“เจ้าไม่มีปัญญาทำอะไรข้า…ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่มีปัญญาทำอะไรเจ้า”
ได้ยินคำพูดของเหิงเฟิง ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงทันที
พริบตาต่อมาพลังเซียนอมตะที่ผสานธาตุมิติสีเทาของเขาก็เริ่มสั่นไหวครืนๆ ราวกับกำลังโหมโรงอะไรบางอย่าง
พริบตาต่อมา เสียง ‘เปรียะ’ พลันดังขึ้น จากนั้นรอยแยกมิติอันมืดดำชวนสยองก็อุบัติขึ้นในความว่างเปล่าเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน!
“เจ้านั่น…มันทลายว่างเปล่างั้นเหรอ!?”
“ให้ตายเถอะ! มันถึงกับฉีกเปิดมิติได้…พลังของมันร้ายกาจถึงขนาดนั้นเชียว!?”
“ไม่! มันไม่ได้ใช้พลังของตัวเองฉีกเปิดมิติ แต่มันอาศัยพลังของกฏมิติเพื่อฉีกเปิดมิติ…กล่าวให้ชัดนั่นสมควรเป็นความลึกซึ้งผ่ามิติ!”
…
ในขณะที่เหล่าศิษย์ของคฤหาสน์อู่จ้านกำลังหวั่นหวาดกับเรื่องราวเบื้องหน้า กระบี่แสงสีเทาพลันปรากฏขึ้น!
กระบี่แสงสีเทาดังกล่าวพุ่งออกมาจากรอยแยกมิติ ราวกับเป็นกระบี่พลังที่พุ่งมาจากมิติอื่น พอมันปรากฏ สรรพสิ่งโดยรอบก็คล้ายจะหมองลงถนัดตา!
วู้มม!
วู้มม!
…
หลังกระบี่แสงสีเทาพุ่งออกมาไม่ทันไร พลังของความลึกซึ้งกฏมิติก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหนุนเสริมเพิ่มพูนพลังอานุภาพให้มัน!
ทันใดนั้นไม่เพียงแต่แสงสีเทาที่เปล่งออกจะจ้าขึ้นกว่าเดิม กลิ่นอายพลังของมันยังทวีความรุนแรงทั้งน่ากลัวมากขึ้นไปหลายขุม กระบี่แสงพุ่งทะยานผ่านความว่างไปด้วยสภาวะพลังน่าพรั่นพรึง! แม้จะไม่ได้พุ่งไปทางเหล่าศิษย์คฤหาสน์อู่จ้าน แต่ก็พาลทำให้พวกมันรู้สึกอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก!!
“ทรงพลังนัก!”
“ช่าเป็นกระบี่แสงที่น่ากลัวอะไรจะขนาดนี้!!”
“นี่น่ะเหรอ ผ่ามิติ! ความลึกซึ้งที่เอกอุเรื่องการโจมตีของกฏมิติ!!”
…
เหล่าศิษย์อู่จ้านที่ชมดูเรื่องราวห่างๆ ทั้งๆที่ไม่ได้ถูกกระบี่แสงเทาเพ่งเล็ง แต่พวกมันก็สัมผัสได้ชัดเจนถึงความอันตรายของคมกระบี่มิติดังกล่าว! ยิ่งเหิงเฟิงที่เป็นเป้าหมายของมันยิ่งตระหนักถึงความน่ากลัวได้ชัดเจนกว่าใคร!!
จังหวะนี้แม้เหิงเฟิงจะใช้ความลึกซึ้งของกฏแห่งดินหลายประการเพื่อป้องกันตัวเองอยู่ แต่พอต้องมาเผชิญหน้ากับคมกระบี่มิติสีเทานั่น มันไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้!!
“ความลึกซึ้ง เกราะ!!”
ภายใต้สถานการณ์บีบคั้นหัวใจดังกล่าว เหิงเฟิงเร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะใช้อออกด้วยความลึกซึ้งที่มันพึ่งจะเข้าใจได้บ้างส่วนออกมาทันที
ทันใดนั้นเบื้องหน้าของมันพลันอุบัติมวลพลังสีกากีที่ควบรวมเป็นแผ่นราวยันต์อมตะมากมาย แผ่นยันต์สีกากีดังกล่าวยังเริ่มหมุนวนห้อมล้อมร่างกายมันเร็วรี่!
แน่นอนว่ายันต์สีกากีดังกล่าว ไม่ได้ชัดเจนจนเหมือนวัตถุมีสภาพ หากแต่พร่าเลือนคล้ายภาพมายา ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรให้เหิงเฟิงได้มากนัก
“ศิษย์พี่เหิงเฟิงถึงกับต้องงัดความลึกซึ้งเกราะที่พึ่งเข้าใจได้บางส่วนออกมาใช้เชียวหรือ!?”
จังหวะนี้ศิษย์คฤหาสน์อู่จ้านทั้งหมดถึงกับหยุดหายใจ
พวกมันย่อมเห็นได้ชัด ว่าบัดนี้ศิษย์พี่เหิงเฟิงของพวกมัน ได้ใช้ออกด้วยพลังทั้งหมดแล้ว!
ปงงง!!
ครืนนนน!!!
…
เผชิญกับกระบี่แสงสีเทาอันน่าพรั่นพรึง เหิงเฟิงได้แต่งัดความลึกซึ้งเกราะที่พึ่งเข้าใจได้บางส่วนออกมาใช้!
และเพียงห้วงคิด เบื้องหน้าของมันก็ปรากฏสนามพลังโน้มถ่วง รวมถึงแรงสั่นสะเทือนที่รวมรั้งให้กางกั้นดั่งโล่กำบัง หมายหนุนเสริมการป้องกัน!
เรียกว่าวินาทีนี้เหิงเฟิงได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีไปกับการป้องกัน ไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว!!
และตอนนี้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของมันก็ถูกเร่งเร้าใช้ออกเพื่อเสริมพลังป้องกันถ่ายเดียว หมายต้านทานการโจมตีของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ให้จงได้! ไม่หลงเหลือแม้แต่เศษเสี้ยวความคิดจะโจมตีสวนกลับ!!
เรียกว่าเหิงเฟิงบัดนี้ คล้ายเต่าที่หลบอยู่ในกระดอง!
“นี่เจ้ายังเข้าใจความลึกซึ้งเกราะของกฏแห่งดินได้บางส่วนแล้วรึ?”
เมื่อเห็นว่าเหิงเฟิงได้ใช้ออกด้วยความลึกซึ้งเกราะที่พึ่งจะเข้าใจได้บางส่วน ต้วนหลิงเทียนก็หรี่ตากล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ แลดูไม่ได้นำพาอะไร
‘หากเป็นความลึกซึ้งเกราะที่เข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น พร้อมด้วยความลึกซึ้งทั้งหมดนั่น บางทีมันอาจจะยังต้านทานคมกระบี่มิติข้าได้…’
‘แต่อาศัยความลึกซึ้งเกราะที่พึ่งจะริเริ่มเข้าใจได้บางส่วนแบบนี้ ยังไม่พอ’
ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจอย่างเงียบงัน
ซัวว!!
กระบี่แสงสีเทาพุ่งตัดความว่างเปล่ามาฉับไว พริบตาก็ทำลายม่านพลังที่เกิดจากความลึกซึ้งพื้นที่โน้มถ่วงกับพลังสั่นสะเทือนจนพินาศลงง่ายดาย ประหนึ่งย่ำเหยียบใบไม้แห้งกรอบก็ไม่ปาน ก่อนจะพุ่งเข่นฆ่าไปทางเหิงเฟิงสืบต่อ!
ในกระบวนการดังกล่าวแน่นอนว่ากระบี่มิติย่อมสูญเสียพลังจนสภาวะถดถอยไปบางส่วน หากแต่ต้วนหลิงเทียนก็จ่ายพลังไปหนุนเนืองให้มันฟื้นฟูพลังสภาวะได้ในชั่วพริบตา!
แน่นอนว่ามีเพียงต้วนหลิงเทียนที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สายเท่านั้น ที่จะสามารถฟื้นฟูพลังของกระบี่มิติได้ในเวลาเสี้ยวพริบตาแบบนี้!
ถึงแม้ว่ากระบี่แสงสีเทาจากความลึกซึ้งผ่ามิติจะไม่ได้พร่องพลังไปมากมาย
หากแต่ถ้าไม่ใช่คนที่มีชีพจรสวรรค์ 99 สาย ในห้วงเวลาแค่เสี้ยวพริบตา ย่อมไม่อาจรวบรวมพลังทั้งจ่ายไปหนุนเนืองได้ทันท่วงทีแบบเขา!
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
กระบี่แสงสีเทาทะลวงความว่างมาฉับไว สภาวะพลังประหนึ่งจะทะลวงผ่าได้ทุกสิ่ง เสียงกระบี่มิติแหวกอากาศชวนสยอง ดังไม่ต่างฟ้าร้องในหูเฟิงเฟิง
ถึงแม้ตอนนี้เหิงเฟิงจะเร่งเร้าพลังงทั้งหมดเพื่อป้องกันตัวแล้ว แต่มันก็ไม่มีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียว
พลังเข่นฆ่าของกระบี่มิตินี้ทรงพลังน่ากลัวเกินไป!!
กฏมิติ สมแล้วที่เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด!
คนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติได้ 6 ประการ เรียกว่ามีพลังอำนาจเหลือเฟือที่จะจัดการคนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 6 ประการ และริเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 7 ได้บางส่วน!
ยิ่งไปกว่านั้น การจู่โจมของอีกฝ่าย กำลังจะฝ่าทำลายปราการป้องกันที่มันทุ่มพลังสุดตัว!
ต้องทราบด้วยว่ากฏแห่งดินนั้น ในแง่การป้องกันแล้ว…กระทั่ง 4 กฏสูงสุดยังไม่อาจเทียบได้!
แต่ตอนนี้เหิงเฟิงกลับตระหนักได้ชัดเจน ว่าคมกระบี่มิตินั่น มันไม่เพียงแต่จะสามารถฝ่าการป้องกันทั้งหมดของมันได้ กระทั่งยังจะฆ่ามันได้ง่ายๆ!!
ยิ่งไปกว่านั้น กระบี่มิตินั่นเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ ในใจมันยิ่งสัมผัสได้ถึงลางแห่งความตายมากขึ้นเท่านั้น!!
จังหวะนี้สมองของมันอดไม่ได้ที่จะอื้ออึงไปพักหนึ่ง
“ไม่!!!”
ในห้วงเวลาแห่งความเป็นตาย ลูกตาเหิงเฟิงพลันหดตัวอย่างแรง รัศมีพลังสีกากีทั่วร่างเริ่มวูบวาบไม่หุด ราวกับใกล้หลุดความควบคุมเต็มที!
และภายใต้อารมณ์จนตรอกจากการตกอยู่ในห้วงแห่งความเป็นตายดังกล่าว อยู่ๆเหิงเฟิงพลันรู้สึกเสมือนมีน้ำเย็นราดลงหัว คนเสมือนได้ตื่นเต็มตา ร่างกายเสมือนเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง!
ความลึกซึ้งเกราะในกาลก่อนแต่เดิมที่ติดขัดและไม่อาจเข้าใจได้ บัดนี้เสมือนกระจ่างแจ้งในฉับพลัน!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
ในขณะที่กระบี่มิติสีเทาพุ่งผ่านม่านพลังที่เกิดจากการควบแน่นความลึกซึ้งสั่นสะเทือนและพื้นที่โน้มถ่วง แผ่นยันต์สีกากีที่หมุนวนรอบกายเหิงเฟิงนั้น จากเดิมที่พร่ามัวไร้รูป พลันกลับกลายเป็นเด่นชัดปานมีสภาพ!
ผลที่ตามมาก็คือปราการป้องกันด่านหน้าก่อนถึงตัวมัน ได้ทวีความเข้มแข็งขึ้นในฉับพลัน! สภาวะพลังไม่ได้ครั่นคร้ามต่อกระบี่มิติอีกต่อไป!!
“ภายใต้แรงงกดดันจากการโจมตีของข้า…ถึงกับบังเกิดการตระหนักรู้ จนเข้าใจความลึกซึ้งเกราะถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นได้?”
ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจไม่น้อย เมื่อเห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้า
“อย่างไรก็ตาม…เจ้าเข้าใจความลึกซึ้งเกราะถึงขั้นตอนเบื้องตนแล้วอย่างไร? ความลึกซึ้งเกราะนั่นเป็นเจ้าเลือกใช้มันสร้างปราการห้อมล้อมรอบกาย ไม่ได้อยู่ติดกับตัวเจ้าเสียหน่อย…แค่ไม่ต้องสนใจมันก็หมดเรื่อง!”
ต้วนหลิงเทียนอาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด กระบี่มิติสีเทาที่กำลังจะปะทะเข้ากับแผ่นกากีนับร้อยที่ห้อมล้อมวนเวียนรอบกายเหิงเฟิง อยู่ดีๆ ก็อันตรธานหายไปอย่างประหลาด!
และพอมันปรากฏขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ระหว่างร่างเหิงเฟิงกับแผ่นกากีนับร้อยที่เวียนวนอย่างอัศจรรย์ ทั้งสภาวะพลังไม่ได้ถดถอยลงแม้เพียงเสี้ยว พุ่งเข่นฆ่าเข้าใส่เหิงเฟิงสืบต่อ!!
จังหวะนี้ ความลึกซึ้งเกราะของเหิงเฟิง เสมือนกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์!!
“เป็นไปได้ยังไงกัน!!”
สีหน้าเหิงเฟิงแปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ลูกตาเริ่มฉายให้เห็นความสิ้นหวัง!
ในห้วงเวลาแค่ชั่วพริบตานี้ ต่อให้มันจะควบคุมความลึกซึ้งเกราะให้มาผนึกติดกับร่างดั่งเกล็ดเกราะก็สายเกินไปแล้ว เพราะมันไม่อาจตามความเร็วของผ่ามิติได้ทัน!
ซูวว!!
คมกระบี่สีเทาของต้วนหลิงเทียนแรกสัมผัสผลึกที่ปกคลุมไปทั่วเกราะศิลาของเฟิงเฟิง ก็ประหนึ่งมีดคมจรดลงเต้าหู้…
ความลึกซึ้งปราการผลึกของกฏแห่งดิน ได้ทำหน้าที่ป้องกันอย่างสุดกำลังของมันแล้ว!
แน่นอนว่ามันไม่ได้ถูกทำลายไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะอย่างน้อยๆมันก็บั่นทอนพลังของผ่ามิติลงไปได้เกือบครึ่ง!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เบื้องหลังปราการผลึกยังมีเกราะศิลาจากความลึกซึ้งกายาศิลาอยู่อีกชั้น!
แต่วว่าความลึกซึ้งกายาศิลาจไม่ใช่ความลึกซึ้งที่มุ่งเน้นในด้านการป้องกันเป็นหลักของกฏแห่งดิน ถึงมันจะมีลักษณะเป็นเกราะที่เหมือนเอาไว้ป้องกัน แต่ก็ไม่อาจมีพลังป้องกันทัดเทียมความลึกซึ้งปราการผลึก รวมถึงความลึกซึ้งเกราะได้เลย…
ด้วยเหตุนี้สีหน้าของเหิงเฟิงจึงซีดลงราวขี้เถ้า หลังเห็นกระบี่มิติตัดผ่าปราการผลึกของมันเข้ามาตกกระทบเกราะศิลา!
‘ไม่คิดเลยว่าข้าเหิงเฟิง จะต้องมาตกตายลงในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางแห่งนี้…’
เหิงเฟิงได้แต่หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
วินาทีนี้มันไม่หลงเหลือความหวังทั้งเรี่ยวแรงต้านทานอะไรแล้ว
อย่างไรก็ตามผ่านไปพักหนึ่ง เหิงเฟิงก็พบว่าความตายที่มันรอคอย กลับมาไม่ถึงสักที…
และถึงแม้มันจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเยียบเย็นที่กำลังเชือดเฉือนเข้าอก รวมถึงความเจ็บปวดปานโดยเพลิงแผดเผา แต่มันก็ตระหนักว่าคมกระบี่มิติที่จะพรากหนึ่งชีวิตของมัน ได้อันตรธานหายไปแล้ว…
ซัวว!!
ทันใดนั้นมันก็ได้ยินเสียงกระบี่มิติแหวกอากาศดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนจะสลายหายไป ทำให้เหิงเฟิงตระหนักได้ว่า ศิษย์ฝ่ายนอกของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น ได้เมตตาละเว้นหนึ่งชีวิตของมันเอาไว้!
“ขอบคุณเจ้าที่ไม่ฆ่า”
เหิงเฟิงลืมตาขึ้นมาก้มลงมองบาดแผลที่กลางอกเล็กน้อย ค่อยเงยหน้าขึ้นมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความซาบซึ้ง
หากไม่เจอกับตัวเหมือนเหิงเฟิงย่อมไม่อาจเข้าใจได้เลย ว่าการมาหยุดยืนเบื้องหน้าหุบเหวแห่งความตายนั้นมันรู้สึกอย่างไร…
“ตอนแรกเจ้าก็คิดว่าคงฆ่าข้าได้ง่ายๆ แต่สุดท้ายเจ้ากลับไม่เคยคิดจะฆ่าข้าเลยสักครั้ง…เป็นธรรมดาว่าข้าย่อมไม่คิดเอาชีวิตเจ้าเช่นกัน”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเรียบ “ตอนนี้เจ้าคงส่งมอบคะแนนที่เจ้ามีมาให้ข้าได้แล้วกระมัง?”
เมื่อครู่หากต้วนหลิงเทียนไม่ใช้ความลึกซึ้ง ส่งผ่าน ที่พึ่งเข้าใจได้บางส่วน ส่งกระบี่มิติให้ผ่านห้วงมิติไปโผล่เบื้องหลังเหิงเฟิง อีกฝ่ายคงตกตายไปแล้ว!
ก็อย่างที่เขาพูด
ในเมื่อแต่ต้นจนจบเหิงเฟิงไม่คิดฆ่าเขาสักครั้ง เช่นนั้นเขาก็เลยเมตตาละเว้นอีกฝ่าย
หากเฟิงเฟิงบังเกิดจิตสังหารต่อเขาแม้เพียงวูบเดียว ป่านนี้อีกฝ่ายได้ไปเที่ยวเมืองผีเรียบร้อยแล้ว
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
เหิงเฟิงสะบัดมือเรียกป้ายหยกสะสมคะแนนออกมาเร็วไว ขณะเดียวกันมันก็อดไม่ได้ที่จะหนาวจับไขสันหลัง กระทั่งแผ่นหลังยังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
จังหวะนี้มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดี ที่ตัวมันไม่ชมชอบการฆ่าคนเป็นผักปลา…
มิฉะนั้นมันคงตายไปแล้ว!
“อย่างไรก็ตามวันนี้ถือว่าข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้า วันหน้าหากมีโอกาสข้าเหิงเฟิงต้องตอบแทนเจ้าแน่…”
ก่อนจะทำลายป้ายหยกสะสมคะแนน เหิงเฟิงไม่ลืมมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง น้ำเสียงทั้งแววตาท่าทีของมันเต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่มีความเส้แสร้งแม้แต่น้อย แลดูน่าเชื่อถือนัก
หลังเหิงเฟิงถูกอาคมในป้ายหยกส่งตัวออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ป้ายหยกสะสมคะแนนต้วนหลิงเทียนก็มีคะแนนสะสมเพิ่มขึ้นมา 1 แต้ม…
บัดนี้ ในป้ายหยกสะสมคะแนนของต้วนหลิงเทียนมี 20 แต้มแล้ว
‘มัน…มันพึ่งเข้ามางั้นเหรอ?’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนถึงกับพูดไม่ออกอยู่บ้าง เมื่อพบว่าเหิงเฟิงนั้นมอบแต้มให้เขาแค่แต้มเดียว… เพราะให้กล่าวไปพลังของเหิงเฟิงยังกล้าแข็งกว่ากงซุนจิ้งที่มอบคะแนนสะสมให้เขา 13 แต้มเสียอีก!
สิ่งนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหมือนฟ้าไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง!
อย่างไรก็ตามแม้จะรู้สึกยากยอมรับเพียงใด แต่จะทำไงได้ล่ะ ใครใช้ให้เขามาเจอกับเหิงเฟิงที่พึ่งเข้ามากัน?
“หืม?”
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้นคล้ายตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง
พริบตาต่อมา
วูบ!
ร่างต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปในอากาศทันที
พอปรากฏตัวอีกครั้งก็ห่างออกไป 100 หมี่แล้ว แถมยังไปผุดโผล่เบื้องหน้าศิษย์คฤหาสน์อู่จ้านที่กำลังจะพุ่งกลับเข้าไปในหุบเขาที่สมควรมีค่ายของคฤหาสน์อู่จ้านตั้งอยู่
“ในเมื่อทุกท่านอุตส่าห์มาแล้ว…ไยรีบร้อนกลับกันนักเล่า…”
ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองไปยังเหล่าศิษย์คฤหาสน์อู่จ้านเบื้องหน้าทั่วๆ ค่อยกล่าววออกมาพลางคลี่ยิ้มอ่อน…
แม้ยิ้มอ่อนนี้ปกติจะชวนให้ผู้คนรู้สึกเสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ หากทว่าในสายตาของเหล่าศิษย์คฤหาสน์อู่จ้านทั้งหลาย นั่นไม่ต่างอะไรจากรอยยิ้มของมารร้ายแม้แต่น้อย ขนหัวยังลุกซู่ขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว…