“สองคนนั่น…กลับคว้าผลเทพสังเววยสวรรค์ใต้เปลือกตาของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดได้จริงๆหรือ? นี่พวกมันไปทำอีท่าไหนกันแน่?!”
สองตาปี้ไห่หมิงเฟิงเบิกโพลงด้วยความเหลือเชื่อ
ถึงแม้จักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น ในชีวิตนี้จะยังมีด่านพลังจำกัด แต่ในเมื่อมันกล้าวางแผนหลอกลวงผู้คนไปเป็นเครื่องสังเวยจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความมั่นใจว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว อีกฝ่ายสมควรได้ผลเทพสังเวยสวรรค์มาครองอย่างไร้ข้อผิดพลาด
อย่างไรก็ตาม ฟังจากที่ฉีเทียนหมิงพูดมา…
ต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสองคนนั่น กลับได้รับผลเทพสังเวยสวรรค์มาครองภายใต้เปลือกตาของจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิด?
“เรื่องนี้ข้าเกรงว่ามีแต่พวกมัน 2 คนเท่านั้นที่รู้…”
ฉีเทียนหมิงกล่าว
“สองคนนั่น…หรือจะมีใครเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดเสียเอง?”
สองตาปี้ไห่หมิงเฟิงทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง เอ่ยข้อสันนิษฐานออกมา
“ที่เจ้าพูดมาข้าเองก็เคยคิดเหมือนกัน…ด้วยเหตุนี้ข้าจึงส่งคนไปตรวจสอบเรื่องราวความเป็นมาของทั้งคู่ดู สำหรับต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นไปไมได้เลยที่จะเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น เพราะมันอยู่ในนิกาอมตะเป้าผู่ตลอดเวลา และช่วงที่มันอยู่นิกายอมตะเป้าผู่ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่จักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดนั่นไปหลอกลวงผู้คน”
ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เช่นกัน ข้าไปตรวจสอบที่นิกายอมตะอวิ๋นไถดูแล้ว มันก็ออกจากนิกาอมตะอวิ๋นไถแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และเป็นการเดินทางไปอวี้หวงเทียน…ในเมื่อมันเองก็อยู่นิกายอมตะอวิ๋นไถตลอดเวลาเหมือนกัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปชักชวนผู้คน”
สิ่งที่ปี้ไห่หมิงเฟิงคิดได้ ไหนเลยฉีเทียนหมิงจะไม่ฉุกคิด
“เด็กน้อยทั้งสองคนนั่น นับว่าอัศจรรย์ยิ่งนัก…”
พอเสียงฉีเทียนหมิงดังจบคำ ปี้ไห่หมิงเฟิงก็รู้ว่ามันคิดมากไปเอง อย่างไรก็ตามใบหน้ายังฉายชัดถึงความตกใจไม่หาย
มันคิดไม่ถึงจริงๆ
ว่าเด็กน้อย 2 คนที่มันหมายตาตั้งแต่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออก กลับพบพานวาสนาจนทะยานขึ้นฟ้าในเวลาไม่กี่ปี…
“อาจารย์ลุงฉี แล้วนี่ท่านตั้งใจพาต้วนหลิงเทียนมาเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางโดยเฉพาะงั้นหรือ?”
พอฉุกคิดได้ว่าตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไปสร้างผลงานในแดนสววรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ปี้ไห่หมิงเฟิงก็เอ่ยถามออกมาทันที
“เปล่า”
ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมาพลางคลี่ยิ้มขื่นขม “คราวนี้ข้าพาต้วนหลิงเทียน มาพบท่านเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย…”
“อันใด!? นี่ท่านคิดให้ต้วนหลิวเทียนรับการทดสอบเป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนแรกในรอบ 30,000 ปีงั้นหรือ!?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงที่ได้ฟังคำเกริ่นของฉีเทียนหมิงก็โพล่งขัดออกมาทันที ด้วยคาดเดาความคิดอีกฝ่ายได้ ขณะเดียวกันก็ฉุกคิดถึงพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนกับอายุของอีกฝ่าย จึงตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนก็สามารถขึ้นรับตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยได้แล้วจริงๆ
ระดับความสามารถของต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ ให้กวาดตามองไปทั่ว 10 ตระกูลใหญ่ 5 นิกายหลัก ก็น่ากลัวว่าจะไร้รุ่นเยาว์คนไหนเทียบเทียมได้
“ไม่ผิด”
ฉีเทียนหมิงพยักหน้า ค่อยกล่าวสืบต่อ “จากนั้นท่านเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ก็เริ่มทดสอบฝีมือของต้วนหลิงเทียน…จากนั้นก็มอบบททดสอบหนึ่ง”
ฉีเทียนหมิงเริ่มเล่าเรื่องราวออกมา ปี้ไห่หมิงเฟิงก็เงียบฟังด้วยความสนใจ
มันเองก็อยากรู้นักว่าจ้าววังผู้พิทักษ์น้อยจะให้บททดสอบอะไรกับต้วนหลิงเทียน
“ท่านเจ้าวังให้ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง และได้อันดับ 1 ติดต่อกัน 12 เดือน หากทำสำเร็จ ก็จักผ่านทดสอบ และขึ้นดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคนแรกในรอบ 30,000 ปีของคฤหาสน์เฉวียนโยวเราได้ทันที”
ฟังฉีเทียนหมิงกล่าวถึงบททดสอบที่เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมอบให้ต้วนหลิงเทียน ปี้ไห่หมิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไปจนอ้าปากค้าง เนิ่นนานกวาจะดึงสติกลับมาได้
หากมันจำไม่ผิด ต้วนหลิงเทียนยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีไม่ใช่รึไง?
บททดสอบแบบนี้ จ้าววังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยกลับมอบให้ต้วนหลิงเทียนที่อายุไม่ถึงร้อยปี? อย่าว่าแต่ 30,000 ปีเลย อีก 300,000 ปีไม่รู้จะมีคนผ่านได้รึเปล่า!!
…
ณ แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง
‘กงซุนจิ้งนั่นเดิมทีมันอยู่อันดับที่ 69 ด้วยคะแนนสะสม 13 แต้ม…ตอนนี้ข้ามี 19 แต้มแล้ว เช่นนั้นก็สมควรติดอยู่ใน 60 อันดับแรกแล้วกระมัง?’
ก่อนจะเข้ามาในนี้ ต้วนหลิงเทียนที่เห็นตารางจัดอันดับแล้ว เขาก็จดจำได้ดี และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ด้วยคะแนนของเขาตอนนี้ ก็สมควรอยู่ในอันดับที่ 52…
สุดท้ายแล้วเขาก็พึ่งเข้ามาในนี้ได้ไม่นาน เช่นนั้นสถานการณ์ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ก็ยังไม่น่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลย ว่าตอนนี้อันดับของเขาได้สร้างความปั่นป่วนให้ผู้คนด้านนอกไม่น้อย ดั่งน้ำบ่อที่เคยนิ่งสงบถูกคนทุ่มหินลงไปอย่างไรอย่างนั้น…
ในอดีต เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายเดือนแบบนี้ อันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง มักไม่บังเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย
ทว่าเดือนนี้ด้วยการปรากฏตัวของต้วนหลิงเทียน แม้จะเป็นช่วงปลายเดือนแล้ว แต่อันดับกลางตารางกลับบังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างหาได้ยาก
3 วันหลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่เหินร่อนข้ามฟ้าไปอย่างไร้เป้าหมาย ไม่ว่าจะผ่านภูมิประเทศไปกี่มากน้อย เขาก็ไม่พบเจอแม้แต่เงาของผู้คน
‘ให้ตายเถอะ ข้าบินเหมือนแมลงวันไร้หัวแบบนี้ไม่ได้แล้ว…ถ้าไม่เจอคู่ต่อสู้แล้วข้าจะเพิ่มอันดับได้ยังไง’
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังรู้ดี
เหตุไฉนที่เขาเหินกินลมชมวิวมา 3 วันโดยไม่เจอแม้แต่เงาคน ไม่ใช่ผู้อื่นตั้งใจหลบซ่อนเขาแต่อย่างไร ทว่าเป็นเพราะไม่ค่อยมีใครเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางช่วงนี้ต่างหาก
“หืม!?”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเหินมาถึงแนวป่าติดภูเขาแห่งหนึ่ง สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายสว่างจ้าขึ้น
นั่นเพราะเบื้องล่างนั้นเขาพบเจอลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหุบเขา คล้ายๆกับหุบเขาที่ตั้งค่ายของคฤหาสน์เฉวียนโยว ‘หุบเขานั่นมันแทบจะถอดแบบเดียวกับหุบเขาที่ตั้งค่ายคฤหาสน์เฉวียนโยวมาเลย…หรือที่นี่จะเป็นที่ตั้งค่ายของคฤหาสน์อมตะระดับ 6 อื่น?’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนชมดูหุบเขาเบื้องหน้า เขาก็พบร่างหนึ่งพึ่งห้อเหยียดออกมาจากด้านในหุบเขาพอดี และอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นเขาแล้วด้วย
อีกฝ่ายเป็นชายร่างบึกบึนคนหนึ่ง ทั้งยังเปิดเผยไม่น้อย เพราะมันไม่สวมแต่กางเกงไม่สวมเสื้อ! แถมชายเปลือยอกผู้นี้เรียกมัดกล้ามแน่นเปรี๊ยะ ราวกับจะปริแตก!!
ตอนนี้พอมันเห็นต้วนหลิงเทียน สองตาที่คมกล้าปานพยัคฆ์ก็ทอแสงจ้า คนโจนทะยานย่ำฟ้ามาทางต้วนหลิงเทียนขวับๆ
แม้ร่างมันจะแลดูบึกบึนเทอะทะ หากแต่ความเร็วของมันไม่ใช่ช้าเลย
“ศิษย์คฤหาสน์เฉวียนโยวรึ?”
ครู่ต่อมาชายเปลือยอกก็มาหยุดร่างค้างกลางหาวเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน มันยังมองสังเกตไปยังป้ายที่ห้อยแขวนบริเวณเอวต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น
“หืม? ลวดลายนั่นมัน…ศิษย์ฝ่ายนอกหรือ?”
พอผู้มาใหม่พบว่าต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวคิ้วมันก็ขดย่นเป็นปมทันที “นี่เจ้ามาเที่ยวเล่นหรือยังไง?”
“แต่มิใช่ค่ายคฤหาสน์เฉวียนโยวสมควรห่างจากที่นี่มากหรือไร…ไฉนเจ้าถึงมาเที่ยวไกลขนาดนี้เล่า?”
เท่าที่มันทราบ ค่ายของคฤหาสน์เฉวียนโยวสมควรอยู่หากจากที่นี่มาก และต่อให้เป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศเร่งรุดเดินทาง ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ!
หากศิษย์ฝ่ายนอกมาเที่ยวเล่นจริง ไม่มีทางที่จะมาถึงในเวลา 2 วันแน่
ใช้เวลาเดินทางเป็นวันๆแบบนั้น ยังไม่พบเจอใครกลางทางอีกหรือ?
โชคของอีกฝ่ายจะดีเกินไปหน่อยรึเปล่า?
“คฤหาสน์ อู่จ้าน?”
เมื่อชายร่างบึ้กเหินมาหยุดลงเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนบริเวณเอวอีกฝ่ายเช่นกัน จึงพบว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์ของคฤหาสน์อู่จ้าน และมีนามว่า “เหิงเฟิง”
“เหิงเฟิง…”
พอเห็นชื่ออีกฝ่าย ความคิดต้วนหลิงเทียนก็โลดแล่นไปยังตารางจัดอันดับที่เขาเห็นก่อนเข้ามาทันที และพบว่าในรายชื่อ 100 อันดับแรกที่แสดงอยู่บนตาราง กลับไม่มีนามเหิงเฟิงอยู่ในอันดับใดเลย
เห็นได้ชัดว่าเหิงเฟิงผู้นี้ไม่ติดอันดับ
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเหิงเฟิงเบื้องหน้าจะมีพลังฝีมือต่ำต้อย แต่อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายติดธุระอะไรบางอย่างและไม่มีเวลาเข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ไม่ก็อาจจะพึ่งเข้ามาจริงๆ จึงไม่มีเวลาไปเก็บคะแนน
“ข้างหลังเจ้า…ใช่ค่ายของคฤหาสน์อู่จ้านรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตามองเหิงเฟิงพลางถาม
“ก็ใช่”
เหิงเฟิงพยักหน้า จากนั้นมุมปากก็ยกยิ้มบางๆ “เจ้าหนู ศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่เข้ามาเที่ยวเล่นเช่นเจ้า นับว่าโชคดีนักที่มาถึงที่นี่ได้..”
“อย่างไรก็ตามตอนนี้เจ้าสมควรใช้โชคของเจ้าหมดแล้ว เจ้าจะทำลายป้ายหยกดสะสมคะแนนออกไปเอง หรือจะให้ข้าทุบตีเจ้าสักตุ้บสองตุ้บก่อน เจ้าถึงจะทำลายป้าย?”
เหิงเฟิงถาม
ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง หากไม่ใช่ว่ามีเรื่องบาดหมางกันอย่างคฤหาสน์ปี้ชิงและคฤหาสน์เฉวียนโยว ปกติแล้วผู้คนของคฤหาสน์ที่ต่างกันมาพบกัน มักไม่คิดเข่นฆ่ากัน
เป็นธรรมดาว่ายังมีคนที่เสพฺย์ติดการฆ่าและกระหายเลือดอยู่บ้าง แม้จะไม่พบเจอคนของคฤหาสน์คู่อริก็ฆ่าไม่สน…
แต่หากจะกล่าวว่าต้วนหลิงเทียนโชคดี ที่เหิงเฟิงไม่ใช่คนรักการเข่นฆ่า…
หรือโชคของเหิงเฟิงไม่ดีด้วย?
“อ้อ เช่นนั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
สองตาที่หยีลงเล็กน้อยก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน พลันเบิกกว้าง เผยประกายหนึ่งแล่นวาบออกมา
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าเหิงเฟิงก็มืดลงทันที เห็นได้ชัดว่ามันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“เฮ่เจ้าหนู! นี่เจ้าไม่เคยได้ยินชื่อ เหิงเฟิง ของข้ามาก่อนหรือ?”
เหิงเฟิงเอ่ยถามด้วยเสียงเข้ม
“อ่า ข้าไม่เคยได้ยินเลย”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่
ทันใดนั้นใบหน้าเหิงเฟิงก็เริ่มแดงขึ้นมาทันที
ต้องทราบด้วยว่าปกติแล้วตัวมันนั้นมักจะติดอยู่ใน 50 อันดับแรกของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเสมอ กล่าวได้ว่าขุนนางอมตะ 10 ทิศที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใต้โบราณเป็นประจำ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักมัน!
เดือนนี้พอดีมันพึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะมา ก็เลยเข้ามาสาย
อย่างไรก็ตาม มันไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่ามันพึ่งเข้ามาได้ไม่ทันไร คนแรกที่พบเจอกลับเป็นศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง แถมไม่รู้จักชื่อมันที่อยู่กลางตารางจัดอันดับมาโดยตลอดอีก…
“ก็นั่นน่ะสินะ…ข้าจักไปหวังอันใดกับศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวที่เข้ามาเที่ยวเล่นเช่นเจ้ากัน…เจ้าจะไม่รู้เรื่องอันดับในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางก็ไม่แปลก”
พอคิดถึงจุดนี้สีหน้าเหิงเฟิงก็เริ่มผ่อนคลายลงหลายส่วน จากนั้นก็ไม่คิดเสียเวลาอะไรอีก มันย่ำเท้าเหยียบเวหาก้าวไปทางต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางดุดันเอาเรื่อง!
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ทุกคราที่เท้าเหิงเฟิงย่ำเท้าเหยียบเวหาก้าวไป เสียงอากาศพลันแตกระเบิดดังปานกลองศึก!
และทุกฝีเท้าที่มันย่ำก้าวเข้ามา ทั่วร่างของมันยิ่งมายิ่งปรากฏพลังสีกากีเข้มขึ้นทุกขณะ!
สุดท้ายเมื่อร่างมันอยู่ห่างต้วนหลิงเทียนไม่กี่ก้าว พลังสีกากีดังกล่าวก็เริ่มควบรวมก่อเกิดเป็นเกราะศิลาหนาเตอะปกคลุมไปทั่วร่างกาย!
เป็นธรรมดาว่าเหิงเฟิงไม่ได้ควบแน่นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสร้างชุดเกราะธรรมดาๆเท่านั้น หากแต่ชุดเกราะบนร่างของมันยังเปล่งกลิ่นอายพลังธาตุดินเข้มแข็งไม่ธรรมดาออกมาอีกด้วย!
เป็นกลิ่นอายพลังที่หนักแน่นมั่นคงปานทรงพลังไร้จำกัด ทำให้ต้วนหลิงเทียนชักสีหน้าจริงจังและสัมผัสได้ถึงแรงกดดันไม่น้อย!
“ความลึกซึ้ง กายาศิลา!?”
ตั้งแต่ที่เห็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างเหิงเฟิงเปลี่ยนเป็นสีกากี เขาก็เดาได้แต่แรกว่ากฏที่อีกฝ่ายเชี่ยวชาญสมควรเป็นกฏแห่งดิน
ต้องทราบด้วยว่ากฏแรกที่เขาได้สัมผัสก็คือกฏแห่งดิน ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินอะไรนอกจากธาตุดิน กับพื้นที่โน้มถ่วงบางส่วน แต่เขาก็เข้าใจดีว่าความลึกซึ้งของกฏแห่งดินมีอะไรบ้าง และมีพลังอำนาจอย่างไร
ความลึกซึ้งกายาศิลาของกฏแห่งดิน ก็คล้ายๆกับกายาทองคำของกฏแห่งทองและกายาอัคคีของกฏแห่งไฟ มันจะหนุนเสริมพลังให้ผู้ใช้ทุกด้าน
เป็นธรรมดาว่าเนื่องจากธาตุดินมันโดดเด่นเรื่องป้องกันมาแต่ไหนแต่ไร เช่นนั้นผู้ที่ใช้ความลึกซึ้งกายาศิลา ก็จะมีพลังป้องกันสูงล้ำเป็นพิเศษ ผิดกับผู้ใช้ความลึกซึ้งลักษณะเดียวกันอื่นๆ…
ครึ่ก! ครึ่ก! ครึ่ก! ครึ่ก! ครึ่ก! ครึ่ก!
…
เมื่อเหิงเฟิงอยู่ห่างต้วนหลิงเทียนไม่ไกล มันก็โบกมือขวาออกมาฉับไว จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่ผสานพลังธาตุดินของมัน ก็พวยพุ่งออกมาควบรวมก่อเกิดเสาหินมากมายกลางอากาศในฉับพลัน!
เสาหินดังกล่าวยังเคลื่อนไหวไววว่องไม่ต่างอัสนีฟาดผ่า! พริบตาก็กระจายตัวอยู่รอบร่างต้วนหลิงเทียน ยังเริ่มก่อตัวเป็นกรงขัง กักขังร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้! ทั้งหมดกล่าวไปแม้ยืดยาว แต่อุบัติขึ้นในห้วงเวลาดุจละอองไฟวาบดับ!!
เมื่อกรงขังก่อตัวแล้วเสร็จ ก็มีแรงกดดันอันหนักหน่วงปกคลุมไปทั่วร่างของต้วนหลิงเทียน!
“ความลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง…”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงอีกครา จากนั้นมุมปากก็เริ่มคลี่ยิ้มบางๆ