดน ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดก็ถือเป็นขุมกำลังระดับ 9 เท่านั้น ซึ่งอำนาจและอิทธิพลยังน้อยนิดจนไม่คู่ควรให้ยกมากล่าวถึงด้วยซ้ำ
เจิ้งหงอี้ย่อมไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าต้วนหลิงเทียน ผู้ฝึกตนอิสระที่มันอยากฆ่าให้พ้นทาง ที่แท้กลับเป็นคนที่มาจากพื้นที่ชายแดนอันไร้อารยะนั่น! สถานที่ๆกระทั่งนกยังไม่อยากแวะเวียนไปขับถ่าย!!
“ในพื้นที่ชายแดน…ยังมีอัจฉริยะมากพรสวรรค์และมีไหวพริบปฏิภาณเช่นมันดำรงอยู่ด้วย?”
“มัน…คงไม่ใช่ผู้อมตะอันทรงพลังกลับชาติมาเกิดหรอกนะ?”
เจิ้งหงอี้ลอบคาดเดา
ถึงแม้เงื่อนไขการกลับชาติมาเกิดนั้นจะรุนแรงไม่น้อยแถมยังมีความเสี่ยงสูง จนผู้อมตะที่สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้มีน้อยคนนัก แต่ก็มีหลายคนยินดีที่จะเสี่ยง และในบรรดาผู้ที่กล้าเสี่ยงเหล่านี้ ก็มีบางคนที่สามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้อย่างราบรื่น
ผู้ที่กลับชาติมาเกิดนั้น กล่าวได้ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยต้นทุนที่สูงมาก ยามเมื่อปลุกความทรงจำในอดีตให้หวนกลับคืนมาได้ ก็จะสามารถเข้าใจสรรพวิชาไม่เว้นความลึกซึ้งของกฏต่างๆได้ในเวลาอันสั้น ถึงขั้นเรียกว่าท้าทายสวรรค์!
ด้วยเหตุนี้เจิ้งหงอี้จึงคาดเดาไปทำนองว่า…ต้วนหลิงเทียนก็คือผู้อมตะทรงพลังกลับชาติมาเกิด!
“มันเป็นคนที่ขึ้นสวรรค์มา?”
และพอเจิ้งหงอี้ได้รับทราบข้อมูลต่อมา พบว่าต้วนหลิงเทียนที่แท้เป็นคนจากระนาบโลกียะที่ขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ มันก็สับสนอื้ออึงไปพักหนึ่ง “ต้วนหลิงเทียนนั่น…มันเป็นแค่คนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มางั้นเหรอ!?”
“อายุไม่ถึงร้อยปีมีความสำเร็จขนาดนี้แถมเป็นคนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา…ดูเหมือนว่ามันจะเป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิดจริงๆ แถมมันสมควรปลุกความทรงจำในชาติก่อนได้บางส่วนแล้วอีกด้วย มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะบรรลุความสำเร็จได้ขนาดนั้น แถมมีความเข้าใจในกฏสูงมาก”
เจิ้งหงอี้ลอบพึมพำกับตัวเบาๆ
ขณะเดียวกัน ทางด้านลูกชายนอกสมรสของ 1 ใน 3 รองผู้นำองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด เฉินหลี ก็ยังกล่าวอีกว่าหน่วยข่าวกรองขององค์กรมัน ก็สงสัยว่าต้วนหลิงเทียนคนนั้นสมควรเป็นผู้อมตะกลับชาติมาเกิด!
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้เลย หาไม่แล้วเขาคงต้องตกตะลึง กับความสามารถของหน่วยข่าวกรองขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดครั้งใหญ่!
ในเวลาแค่ 3 เดือน มิคาดหน่วยข่าวกรองขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด กลับสามารถขุดคุ้ยความเป็นมาของเขาได้หมดสิ้น กระทั่งพบว่าตัวเขาเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาจากระนาบโลกียะ!
“การตรวจสอบความเป็นมาของต้วนหลิงเทียน องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดของเราได้ใช้ความพยายามไปอย่างมาก…อย่างไรเสียตามกฏขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเรา ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เจ้ามิต้องแบกรับอันใด แต่ทรัพย์สมบัติใดๆของเป้าหมายหลังจากที่ตกตาย จักเป็นของทางเราทั้งหมด”
เฉินหลีกล่าวบอกเจิ้งหงอี้ผ่านทางข้อความ
“เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว…ว่าแต่องค์กรกะโหลกเลือดของท่านตีราคาต้วนหลิงเทียนไว้เท่าไหร่?”
เจิ้งหงอี้ส่งข้อความติดต่อกลับ
เรื่องสุดท้ายที่เฉินหลีแจ้งมานั้น ไม่ใช่แค่กฏขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดอย่างเดียว แต่เป็นกฏขององค์กรมือสังหารทั้งหมดในแดนสวรรค์ใต้ เจิ้งหงอี้จึงไม่แปลกใจหรือขัดข้องแต่อย่างใด
“เกราะอมตะระดับราชา 6 ชิ้น หรือจะเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันนอมตะมาแล้ว 2 ชิ้น”
เฉินหลีแจ้งราคากลับมา
“และเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้ว 1 ชิ้น ยังเทียบได้กับเกราะอมตะระดับราชาทั่วไป 3 ชิ้น นอกจากนั้นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทศาสตรา 5 ชิ้น สามารถใช้แทนเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะมาแล้ว 1 ชิ้น…”