“ข้าตกลง”
สิ้นเสียงกล่าวต้วนหลิงเทียน หุบเขาก็หวนกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เสียงของเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเงียบหายไปเลย ราวคนไม่อยู่แล้ว
ต้วนหลิงเทียนที่รออยู่พักหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเรียกอีกฝ่าย “ผู้อาวุโส…”
ฟ่บ!
หากแต่ต้วนหลิงเทียนยังพูดไม่ทันจบคำ ก็ปรากฏบางสิ่งพุ่งออกมาจากวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเบื้องหน้ามาทางเขา และพอบางสิ่งที่ว่าเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนความเร็วของมันก็ค่อยๆชะลอตัวจนต้วนหลิงเทียนคว้าเอาไว้ไม่ยาก
หลังคว้าวัตถุดังกล่าวมาดู เขาก็พบว่ามันเป็นป้ายๆหนึ่ง และที่เขากำลังดูอยู่ก็คือด้านหลังของป้าย อันมีลวดลายสลับซักซ้อนแต่ตรงกลางว่างเปล่า พอพลิกกลับมาดูเขาก็เห็นว่ามันสลักตัวอักษรเอาไว้ 2 แถว โดยแถวบนอ่านได้ว่า คฤหาสน์เฉวียนโยว
ส่วนบรรทัดต่อมา ขนาดอักษรเล็กกว่าคำ คฤหาสน์เฉวียนโยว เล็กน้อยและอ่านได้ว่า…
ศิษย์ฝ่ายนอก
“นั่นคือป้ายประจำตัวศิษย์ฝ่ายนอกคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา…เมื่อเจ้าสลักชื่อเจ้าไว้ตรงกลางด้านหลังที่ว่างอยู่ จากนั้นก็หยดเลือดลงไปให้มันจดจำเจ้าของ เจ้าก็ถือเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราแล้ว…ด้วยป้ายนี้เจ้าที่เป็นศิษย์ฝ่ายนอก ก็สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังจุดส่งตัวเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และสามารถรับป้ายหยกสะสมคะแนน เพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางได้ทุกเมื่อ…”
หลังต้วนหลิงเทียนพลิกป้ายดังกล่าวดู เสียงเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางนั้น จะอนุญาตให้เจ้าอยู่ได้ 10 วันต่อเดือน…ส่วนอีก 20 วันที่เหลือ เจ้าก็ให้เด็กน้อยที่พาเจ้ามาที่นี่จัดหาที่พักให้เจ้าเถอะ”
“เมื่อใดที่เจ้าได้อันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางติดต่อกัน 12 เดือน เจ้าก็จะถือว่าผ่านบททดสอบรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยที่ข้าตั้งไว้ให้เจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าก็สามารถรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และเพลิดเพลินกับทรัพยากรสูงสุดที่คฤหาสน์เฉวียนโยวจักจัดหาให้เจ้าได้…ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”
พอเสียงของเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยดังจบคำ ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นเบื้องหน้าสายตาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เห็นอีกทีเขาก็พบว่าตัวเองกับมายืนอยู่บนศิลากลางน้ำ และเบื้องหน้ากลับกลายเป็นม่านน้ำตกไปเสียแล้ว…
เห็นดังนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล่าวอะไรสืบต่อ และหยิบยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณขึ้นมาบดขยี้เพื่อติดต่อฉีเทียนหมิงทันที
ระหว่างเดินทางมาคฤหาสน์เฉวียนโยว เขาก็ได้แลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับฉีเทียนหมิงเอาไว้เรียบร้อย เช่นนั้นคิดจะติดต่อฉีเทียนหมิงก็ทำได้สะดวกนัก หากยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณไม่หมดลงเสียก่อน…
“อันใด? คว้าอันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางติดต่อกัน 12 เดือน!?”
พอฉีเทียนหมิงได้ยินเงื่อนไขบททดสอบที่เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยตั้งไว้ให้ต้วนหลิงเทียน มันก็หน้าเหวอไปทันที ด้วยรู้ดีว่าเรื่องนี้มันยากเย็นแสนเข็ญสำหรับชายหนุ่มเบื้องหน้าขนาดไหน…
สุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี
ในประวัติศาสตร์ของแดนสวรรค์ใต้ อย่าว่าแต่ไร้ขุนนางอมตะ 10 ทิศที่อายุ 100 ปีปรากฏขึ้นมาก่อนแม้แต่คนเดียว ต่อให้มีผู้อายุไม่ถึง 100 ปีคิดจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ทว่าทั้งหมดก็เข้าไปเที่ยวชมเท่านั้น ถึงขั้นที่หากเจอแม้แต่เงาคนก็จำต้องรีบทำลายป้ายหยกสะสมคะแนนเพื่อหนีออกมาทันที…
ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแต่เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยจะบีบให้ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง แต่อีกฝ่ายยังต้องการให้ต้วนหลิงเทียนคว้าอันดับ 1 ติดต่อกัน 12 เดือน ถึงจะผ่านบททดสอบรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย?
หากเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย คิดใช้เงื่อนไขดังกล่าวในการคัดเลือกผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยกับผู้ที่มีอายุไม่ถึง 100 ปีจริงๆ ฉีเทียนหมิงรู้สึกว่า…
อย่าว่าแต่จะไม่มีใครได้เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยในรอบ 30,000 ปีเลย ต่อให้ 300,000 ปีก็น่ากลัวว่าอัจฉริยะระดับนั้นยังไม่มาเกิดที่คฤหาสน์เฉวียนโยว!
“อ่า…ตามนั้นล่ะท่าน”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มแหยๆพลางพยักหน้า “ข้าเองก็ว่าบททดสอบนี่มันยากเอาเรื่องจริงๆ…แต่ก็นะ ในเมื่อพูดไปแล้ว ก็มีแต่ต้องลุยกันดูสักตั้งเท่านั้นล่ะ”
“ก็จริงของเจ้า…อีกทั้งในเมื่อเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยตัดสินใจไปแล้ว อย่าว่าแต่ข้าเลย กระทั่งผู้นำคฤหาสน์เราก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้หรอก…”
ฉีเทียนหมิงถอนหายใจออกมาอีกเฮือก ก่อนที่จะพาต้วนหลิงเทียนกลับไปยังที่พักบ่มเพาะของมัน เป็นเคหะสถานที่ค่อนข้างใหญ่โตบนเกาะวงในเกาะหนึ่งที่อยู่ถัดออกมาจากใจกลาง สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะนับว่าดีไม่น้อย นับว่าเป็นสถานที่ๆมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงระนาบเทวโลกเลยก็ว่าได้ แม้แต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะใกล้ๆวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก็เทียบไม่ได้
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนยังรู้อีกด้วย
ว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะนอกวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย มันไม่อาจเทียบกับด้านในตัววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยได้เลย
อย่างน้อยๆสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะภายในวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยก็ต้องดีกว่าที่นี่ ไม่มีทางด้อยกว่าแน่นอน
“หลังจากนี้เจ้าก็พักอาศัยอยู่กับข้าไปก่อนแล้วกัน”
ฉีเทียนหมิงกล่าว
“ผู้เฒ่าฉีนี่มันจะรบกวนท่านเกินไปรึเปล่า”
ต้วนหลิงเทียนย่อมทราบถึงความหวังดีของฉีเทียนหมิง “จะอย่างไรสถานะของข้าตอนนี้ก็เป็นแค่เพียงศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น มันก็สมควรมีที่พักสำหรับเหล่าศิษย์ฝ่านอกไม่ใช่หรือ?”
“ไอ้มีมันก็มีอยู่หรอก แต่สภาพแวดล้อมสำหรับฝึกปรือไม่อาจเทียบบ้านข้าได้หรอก”
ฉีเทียนหมิงกล่าว “พรสวรรค์ระดับเจ้าไปอยู่ที่นั่นไม่เสียเปล่าตายหรือ อย่าให้การฝึกฝนของเจ้าต้องล่าช้าเพราะเรื่องเหลวไหลเลย เพียงอยู่ที่นี่ไปเถอะ…รอให้เจ้าผ่านบททดสอบของท่านเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเมื่อใดเจ้าก็สบายแล้ว! ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเข้าไปบบ่มเพาะที่นั่น แต่กล่าวกันว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา สถานที่ๆมีสภาพแวด้อมในการบ่มเพาะที่ดีที่สุดก็คือที่นั่น…แม้แต่ท่านผู้นำคฤหาสน์เองยังมักไปปิดด่านบ่มเพาะที่นั่นเลย”
“หือ? ผู้นำคฤหาสน์ก็มักไปปิดด่านบ่มเพาะที่วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยงั้นรึ?”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจได้เต็มสิบส่วน ว่าสภาพแวดล้อมในวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย น่ากลัวจะดีกว่าสถานที่พักส่วนตัวของผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเสียอีก
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้เรื่องมากกับสถานที่บ่มเพาะอะไรก็ตามที
เพราะสุดท้ายแล้วในร่างเขาก็มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ด้วยความช่วยเหลือของมัน ตอนนี้เขาไม่ต้องสนใจสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะมากนัก
อย่างไรก็ตามการได้เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และเข้าสู่วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย สิ่งที่เขาจะได้ไม่ใช่แค่สถานที่บ่มเพาะ หากแต่เป็นทรัพยากรที่ตอนนี้เขาต้องการอย่างมาก ทั้งหมดเพื่อให้ด่านพลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้าขึ้นรวดเร็วที่สุด
ดังนั้นเขาก็เลยอยากผ่านบททดสอบและกลายเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเร็วๆ เพื่อจะได้เสวยสุขกับทรัพยากรเหล่านั้นเสียที
“จริงสิผู้เฒ่าฉี แล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางอยู่ที่ไหนรึ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปถามฉีเทียนหมิงด้วยความสงสัย
“อันใด หรือเจ้าคิดเข้าไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางแล้ว?”
ฉีเทียนหมิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็ระหว่างเดินทางมา ไม่ใช่ท่านบอกข้าหรือว่า…อันดับของงแดนสวรรค์ใต้โบราณจะล้างใหม่ทุกวันแรกของเดือน นี่ก็ยังเหลืออีกตั้ง 7 วันนี่นา?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวับวาว
“นี่เจ้าคิดจะเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางไปสู้ช่วงชิงอันดับ 7 วันสุดท้ายก่อนขึ้นเดือนใหม่หรือ?”
พอฉีเทียนหมิงได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน มันก็ส่ายหัวไปมา “ต้วนหลิงเทียน ไม่ต้องกล่าวถึงขุนนางอมตะ 10 ทิศในแดนสวรรค์ใต้โบราณมิใช่ชนชั้นต่ำทรามเลย…ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะมีพลังมากพอเอาชนะพวกมันได้แทบทั้งหมด แต่หากเข้าไปช่วงนี้ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะได้อันดับดีๆ…”
“ทำไมล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนงุนงง
“นั่นเพราะการจัดอันดับของเดือนนี้กำลังจักสิ้นสุดลงเต็มที เหล่าขุนนางอมตะ 10 ทิศระดับแนวหน้า พวกมันต่อสู้ช่วงชิงคะแนนกันจบไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกลางเดือนแล้วน่ะสิ…มีน้อยคนนักที่จะเข้าไปช่วงใกล้ๆสิ้นเดือน เพราะเข้าไปตอนนี้ก็ไม่ค่อยเจอยอดฝีมือที่ติดอันดับต้นๆแล้ว”
ฉีเทียนหมิงกล่าว
ฟังที่ฉีเทียนหมิงพูด ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ผู้ที่ได้คะแนนสูงๆนั้น ได้สู้ช่วงชิงกันไปตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกลางเดือนกันหมดแล้ว และพวกมันก็สมควรใช้เวลาครบกำหนด 10 วันเป็นที่เรียบร้อย จึงไม่อาจเข้าไปได้อีก ทำได้แค่รอสรุปคะแนนอันดับเท่านั้น
คนส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้คนที่มีคะแนนในอันดับสูงๆส่วนใหญ่ ก็มักจะไม่ปรากฏตัวในนนั้นช่วงปลายเดือน
ในกรณีนี้ต่อให้ร้ายกาจแค่ไหน ก็ได้แค่เก็บแต้มเล็กๆน้อยๆจากขุนนางอมตะ 10 ทิศที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่คนเท่านั้น และต่อให้จัดการได้หมดก็มีคะแนนสะสมแค่ไม่กี่แต้ม ยากที่จะได้อันดับสูงๆอะไร
“แบบนี้นี่เอง”
หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ยังคิดจะเข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางอยู่ดี ถึงแม้เดือนนี้เขาจะไม่ได้อันดับดีๆอะไร แต่ก็เสมือนไปดูที่ทางเอาไว้ก่อน เป็นการเตรียมตัวเพื่อจะช่วงชิงอันดับในเดือนหน้า
ต้วนหลิงเทียนก็ได้เอ่ยความคิดดังกล่าวออกไปให้ฉีเทียนหมิงฟัง และฉีเทียนหมิงก็เห็นด้วยทันที “เจ้าจะไปดูที่ทางก่อนก็ดีเหมือนกัน…เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าอยากไปข้าจะพาเจ้าไปเอง”
“ในคฤหาสน์เฉวียนโยวของเรา เกาะหลักทั้ง 3 เกาะล้วนมีค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งตัวไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางทั้งสิ้น ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปค่ายกลเคลื่อนย้ายบนเกาะหลักที่ผู้คนมักไปใช้กัน”
ภายใต้การนำพาของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้มาถึงเกาะหลักแห่งหนึ่ง ที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และค่ายกลที่ว่าก็ตั้งอยู่ในตำหนักหลังใหญ่มุมหนึ่งของเกาะ
ตำหนักหลังนี้ต่างจากที่พักของฉีเทียนหมิงไม่น้อย มันใหญ่โตกว่ากันมาก และลานด้านหน้าตำหนักก็กว้างขวางกว่าสนามฟุตบอลในโลกเก่าของเขาหลายเท่า
นอกจากนั้นในลานดังกล่าว ก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายมหึมาจัดตั้งเอาไว้ และยังมีผู้คนมากมายยืนคุยกันเต็มไปหมด
“หลิวจี๋ของคฤหาสน์หานชิงที่พึ่งเข้าไปเมื่อ 5 วันก่อน ไม่คิดเลยว่าจะเก็บแต้มได้มากขนาดนี้ แถมอันดับมันยังกระเตื้อขึ้นเรื่อยๆ…รอบนี้ข้าว่ามันคงติด 30 อันดับแรกได้อย่างไร้ปัญหา”
ที่ข้าสนใจเป็น เหลิ่งอวิ๋นโหยว ของคฤหาสน์ชิงหลิงที่อยู่ใน 20 อันดับแรกมากกว่า…ตอนนี้มันอยู่อันดับ 11 แล้วแต่เวลาของมันเหลือแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น แม้คะแนนมันจะห่างจากอันดับ 10 แค่ 12 แต้ม แต่ไม่รู้ว่ามันจะเก็บได้ทันรึเปล่า”
“เหลิ่งอวิ๋นโหยวผู้นั้นข้าก็จับตาดูอยู่เหมือนกัน…ปกติแล้วมันมักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกเสมอ แม้รอบนี้จะทุลักทุหน่อยแต่ถ้าโชคของมันยังใช้การได้อยู่ ข้าว่าจะติด 10 อันดับแรกเหมือนเดิมก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”
…
หลายคนในลานกำลังสนทนากันอย่างออกรส หัวข้อก็ไม่พ้นยอดฝีมือขุนนางอมตะ 10 ทิศที่สู้ชิงอันดับกันในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง
“เฮ่อ…หากข้าจำไม่ผิด หากนับรวมเดือนนี้เข้าไปอีก ดูเหมือนศิษย์พี่โจวหงเจี๋ยจะไม่ติด 20 อันดับแรกมาเกือบปีแล้วใช่รึเปล่า?”
พอคำถามดังกล่าวดังขึ้น เสียงในลานก็เงียบลงทันที
และตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนกับฉีเทียนหมิงก็พึ่งเดินเข้ามาในลานพอดี แม้เสียงฝีเท้าพวกเขาจะไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่ในเมื่อคนในลานพร้อมใจกันเงียบพอดี ก็นับว่าดังมากพอจะเข้าหูหลายๆคน
จากนั้นผู้ที่หันมามองและจดจำฉีเทียนหมิงได้ ก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทักทายทันที
“ผู้ตรวจการฉี!”
“ผู้ตรวจการฉี!”
…
คนอื่นๆที่ไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้า พอได้ยินเสียงทักดังขึ้นก็หันมามอง และพอเห็นว่าใครมาก็เร่งประสานมือคารวะทักทายตามๆกัน
สุดท้ายแล้วฐานะผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวก็สูงมาก เป็นรองก็แค่ผู้นำคฤหาสน์ ชนชั้นรองผู้นำไม่กี่คน แล้วก็เจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ที่แทบไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นเท่านั้น…
“โจวหงเจี๋ยที่ศิษย์ตรงนั้นพูดถึงกันเมื่อครู่ ก็คือคนที่ข้าเคยบอกเจ้าไว้ก่อนหน้านี้…ขุนนางอมตะ 10 ทิศของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราที่เข้าใจกฏแห่งไม้ 7 ประการ…นับว่าเป็นยอดฝีมือขุนนางอมตะ 10 ทิศมือดีของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์หลักเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย”
หลังฉีเทียนหมิงหันไปพักหน้าให้เหล่าศิษย์เป็นการทักทาย ก็หันมาส่งเสียงผ่านพลังบอกต้วนหลิงเทียน